Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 532 ตัดสินคนจากภายนอก
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 532 ตัดสินคนจากภายนอก
ยามพลบค่ำ ตะวันเคลื่อนคล้อยลับแผ่นฟ้า
นครต้องห้ามประตูเมืองตะวันออก ขบวนแปลกประหลาดขบวนหนึ่งหลั่งไหลมา ผู้ชายสวมหนังสัตว์เก่าคร่ำคร่า ผู้หญิงสวมผ้าป่านเนื้อหยาบ เด็กน้อยส่วนหนึ่งเปลือยก้นว่างเปล่าเปลือยเท้าวิ่งไปทั่ว มากมายยิ่งใหญ่มากกว่าหนึ่งร้อยคน
ทหารยามของจักรวรรดิที่เฝ้าประตูเมืองต่างมึนงงอยู่บ้าง นี่มันคนบ้านนอกจากที่ไหนกัน เสื้อผ้าก็ช่างน่าเกลียดเกินไปแล้ว มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าจะต้องออกมาจากชนบทเล็กๆ ห่างไกลความเจริญอย่างแน่นอน
“พวกเจ้าหยุดอยู่ตรงนั้น! เข้าแถว ทำการตรวจสอบ!”
ทหารยามนายหนึ่งตะโกนลั่น คนเหล่านี้ผิดปกติเกินไปแล้ว ที่นี่คือนครต้องห้าม เมืองหลวงแห่งจักรวรรดิ จะให้คนมั่วซั่วเข้ามาได้อย่างไร?
เพี๊ยะ!
เพิ่งพูดจบ ทหารยามนายนี้ก็ถูกฝ่ามือหนึ่งฟาดเข้าไปเต็มๆ เล่นเอาเขาสับสนมึนงง หัวสมองเบลอไปหมด
ที่ทำให้เขาตกตะลึงนิ่งอึ้งที่สุดคือ คนที่ตบเขานั้นก็คือหัวหน้าทหารยาม!
“ใต้เท้า เหตุใดท่าน…” ทหารยามถามเสียงสั่นเครือ
กลับเห็นหัวหน้าทหารยามไม่สนใจเขาเพียงนิด รีบเร่งเดินไปยังขบวนแปลกประหลาดกลุ่มนั้นราวกับไฟลนก้น ใบหน้าที่อดีตเคยเคร่งขรึมเย่อหยิ่ง เวลานี้กลับเผยรอยยิ้มอบอุ่นนอบน้อมหาใดเปรียบ
ทหารยามตะลึงงันอยู่ตรงนั้นทันที นี่มันเรื่องอะไรกัน นั่นไม่ใช่คนบ้านนอกที่เหมือนกับขอทานกลุ่มหนึ่งหรอกรึ ควรค่าต่อการทำเช่นนี้หรือ
เห็นหัวหน้าทหารยามและหนุ่มน้อยคนหนึ่งพูดเสียงเบาคุยอะไรกันสักอย่าง และยิ้มหน้าบานโค้งตัวลง พยักหน้าโก้งค้อมเอวหลีกทางให้ชาวบ้านเหล่านั้น ไม่แม้แต่ทำการตรวจสอบอย่างที่เคยเพียงนิดก็ปล่อยไปทั้งอย่างนั้น!
จนกระทั่งขบวนแปลกประหลาดขบวนนั้นจากไป หัวหน้าทหารยามยังคงโค้งตัวอยู่เหมือนเดิม โบกมือบอกลาอย่างกระตือรือร้นหาใดเปรียบ
ท่าทางเช่นนั้นดูเอาใจใส่กระตือรือร้นยิ่งกว่าส่งญาติพี่น้องตนเองเสียอีก ทหารยามที่เมื่อครู่ถูกตบไปทีหนึ่งลูกตาแทบจะหลุดออกมาอยู่แล้ว นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่? ปีนั้นตอนที่หัวหน้ารับแม่ของเขาเข้ามายังนครต้องห้าม ยังไม่นอบน้อมกระตือรือร้นขนาดนี้ด้วยซ้ำ!
เวลานี้เองหัวหน้าทหารยามปาดเหงื่อเดินกลับมา เมื่อเห็นทหารยามนั่น ขาข้างหนึ่งพลันเตะออกมาทันทีก่อนด่าว่า “เจ้าเด็กเวรนี่ แต่ก่อนฉลาดเป็นกรด ทำไมวันนี้ตาบอดซะได้!? เจ้ารู้ไหมว่าเมื่อกี้เกือบทำข้าตายไปด้วยแล้ว!”
ทหารยามถูกถีบลงกับพื้น กลับไม่สนใจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กล่าวว่า “หัวหน้า นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หัวหน้าทหารยามตอบอย่างเดือดดาล “เกิดอะไรขึ้น เจ้าดูไม่ออกหรือว่านั่นคือหลินสวิน แม้แต่หลิงเทียนโหวยังเคยถูกเขาถล่มมาแล้ว คนแบบนี้ใช่คนที่เจ้ากับข้าหาเรื่องได้รึ”
ทหารยามชะงักงันไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบสนองขึ้นมาทันควัน ร้องออกมา “เขา… เขาคือคนที่… คนที่…” ถูกทำให้ตกตะลึงซะจนพูดตะกุกตะกักไม่เป็นภาษา
“ใช่ ก็เขานั่นแหละ! เจ้าหมอนี่ตอนนี้ยิ่งใหญ่นัก ในนครต้องห้ามนี่เกรงว่าคงมีน้อยคนที่กล้าหาเรื่องเขา…”
หัวหน้าทหารยามทอดถอนใจออกมาเฮือกหนึ่ง
แต่ทหารยามนั่นกลับตะลึงงันอยู่ตรงนั้น บุคคลระดับนี้เหตุใดจึงพาคนบ้านนอกกลุ่มหนึ่งเข้าเมือง
หากเมื่อครู่ไม่ใช่เพราะหัวหน้าออกหน้าให้ ตนไม่ใช่ว่าขัดใจนายน้อยผู้โดดเด่นเป็นสง่าในนครต้องห้ามและมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วคนนี้ไปแล้วหรอกรึ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ทหารยามก็สั่นสะท้านไปทั่วร่าง นึกกลัวไม่หยุด
…
ขบวนนั้นย่อมต้องเป็นชาวบ้านหมู่บ้านเฟยอวิ๋นที่กลับมาพร้อมหลินสวิน
ระหว่างทางที่โดยสารเรือรบอินทรีเหินกลับมา เหล่าผู้ฝึกปราณอย่างพวกมู่หวั่นซูที่มาจากอัครการค้า ตระกูลหนิง ตระกูลเย่ ตระกูลกงเหล่านี้ต่างทยอยแยกย้ายกันไป
หลังจากส่งหลินสวินและชาวบ้านเหล่านี้กลับมายังนครต้องห้าม เรือรบอินทรีเหินที่เป็นของกองทัพเลือดเหล็กก็กลับไป
เพื่อหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมที่จะเกิดขึ้นกับชาวบ้านเหล่านี้ หลินสวินจึงคิดจะพาพวกเขาไปพำนักบนภูเขาชำระจิต ถึงอย่างไรที่แห่งนั้นก็ใหญ่เพียงพอ สามารถมอบแดนสุขาวดีผืนหนึ่งที่ทำให้ชาวบ้านเหล่านี้ใช้ชีวิตอย่างอุ่นใจได้อย่างสมบูรณ์
“ท่านพ่อ เมื่อครู่ใต้เท้าที่เฝ้าประตูเมืองคนนั้นดูเหมือนจะกลัวพี่หลินสวินมากเลยนะ”
อิงหลิวเอ๋อร์กล่าว
สามปีผ่านไปแล้ว เจ้าเด็กแก่นที่ปีนั้นเคยได้รับการชี้แนะวิชายุทธ์จากหลินสวินก็เติบโตเป็นเด็กหนุ่มตัวน้อยคนหนึ่ง ผิวสีน้ำตาลแดง ฟันขาวดุจหิมะ ดวงตาหมุนวนไหลเคลื่อนไปมา ฉลาดปราดเปรียวอย่างเห็นได้ชัด
อิงหาวเกาหัวน้อยๆ กล่าวคลุมเครือ “น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ” จากนั้นเขาก็ถลึงตา “พูดไร้สาระให้น้อยหน่อย อย่าจุ้นไม่เข้าเรื่อง ที่นี่คือนครต้องห้าม เมืองหลวงของจักรวรรดิ ข้าอยู่มาชั่วชีวิตนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามา เจ้าลูกชายอย่าได้ก่อความวุ่นวายให้พี่หลินสวินของเจ้าเชียว!”
ไม่เพียงแต่อิงหาวเท่านั้นที่คิดเช่นนี้ ชาวบ้านคนอื่นต่างก็คิดแบบเดียวกัน ตั้งแต่เข้ามายังนครต้องห้าม มองเห็นความเจริญรุ่งเรืองหาใดเปรียบ ทัศนียภาพที่หลายหลากแปลกตาทั้งหมดนั่น พวกเขาต่างถูกทำให้ตกตะลึง ไม่กล้าแม้แต่จะเชื่อสายตาตัวเอง รู้สึกราวกับก้าวเข้าสู่อาณาจักรเซียนในตำนาน
ตลอดชีวิตพวกเขาดำรงชีวิตอยู่ในหมู่เขาสามพันคีรีที่ห่างไกล ไม่ต้องพูดถึงการเข้านครต้องห้ามเลย แทบไม่มีโอกาสเข้าเมืองตงหลินที่อยู่ชายแดนจักรวรรดิด้วยซ้ำ!
แต่ตอนนี้หลินสวินพาพวกเขาเข้าสู่นครต้องห้ามโดยตรง ทำให้พวกเขาทั้งตื่นเต้นทั้งกังวล ตลอดทางรู้สึกว่ามีดวงตาไม่เพียงพอ
เดิมทีหลินสวินคิดจะว่าจ้างเกี้ยวสมบัติส่วนหนึ่งบรรทุกพวกเขาไปยังภูเขาชำระจิต แต่ข้อเสนอนี้กลับถูกหัวหน้าหมู่บ้านเซียวเทียนเริ่นปฏิเสธ
ตามที่เขากล่าว ชีวิตนี้พวกเขาเข้ามายังนครหลวงแห่งจักรวรรดิเป็นครั้งแรก แน่นอนว่าอยากอาศัยโอกาสนี้มองดูความรุ่งเรือง เจิดจรัส เจริญเฟื่องฟูนี้ทั้งหมดด้วยตาตนเองทีละก้าวเป็นธรรมดา
หลินสวินเข้าใจจิตใจของพวกเขาดี ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ปฏิเสธ และพาพวกเขาเดินมาตามช่วงถนนอันเจริญรุ่งเรืองเช่นนี้
เพียงแต่ตลอดทางกลับทำให้หลินสวินคิ้วขมวดอยู่บ้าง เพราะพวกเขาขบวนนี้ช่างแปลกประหลาดเกินไป การแต่งกาย ลักษณะท่าทาง และรูปร่างหน้าตาของเหล่าชาวบ้านนั้น ได้รับเสียงเหน็บแนมเย้ยหยันไม่น้อย ยิ่งนำมาซึ่งความรังเกียจและท่าทางขับไล่ไสส่งมากมาย
นี่ทำให้ความดีใจและตื่นเต้นภายในใจของชาวบ้านเหล่านั้นหดหายลงไปไม่น้อย เปลี่ยนเป็นเงียบสงบ พวกเขาไม่ได้โง่ สามารถรับรู้ถึงความรังเกียจและกีดกันที่อบอวลไปตลอดทางเป็นธรรมดา
“หลินสวิน พวกเรา… ทำให้เจ้าเสียหน้าหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น พวกเรารีบไปยังภูเขาชำระจิตนั่นที่เจ้าบอกเถอะ”
ป้าเฉี่ยวสีหน้าละอายใจ พูดเสียงต่ำอย่างรู้สึกเกรงใจอยู่บ้าง
สายตาของชาวบ้านคนอื่นต่างก็จ้องมองมา
หลินสวินยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ป้าเฉี่ยว อย่าได้คิดมาก นครต้องห้ามก็เป็นเช่นนี้ เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีพวกที่ตัดสินคนจากภายนอกอยู่บ้าง”
เขาพูดพลางมองไปบนท้องฟ้า ก่อนกล่าว “ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ข้าพาทุกคนไปกินข้าวก่อน หลังจากนั้นค่อยกลับบ้านกัน!”
พวกเด็กๆ อย่างอิงหลิวเอ๋อร์โห่ร้องยินดีขึ้นมาทันที พวกเขาหิวมาตั้งนานแล้ว
หอสรวลทรัพย์
หอสุราแห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมากที่สุดในนครต้องห้าม สร้างขึ้นบนใจกลางทะเลสาบกว้างใหญ่ สูงร้อยฉื่อ ทั้งอาคารราวก่อขึ้นจากหินหยก ปรากฏแสงเหลือบเจิดจรัสยามค่ำคืน งามตระการหาใดเปรียบ
เมื่อเห็นชาวบ้านกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมากมายมหาศาล สาวใช้คนงามที่เรียงแถวต้อนรับแขกอยู่นอกหอก็ตะลึงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
ในอดีตที่ผ่าน ผู้สูงศักดิ์ร่ำรวยซึ่งเข้าออกหอสรวลทรัพย์ต่างก็เป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาในสังคม
แต่ค่ำวันนี้กลับมีชาวบ้านนับร้อยที่แต่งตัวอัปลักษณ์วิ่งเข้ามา ทำให้เหล่าสาวใช้คนงามเกือบจะคิดว่ามีคนจงใจมาหาเรื่องแล้ว
“คุณชาย ไม่ทราบว่าท่านได้ทำการจองไว้หรือไม่” สาวใช้นางหนึ่งสะกดกลั้นกิริยาเอาไว้ ถามหลินสวินด้วยเสียงแผ่วเบา นางดูออกว่าหลินสวินคือผู้นำ
“พวกเรามากินข้าว ช่วยเตรียมให้พวกเราสักหน่อยแล้วกัน” หลินสวินยิ้มพลางเอ่ยปาก
“นี่…” สาวใช้นั่นลำบากใจอยู่บ้าง “คืนนี้ห้องส่วนตัวในหอถูกจองไว้หมดตั้งแต่เมื่อวานแล้ว มิสู้คุณชายท่าน… เปลี่ยนสถานที่ดีไหมเจ้าคะ”
หลินสวินชะงักกึก จองไว้หมดแล้ว?
“หลินสวิน งั้นพวกเราเปลี่ยนสถานที่กันเถอะ นี่มัน… ที่นี่ราวกับวิหารเซียน ให้พวกเราเข้าไปกินข้าวก็รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว”
ชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้น ใบหน้าเจียมตัว
ชาวบ้านคนอื่นต่างก็มึนงงไม่มากก็น้อย พวกเขาชีวิตนี้ไม่เคยมาใช้บริการยังสถานที่เช่นนี้มาก่อน ต่างไม่กล้าจินตนาการว่าที่นี่คือหอสุราแห่งหนึ่ง ช่างงดงามตระการตายิ่งนัก
ฉากนี้กระตุ้นให้สาวใช้พวกนั้นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะพรืดออกมา นั่นทำให้ชาวบ้านเหล่านั้นรู้สึกเจียมตัวและเกรงใจยิ่งกว่าเดิม
ชาวเขาที่กรำแดดกรำฝนในทุ่งนาทั้งวันเหล่านี้ ไหนเลยจะเคยประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ สีหน้าท่าทางต่างเก้ๆ กังๆ อยู่บ้าง
หลินสวินกลับสีหน้าอึมครึมขึ้นมาทันที สายตากวาดมองไปยังสาวใช้พวกนั้น ทำให้พวกนางทุกคนเก็บงำใบหน้าเปื้อนยิ้มไปชั่วขณะ เพียงแต่ท่าทีกลับเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาก
แม้ว่าพวกนางล้วนถูกอบรมเรื่องการปฏิบัติตัวมาอย่างดี แต่การปฏิบัติตัวเช่นนี้ก็อยู่ที่ว่าใช้กับแขกประเภทใด แต่ในสายตาพวกนาง หลินสวินเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ทั้งยังพาชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมาด้วย แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่คุณชายร่ำรวยสูงศักดิ์จากตระกูลขุนนางใด แน่นอนว่าไม่อาจทำให้พวกนางนอบน้อมถ่อมตน ปฏิบัติตัวอย่างมีมิตรจิตมิตรใจได้
หลินสวินคร้านจะคิดเล็กคิดน้อยกับพวกนาง แค่สาวใช้กลุ่มหนึ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องทำให้พวกนางลำบากใจ
เดิมทีเขาคิดจะพาชาวบ้านกลุ่มนี้มากินอาหารดีๆ สักมื้อ ได้เห็นทัศนียภาพชั้นดีที่สุดของนครต้องห้ามสักหน่อย ใครจะคิดว่าต้องเจอกับเรื่องราวเช่นนี้ ทำให้หมดสนุกไปหน่อยจริงๆ
เวลานี้ที่ไกลออกไปพลันเกิดเสียงตวาดไม่พอใจเสียงหนึ่งดังขึ้น “ขอทานจากไหนเยอะแยะเนี่ย หอสรวลทรัพย์นี่กลายเป็นเขตพรรคกระยาจกไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“หวังหู่ พวกเจ้าไปดูซิ อย่าให้พวกขอทานนี่เกะกะขวางทาง!”
ตามหลังเสียงตวาดนั่น คนกลุ่มหนึ่งเดินมาจากที่ห่างไกล เป็นกลุ่มชายหญิงรุ่นเยาว์ แต่ละคนสวมใส่อาภรณ์แพรเลิศหรู บุรุษรูปสง่า สตรีงามงด ไม่ธรรมดายิ่งนัก
ข้างกายยังตามมาด้วยข้ารับใช้กลุ่มหนึ่ง เสียงตวาดนั่นออกมาจากกลุ่มข้ารับใช้คนหนึ่ง
และขณะที่พูด ข้ารับใช้เหล่านั้นพุ่งตรงมาข้างหน้าราวกับพวกอันธพาลก็มิปาน หมายผลักชาวบ้านที่ขวางทางเหล่านั้น เปิดทางให้กับบรรดาชายหญิงรุ่นเยาว์ที่ตามมาด้านหลัง
หลินสวินเดิมก็คับข้องใจอยู่แล้ว เมื่อเห็นคนพวกนั้นไร้มารยาทเช่นนี้ก็อารมณ์ไม่ดีทันที หายตัววูบไปปรากฏ ณ ที่นั้น สะบัดชายเสื้อเพียงครั้ง พลันเกิดคลื่นลมรุนแรงม้วนพัดออกไป
พลั่ก! พลั่ก!
เกิดเสียงพัดกระจัดกระจาย บรรดาข้ารับใช้ที่พุ่งเปิดทางพวกนั้นต่างไม่ทันได้ตอบสนองก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ถูกกระแทกปลิวออกไปอย่างหนักหน่วง แต่ละคนจมูกปากกบเลือด กลิ้งลงไปกองกับพื้น น่าอเนจอนาถถึงที่สุด
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วมาก และก็จบลงเร็วมากเช่นกัน ยามเหล่าหนุ่มสาวกลุ่มนั้นที่เดินตามมามีปฏิกิริยาตอบสนอง ข้ารับใช้ก็นอนอยู่กับพื้นร้องโอดโอยไม่หยุดแล้ว
“รนหาที่ตาย!”
คุณชายคนหนึ่งโกรธมาก
แต่เพียงชั่วพริบตาเดียว เขาก็ถูกคนข้างๆ คนหนึ่งห้ามไว้ “อย่าใจร้อน”
คนที่พูดคือชายหนุ่มร่างสูงท่วงท่าสง่างามคนหนึ่ง เห็นชัดว่าเขาจำหลินสวินได้ เพียงแต่แววตาที่มองมานั้นกลับฉายแววชั่วร้าย กระทั่งมีความอาฆาตแค้นและเกลียดชังเสี้ยวหนึ่ง
“ข้าก็ว่าอยู่ว่าเป็นใคร ที่แท้ก็เป็นพวกเจ้า ทำตัวอันธพาลนัก! ไม่ถามไถ่อะไรก็หมายจะลงมือกับคนของข้าหรือ”
หลินสวินสีหน้าเคร่งขรึม สายตากวาดปราด เมื่อมองเห็นใบหน้าของหนุ่มสาวเหล่านั้นชัดเจน ก็จำ ‘คนคุ้นเคย’ บางคนในนั้นได้
เป็นพวกองค์หญิงหลิงหวงและฉีอวี้แห่งสาขายอดยุทธศาสตร์!
คนที่ห้ามคุณชายนั่นไว้เมื่อครู่ ก็คือฉีอวี้
………………