Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 536 เหล่าผู้ติดตามที่เย่อหยิ่ง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 536 เหล่าผู้ติดตามที่เย่อหยิ่ง
พรึ่บ!
สามวันต่อมา บนท้องฟ้าสีคราม ยานสำเภาลำหนึ่งมุ่งหน้าไปทางตะวันออกของจักรวรรดิสู่ทะเลกลืนวิญญาณด้วยความเร็วสูง บดขยี้ชั้นเมฆสีขาวจนละเอียด
ภายในยานสำเภางดงามสะดุดตาราวกับพระราชวัง แบ่งออกเป็นห้องๆ
ในห้องหนึ่งหลินสวินนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าโต๊ะ ฟังหนุ่มสาวบริเวณนั้นคุยกันอย่างเหม่อๆ
สามวันก่อน เมื่อเขาได้ยินว่าแดนลับบรรพกาลในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะมี ‘ดอกหลอมวิญญาณสมุทร’ หลินสวินก็ตอบรับคำเชิญของจ้าวจิ่งเซวียนโดยไม่ลังเล
เพราะถ้าได้โอสถวิญญาณชนิดนี้มา ก็สามารถแก้พิษมารพบเคราะห์ในร่างพญาแร้งได้อย่างง่ายดาย!
สำหรับ ‘วาสนา’ ที่จ้าวจิ่งเซวียนพูดถึง หลินสวินกลับไม่ได้สนใจนัก
ปัจจุบันเขาไม่ขาดเคล็ดวิชาในการฝึกปราณ และไม่ขาดสมบัติใช้งาน สิ่งที่เขาขาดอาจจะเป็นด่านทดสอบเพื่อบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะเท่านั้นก็เป็นได้
สิ่งที่ควรค่าแก่การพูดถึงคือ ภายใต้คำแนะนำของจ้าวจิ่งเซวียน การออกเดินทางครั้งนี้หลินสวินทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามชั่วคราว
และมีตัวตนใหม่คือ…หลินเสวียน
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในโลกเล็กๆ ที่ทรุดโทรมและมหามรรคไม่สมบูรณ์นี้ ยังมีแดนลับบรรพกาลซ่อนอยู่”
ชายชุดเหลืองที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจ
“แต่ไม่ว่าอย่างไรโลกชั้นล่างนี้ก็แห้งแล้งเกินไป ยังเทียบดินแดนรกร้างโบราณของพวกเราไม่ได้สักนิด สำนักอิทธิพลที่พอจะเข้าท่ายังหาไม่เจอแม้แต่สำนักเดียว แค่คิดก็รู้ว่าโลกชั้นล่างนี้ย่ำแย่เพียงใด”
บางคนเผยสีหน้าหยิ่งผยอง ท่าทางเหมือนกำลังวิพากษ์วิจารณ์การแผ่นดิน
“เป็นจริงดังว่า คราวนี้หากไม่ใช่เพื่อค้นหาโบราณสถานบรรพกาลแห่งหนึ่ง ชีวิตนี้ข้าไม่ขอมาที่บ้าๆ แบบนี้เด็ดขาด”
“จะพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก เท่าที่ข้ารู้ ในโลกชั้นล่างก็มีผู้มีอิทธิพลที่เก่งกาจ เพียงแต่น้อยมากเท่านั้น”
ชายหญิงเหล่านั้นพากันเอ่ยปาก คำพูดของพวกเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหนือกว่า เหมือนกับกลุ่มคนชนชั้นสูงเยือนถิ่นทุรกันดาร เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและภาคภูมิใจ
เรื่องนี้ทำให้หลินสวินรู้สึกไร้สาระ
ชายหญิงเหล่านี้ไม่ใช่ศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักของจ้าวจิ่งเซวียน แต่เป็นผู้ติดตามของเหล่าลูกศิษย์ในสำนักพวกนั้น!
เป็นแค่ผู้ติดตามกลุ่มหนึ่ง ยังกล้าคุยโวโอ้อวดอย่างไม่รู้สึกกระดากอายว่าโลกที่จักรวรรดิจื่อเย่าตั้งอยู่เป็นสถานที่ที่เสื่อมโทรมล้าหลัง ดูถูกเหยียดหยาม ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ช่างน่าขันเกินไปแล้ว
หลินสวินคร้านจะโต้แย้งพวกเขา จึงนั่งดื่มกินอยู่คนเดียว
สถานะปัจจุบันของเขาคือผู้ติดตามของจ้าวจิ่งเซวียน จึงถูกจัดให้อยู่ที่นี่ รวมตัวกับเหล่าผู้ติดตามของลูกศิษย์ในสำนัก
ส่วนพวกศิษย์ในสำนัก ตั้งแต่หลินสวินขึ้นยานสำเภาลำนี้ก็ได้เห็นจากระยะไกลเพียงแวบเดียว ไม่ได้ปฏิสัมพันธ์ใดๆ
ทว่าก่อนหน้านี้หลินสวินเคยได้ยินจ้าวจิ่งเซวียนพูดว่า ลูกศิษย์ของสำนักที่มาในครั้งนี้มีประมาณหกเจ็ดคน มีทั้งชายและหญิง เป็นศิษย์สำนักโบราณที่มีชื่อว่า ‘แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ’ ในดินแดนรกร้างโบราณเช่นเดียวกับนาง
แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ!
นี่ทำให้หลินสวินนึกถึง ‘แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์’ ที่เจ้าสำนักสำนักศึกษามฤคมรกตกล่าวถึงโดยไม่รู้ตัว เห็นได้ชัดว่าสำนักโบราณทั้งสองนี้คงจะยิ่งใหญ่ในระดับเดียวกัน
ผู้ที่นำขบวนในครั้งนี้คือผู้อาวุโสที่มีปราณอยู่ในระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์ ชื่อว่าเกาหยาง
“ได้ยินมาว่า แดนลับบรรพกาลที่เรากำลังจะสำรวจในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่อสูรมารศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลท่านหนึ่งเหลือทิ้งไว้ ภายในมีผนึกต้องห้ามหนาแน่นและอันตรายยิ่ง ทว่าในนั้นก็ยังมีวาสนาน่าตะลึงมากมาย อย่างโอสถเซียน ของมีค่า สมบัติแห่งช่วงเวลาบรรพกาล… มีครบทุกสิ่งที่ควรมี แม้กระทั่งมรดกของอสูรมารศักดิ์สิทธิ์ท่านนั้นด้วย!”
ทันใดนั้นผู้ติดตามคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างลึกลับ ดึงดูดความสนใจของหลินสวิน
หลินสวินเองก็เคยได้ยินจ้าวจิ่งเซวียนพูดว่า แดนลับบรรพกาลที่จะสำรวจในครั้งนี้ตั้งอยู่ในอาณาเขตลี้ลับแห่งหนึ่งในทะเลกลืนวิญญาณ ภายในเป็นเหมือนโลกใบเล็กซึ่งมีวาสนาที่ไม่อาจจินตนาการมากมาย
ในขณะเดียวกัน ที่แห่งนั้นก็เรียกได้ว่าเป็นสถานที่แห่งการเข่นฆ่าหนักหน่วง เต็มไปด้วยผนึกต้องห้ามอันน่าสะพรึง หากไม่มีการเตรียมการที่เพียงพอ แม้แต่ราชันระดับสังสารวัฏเข้ามาในนั้น โอกาสรอดยังน้อยมาก!
แน่นอนว่าครั้งนี้แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณได้เตรียมพร้อมอย่างดี เท่าที่ฟังจากจ้าวจิ่งเซวียน ผู้อาวุโสเกาหยางมีแผนที่ขาดๆ ของแดนลับบรรพกาลอยู่ในมือ อีกทั้งมีสมบัติที่สำคัญติดตัว เพียงพอที่จะสลายเคราะห์สังหารจำนวนมาก พาพวกเขาเข้าไปได้อย่างปลอดภัย
ทว่าเข้าไปเป็นเรื่องหนึ่ง จะได้วาสนามาหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง
ถึงอย่างไรที่นั่นก็เป็นแดนลับบรรพกาลที่น่าสะพรึงกลัวแห่งหนึ่ง เล่ากันว่าเป็นสถานที่ที่อสูรมารศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลสิ้นชีพในท่านั่งสมาธิ วาสนาที่บุคคลระดับนี้ทิ้งเอาไว้จะได้มาง่ายๆ ได้อย่างไร
“อสูรมารศักดิ์สิทธิ์! ถูกยกย่องให้เป็นอริยะ ล้วนผ่าน ‘อมตะเคราะห์เก้าครั้ง’ มาแล้ว เป็นบุคคลที่น่าสะพรึงกลัวในหนทางแห่งอริยมรรค มีพลานุภาพเชื่อมสวรรค์ที่สามารถควบคุมดวงดาราและท่องไปในมหามรรค!”
มีคนส่งเสียงอย่างตะลึง
“หากแดนลี้ลับแห่งนี้ถูกทิ้งไว้อสูรมารศักดิ์สิทธิ์ท่านหนึ่งจริงๆ ย่อมเป็นวาสนาใหญ่ที่ยากจะพบเจอเลยทีเดียว! แม้แต่ในดินแดนรกร้างโบราณปรากฏให้เห็นน้อยนัก”
“โลกชั้นล่างที่แห้งแล้งและล้าหลังเช่นนี้ เหตุใดจึงมีวาสนาใหญ่ระดับนี้ได้ เหลือเชื่อจริงๆ”
คนอื่นๆ ต่างทอดถอนใจ
“หึๆ เช่นนี้แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของเราก็ได้เปรียบพอดีไม่ใช่หรือ ข้าได้ยินมาว่าเพื่อช่วงชิงโชควาสนาที่หาได้ยากครั้งนี้ สำนักของเราให้ผู้อาวุโสเกาหยางนำสมบัติกำราบสำนักมาด้วย! พวกเราติดตามเข้าไป ขอเพียงทำผลงานได้ดี วาสนานี้ก็จะเป็นของเราด้วยอย่างแน่นอน!”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ สายตาของผู้ติดตามหลายคนต่างร้อนระอุและมุ่งหวังขึ้นมา
ในใจหลินสวินอดหัวเราะเยาะไม่ได้ หากวาสนาระดับนี้ได้มาง่ายเพียงนั้น เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าในจักรวรรดิจื่อเย่าคงหาเจอตั้งนานแล้ว มีหรือที่จะถึงตาพวกเจ้า
ใช่แล้ว หลินสวินไม่เชื่อสักนิด ว่าด้วยความสามารถอันน่าสะพรึงกลัวของเหล่าคนใหญ่คนโตในปัจจุบันอย่างเจ้าสำนักแห่งสำนักศึกษามฤคมรกต ราชินีแห่งรัตติกาล ราชครูหอดูดาวหลวง จะไม่รู้ว่ามีแดนลับบรรพกาลเช่นนี้อยู่ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ!
ในเมื่อแดนลี้ลับแห่งนี้ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน ก็เป็นการยืนยันได้ว่าวาสนาที่อยู่ในนั้นต้องมีความลึกลับ ใช่ว่าทุกคนจะเข้าไปแตะต้องได้
“น้องหลินเสวียน เหตุใดเจ้าจึงเงียบมาตลอดเล่า”
ทันใดนั้นชายชุดสีเหลืองข้างๆ หลินสวินก็พูดขึ้นและเคลื่อนสายตามองมา “ข้าอยากรู้ว่าเจ้าคิดอย่างไรกับแดนลับบรรพกาลนี้”
เพียงแต่ไม่รอให้หลินสวินอ้าปากก็มีคนหลุดขำออกมา “เลี่ยวจวิ้น เขาเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนตัวน้อยๆ ในโลกชั้นล่าง คงไม่เคยได้ยินชื่อแดนลับบรรพกาลด้วยซ้ำ เจ้ากลับไปถามความเห็นเขาต่อเรื่องนี้ ล้อเล่นหรือเปล่า ฮ่าๆๆ…”
คนอื่นๆ เองก็หัวเราะ สีหน้าเย้าแหย่ เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
พวกเขาทุกคนต่างรู้ฐานะของหลินสวิน แม้จะเป็นผู้ติดตามของคุณหนูจิ่งเซวียน แต่พลังปราณกลับอยู่ในระดับกลางของโลกชั้นล่าง ทำให้พวกเขารู้สึกเหนือกว่าโดยไม่รู้ตัว ทะนงตัวมองหลินสวินเป็นผู้น้อย ไม่ได้เห็นเขาในสายตาเลยสักนิด
แม้ในระหว่างการสนทนากัน ก็แทบไม่มีใครยอมเปิดบทสนทนากับหลินสวิน
เพราะฉะนั้นตอนได้ยินเลี่ยวจวิ้นถามหลินสวิน พวกเขาจึงอดนึกขำไม่ได้ รู้สึกเหมือนเป็นการสีซอให้ควายฟัง
หลินสวินสีหน้าราบเรียบ เล่นจอกเหล้าในมือ แต่ในใจกลับกำลังคิดว่า แม้แต่ผู้ติดตามเหล่านี้ยังหยิ่งผยองขนาดนี้ แล้วเจ้านายของพวกเขาจะขนาดไหน
“ข้าเคยได้ยินว่าในโลกชั้นล่างมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อหลินสวิน ปัจจุบันมีชื่อเสียงคับฟ้า อายุเพียงสิบหกปีเท่านั้นก็เป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณแล้ว ทั้งยังหลอมชุดศึกสลักวิญญาณชุดหนึ่งสำเร็จ แม้แต่ในดินแดนรกร้างโบราณของเราก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่หายาก”
ทันใดนั้นมีคนเอ่ยอย่างครุ่นคิด
ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ พลันเรียกเสียงฮือฮาขึ้นมา
“ปฐมาจารย์สลักวิญญาณงั้นหรือ คุยโวกระมัง ที่ทุรกันดารอย่างโลกชั้นล่างจะมีคนที่โดดเด่นเพียงนี้เชียว”
“อย่าเหมารวมสิ อย่างคุณหนูจิ่งเซวียนก็มาจากโลกชั้นล่างมิใช่หรือ”
“หากเรื่องนี้เป็นจริง หลินสวินคนนี้คงไม่ธรรมดา บุคคลระดับนี้สักวันจะต้องเข้ามาฝึกปราณที่ดินแดนรกร้างโบราณของเราแน่ ฉวยโอกาสนี้ทำความรู้จักเอาไว้ก็ไม่เลว”
ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์ กึ่งเชื่อกึ่งสงสัย
และในยามนี้ชายหนุ่มชุดฟ้าที่อยู่ตรงหน้าพลันเชิดหน้าขึ้นมองหลินสวินพร้อมเอ่ย “นี่ หลินเสวียนคนนั้นน่ะ เจ้าก็แซ่หลิน รู้จักหลินสวินหรือไม่ เขาเก่งอย่างที่เล่าขานกันหรือไม่”
ทันใดนั้นทุกสายตาพลันหันมองหลินสวิน
กลับเห็นหลินสวินกล่าวสบายๆ “ไม่เคยปฏิสัมพันธ์ด้วย ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด”
“เจ้าเป็นผู้ติดตามของคุณหนูจิ่งเซวียนเชียวนะ แต่ยังไม่รู้ว่าหลินสวินเก่งจริงๆ หรือไม่ ดูเหมือนว่าข่าวลือเกี่ยวกับหลินสวินคนนี้ส่วนใหญ่ล้วนเกินจริง ไม่คู่ควรให้พูดถึง”
ชายหนุ่มเสื้อฟ้ายิ้มเยาะ “จะว่าไปก็จริง ก็แค่โลกชั้นล่าง ที่ทุรกันดารแบบนั้นจะมีคนที่พลิกฟ้าขนาดนี้ได้อย่างไร”
ทันใดนั้นพวกเขาก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก พวกเขาเพิ่งมาถึงโลกนี้ ยังไม่เข้าใจทุกอย่าง แต่กลับตัดสินไปแล้วว่าที่ทุรกันดารแบบนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะมีอัจฉริยะพลิกฟ้าปรากฏ
เมื่อหลินสวินได้ยินแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าควรบอกว่าคนพวกนี้หยิ่งผยองหรือความรู้ตื้นเขิน ในใจจึงยิ่งคร้านจะสนใจคนพวกนี้
เดิมทีหลินสวินยังเต็มไปด้วยความคาดหวังต่อคนในดินแดนรกร้างโบราณเหล่านี้ คิดว่าในเมื่อมาจากสำนักเดียวกันกับจ้าวจิ่งเซวียนย่อมไม่ธรรมดา
น่าเสียดายที่เพียงปฏิสัมพันธ์กับผู้ติดตามเหล่านี้ก็ทำให้หลินสวินเอือมระอาแล้ว
นี่มันคนประเภทไหนกัน เป็นแค่ผู้ติดตามเท่านั้น เอ่ยปากพูดแต่ละครั้งก็มีแต่ ‘โลกชั้นล่าง’ ‘คนชั้นล่าง’ ‘ถิ่นทุรกันดาร’ พวกนี้ วางมาดสูงส่งหยิ่งผยองไม่เห็นใครอยู่ในสายตา คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน
ทว่าหลินสวินคร้านจะสนใจเรื่องพวกนี้ ทว่ากลับถูกผู้ติดตามเหล่านี้ดูถูก คำพูดเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ
“หลินเสวียน ในเมื่อเจ้าสามาถเป็นผู้ติดตามของคุณหนูจิ่งเซวียนได้ คงเป็นบุคคลที่เก่งกาจในระดับหนึ่ง เพราะถ้าเป็นคนธรรมดาก็คงไม่ถูกคุณหนูจิ่งเซวียนเลือก ฉวยโอกาสนี้มาแลกเปลี่ยนความรู้กันหน่อยเป็นอย่างไร ให้ข้าได้รู้จักระดับวิถียุทธ์โลกชั้นล่างของพวกเจ้า”
จู่ๆ ชายหนุ่มเสื้อฟ้าก็พูดขึ้นอีกครั้ง พร้อมชี้ปลายทวนไปที่หลินสวิน กระตุ้นความสนใจของผู้คนมากมายทันที
“ความคิดนี้ดี ไหนๆ ก็ว่างอยู่แล้ว หลินเสวียน เจ้าแลกเปลี่ยนความรู้กับหวงสือหน่อยเป็นไร”
“หึๆ ข้าว่าช่างเถอะ รังแกผู้ฝึกปราณโลกชั้นล่าง หากแพร่ออกไปในดินแดนรกร้างโบราณจะโดนหัวเราะเยาะเอาได้”
“แค่เล่นๆ เท่านั้นเอง ไม่ต้องจริงจัง”
เหล่าผู้ติดตามต่างคนต่างแย่งกันพูด ยุยงเสี้ยมสอน
“ช่างเถอะ เดี๋ยวก็จะถึงทะเลกลืนวิญญาณแล้ว เรื่องสำคัญรออยู่”
หลินสวินนั่งหน้านิ่งพลันปฏิเสธลวกๆ แลกเปลี่ยนความรู้อะไรกัน นี่มันเย้ยหยันกันชัดๆ จงใจจะสร้างความอับอายให้หลินสวินก็เท่านั้น
“ทำไม แค่เล่นๆ เท่านั้นเอง แค่นี้ก็ไม่ไว้หน้ากันหรือ”
ชายหนุ่มเสื้อฟ้าที่นามว่าหวงสือพลันแค่นเสียงเย้ยหยัน ลุกขึ้นมองหลินสวินอย่างเยียบเย็น “รีบมาเถอะ อย่างปอดแหกทำให้ทุกคนหมดสนุก!”
——