Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 538 กดข่มอย่างแข็งกร้าว
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 538 กดข่มอย่างแข็งกร้าว
ชายชุดคลุมสีแดงรูปร่างสูงโปร่งสง่างาม ผมสีดำประบ่า เผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาจนแทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ผิวพรรณขาวราวกับหยก
เขาสวมเสื้อคลุมสีแดง รัดเอวด้วยเข็มขัดหยกขาว สวมรองเท้าหุ้มข้อสีดำ รูปลักษณ์หล่อเหลาจนสามารถยกคำว่างดงามมาอธิบายได้
ทว่ากลิ่นอายของเขากลับน่ากลัวอย่างยิ่ง ยืนอยู่เฉยๆ แต่กลับมีท่วงทำนองมรรควนเวียนรอบตัว ทะลักล้นราวกับเปลวเพลิง ไหลเวียนไม่รู้หยุด น่าพรั่นพรึงไร้ใดเปรียบ
ทันทีที่เขาเข้ามา ภายในห้องนอกจากเด็กหนุ่มชุดดำที่หมดสติไปแล้ว ผู้ติดตามคนอื่นๆ ต่างลุกขึ้นคารวะโดยพร้อมเพรียงกัน แม้แต่หวงสือที่บาดเจ็บสาหัสยังดิ้นรนลุกขึ้น
“คารวะคุณชายซิงเฟิง!”
สีหน้าของผู้ติดตามเหล่านั้นนอบน้อมอย่างที่สุด ไม่หลงเหลือความเย่อหยิ่งทะนงตนอย่างเมื่อครู่นี้สักนิด เหมือนหนูเจอแมวไม่มีผิด
ตอนนี้หลินสวินยืนอยู่อีกด้าน พอเห็นชายชุดคลุมแดงปรากฏตัว ดวงตาดำลึกล้ำของเขาก็อดหรี่ลงเล็กน้อยไม่ได้
ซูซิงเฟิง!
ตอนที่ออกเดินทาง จ้าวจิ่งเซวียนเคยพูดถึงว่า ซูซิงเฟิงคนนี้ก็เป็นหนึ่งในตัวแทนศิษย์สายในของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ พรสวรรค์โดดเด่น คุณสมบัติยอดเยี่ยม ปีนี้เพิ่งอายุสิบเก้าเท่านั้น ก็มีพลังปราณในระดับหยั่งสัจจะขั้นต้นแล้ว
ตอนนี้เพียงมองจากกลิ่นอายของซูซิงเฟิงก็ทำให้หลินสวินอดตะลึงไม่ได้ คนผู้นี้แข็งแกร่งมาก ทำให้เขาเองยังรู้สึกถึงความกดดันสายหนึ่ง
หลินสวินเป็นคนที่เคยสังหารระดับหยั่งสัจจะกับมือ ทั้งยังเคยปะทะกับผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะอย่างเหยาทั่วไห่มาแล้ว แต่เมื่อเทียบกับซูซิงเฟิง คนอื่นๆ ก็ดูด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
นี่จะต้องเป็นบุคคลอัจฉริยะระดับผู้กล้าที่มาจากสำนักโบราณในดินแดนรกร้างโบราณอย่างไม่ต้องสงสัย ใช่ว่าคนธรรมดาจะเทียบได้!
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
ซูซิงเฟิงเอามือไพล่หลัง น้ำเสียงทุ้มต่ำ สายตาประดุจสายฟ้ากวาดมองภายในห้อง เพิ่งจะเข้าห้องก็เกือบจะถูกโจมตี ทำให้เขาไม่ชอบใจอย่างเห็นได้ชัด
ผู้ติดตามคนหนึ่งเดินขึ้นไป อธิบายเสียงเบา
ทันใดนั้นคิ้วกระบี่ของซูซิงเฟิงก็เลิกขึ้น บนใบหน้างดงามหล่อเหลาเผยแววเย็นชา มองมาทางหลินสวินแล้วกล่าว “เจ้าเป็นผู้ติดตามของศิษย์น้องจ้าวหรือ”
น้ำเสียงไม่มีเจตนาของการกล่าวโทษ แต่เมื่อผนวกกับอานุภาพความน่าเกรงขามรอบตัวเขา กลับทำให้รู้สึกถึงการกดดันอันน่าสะพรึง
“ไม่ผิด” หลินสวินพยักหน้า
ซูซิงเฟิงร้องอ้อคำหนึ่ง พลันยื่นแขนขวาออกไปสะบัดแขนเสื้อ แสงไฟดุจห้อทะยานพุ่งออกมา เป็นเหมือนแส้ยาวที่เกาะตัวขึ้นด้วยเปลวเพลิง แผดเผาอย่างรุนแรง
เขาลงมือกะทันหันมาก ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือ การโจมตีนี้กลับมุ่งเป้าไปที่หวงสือ!
เพี๊ยะ!
แส้เพลิงเจิดจ้าตวัดโฉบเพียงเบาๆ ก็ตีจนหวงสือหนังเปิดเนื้อแตก รอยแส้น่าสะพรึงกลัวนั่นแฝงพลังสัจวิถีธาตุไฟ เผาทำลายผิวหนังของหวงสือ มุดเข้ากระดูก ทำเอาเขาร้องโหยหวนคุกเข่ากับพื้น เจ็บปวดอย่างรุนแรงจนกระตุกไปทั้งตัว
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้เขากลับไม่กล้าเอ่ยวาจาแค้นเคืองแม้แต่คำเดียว กัดฟันแน่นอดทนอยู่อย่างนั้น
ทุกคนต่างสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง หวงสือเป็นผู้ติดตามข้างกายซูซิงเฟิง ใครจะคิดว่าซูซิงเฟิงจะลงมืออย่างรุนแรงกับผู้ติดตามของตน
อีกทั้งพวกเขาต่างเห็นอย่างชัดเจน ว่าการโจมตีนี้ของซูซิงเฟิงไม่ออมมือเลยสักนิด!
“แพ้ให้กับผู้ฝึกปราณโลกชั้นล่างคนหนึ่ง หน้าของข้าถูกขยะอย่างเจ้าทำขายหน้าจนสิ้นแล้ว!”
ใบหน้าหล่อเหลางดงามของซูซิงเฟิงเย็นชา น้ำเสียงเยียบเย็น ทำให้คนอื่นๆ ถึงกับเหงื่อตก ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดซูซิงเฟิงจึงสั่งสอนหวงสือ
มีเพียงหลินสวินเท่านั้นที่รู้สึกว่าคำพูดของซูซิงเฟิงเสียดหู ผู้ฝึกปราณโลกชั้นล่างหมายความว่าอย่างไร การแพ้ให้เขาเป็นเรื่องที่น่าอับอายมากงั้นหรือ
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว!”
หวงสือพูดในขณะที่คุกเข่าอยู่บนพื้น
ตอนนี้ซูซิงเฟิงหันมามองหลินสวินอีกครั้ง “ข้าไม่สนว่าเป็นเพราะเหตุผลใด ในเมื่อผู้น้อยอย่างเจ้ากล้าทำร้ายผู้ติดตามของข้าก็ต้องชดใช้ เห็นแก่ศิษย์น้องจ้าว ข้าจะให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง คุกเข่าโขกหัวแล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
น้ำเสียงเย็นชาแฝงความดูถูกที่ทำให้รู้สึกดดัน ราวกับจักรพรรดิผู้สูงส่งออกคำสั่งอย่างไม่อนุญาตให้ขัดขืน
ผู้ติดตามเหล่านั้นตาเป็นประกายเผยความตื่นเต้น แม้แต่หวงสือที่คุกเข่าอยู่บนพื้น สีหน้ายังเผยความอาฆาตแค้น
หลินสวินอึ้ง ราวกับรู้สึกว่าตนฟังผิด กล่าวว่า “ท่านบอกให้ข้าคุกเข่าโขกหัวงั้นหรือ”
นัยน์ตาของซูซิงเฟิงเต็มไปด้วยประกายเย็นเยียบ น่าสะพรึงกลัวราวกับคมมีด “ข้าจะไม่พูดซ้ำเป็นครั้งที่สอง!”
หลินสวินไม่คิดเลยจริงๆ ว่าซูซิงเฟิงจะเผด็จการเพียงนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบทำอะไรตามอำเภอใจ กดข่มอย่างแข็งกร้าว ยามนี้ยิ่งบังคับให้หลินสวินคุกเข่า!
นี่เท่ากับการรังแกกันโดยไม่คิดปิดบังเลยสักนิด
คำว่าเผด็จการเป็นอย่างไร
ก็แบบนี้อย่างไรเล่า
“ท่านควรทำความเข้าใจก่อนว่า เป็นลูกน้องของท่านลงมือหาเรื่องข้าก่อน ไม่ใช่ความผิดของข้า”
สุดท้ายหลินสวินก็ตัดสินใจทน ไม่ได้แตกหักกันทันที ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่จ้าวจิ่งเซวียน เขาคงเดินออกไปตั้งนานแล้ว
พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินออกไป
ผู้ติดตามเหล่านั้นอึ้งไปทันที สูดหายใจเข้าด้วยความตกใจ เจ้าหมอนี่เป็นแค่ผู้ติดตามโลกชั้นล่างเท่านั้น กลับ…กลับกล้าไม่ไว้หน้าคุณชายซิงเฟิงเชียวหรือ
แม้แต่ซูซิงเฟิงเองยังอึ้งไปเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะเจอคนที่กล้าขัดคำสั่งตนเช่นนี้
ทันใดนั้นไอสังหารแวบผ่านเข้ามาในดวงตาของเขา พลันสะบัดแขนเสื้อ แสงเพลิงสายหนึ่งที่ราวกับสายฟ้าโฉบออกมาอย่างดุดันรุนแรง เต็มไปด้วยพลังเผาไหม้น่ากลัว พุ่งแทงไปทางหลินสวิน
เร็ว!
เร็วเกินไปแล้ว แสดงให้เห็นถึงการควบคุมพลังได้อย่างสมบูรณ์ของผู้กล้าระดับหยั่งสัจจะวัยเยาว์ เพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ในระดับเดียวกันรู้สึกละอายใจเพราะเทียบไม่ได้
หลินสวินสัมผัสได้ถึงอันตราย ดวงตาดำขลับพลันหรี่ลงเล็กน้อย ความขึ้งโกรธแวบผ่านเข้ามา ซูซิงเฟิงเป็นคนที่ทำตามอำเภอใจและเผด็จการอย่างเห็นได้ชัด
ปัง!
เพียงแต่ไม่รอให้หลินสวินโต้ตอบ ก็เห็นมือขาวผ่องงดงามของจ้าวจิ่งเซวียนที่ไม่รู้ว่าปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่คว้าจับไว้เบาๆ สลายแสงเพลิงนั้น
“ศิษย์พี่ซู โปรดระวังการกระทำด้วย”
จ้าวจิ่งเซวียนสีหน้าราบเรียบ ดวงตากระจ่างนิ่งสงบ ชุดสีม่วงทั้งตัวดูโดดเด่นอย่างมาก
“ศิษย์น้องจ้าว ผู้ติดตามคนนี้ของเจ้าใจกล้าคับฟ้า ข้าเพียงลงมือสั่งสอนสักหน่อยเท่านั้น เจ้าก็จะขัดขวางแล้วหรือ”
ซูซิงเฟิงขมวดคิ้ว
“คนของข้า ถ้าจะต้องสั่งสอนก็ควรเป็นข้าที่สั่งสอน ศิษย์พี่ซูทำเช่นนี้เห็นจะเป็นการล้ำเส้น ข้าไม่อยากให้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง ขอตัว”
จ้าวจิ่งเซวียนพูดจบก็พาหลินสวินเดินออกจากห้องไป
“ศิษย์น้องจ้าว เจ้าอยากแตกหักกับข้าเพียงเพราะผู้น้อยคนหนึ่งหรือ”
นัยน์ตาซูซิงเฟิงมีประกายเพลิงพลุ่งพล่าน ใบหน้าหล่อเหลางดงามปรากฏไอสังหารที่คล้ายมีคล้ายไม่มี ดูน่าหวาดหวั่นยิ่ง
“นั่นก็ต้องดูว่าศิษย์พี่ซูจะเอาอย่างไร”
จ้าวจิ่งเซวียนพูดอย่างราบเรียบโดยไม่หันกลับไปมองด้วยซ้ำ แต่ท่าทีกลับเด็ดเดี่ยวยิ่ง อยากสั่งสอนหลินสวินหรือ เช่นนั้นก็ต้องผ่านด่านนางไปก่อน!
จวบจนกระทั่งเงาร่างของนางและหลินสวินหายไป สุดท้ายซูซิงเฟิงก็ยังไม่ได้ลงมือ เพียงแต่สีหน้าของเขาเย็นเยียบจนน่ากลัว สายตาราวกับเปลวเพลิงที่ลุกโหม มีไอสังสารน่าสะพรึงกลัวไหลเวียนอยู่
เพียงแค่กลิ่นอายที่แผ่กระจายออกจากตัวเขาก็ทำให้บรรยากาศภายในห้องทั้งกดดันและเงียบสนิท ผู้ติดตามเหล่านั้นแทบจะหยุดหายใจ เหงื่อซึมไปทั่วกาย
สุดท้าย จู่ๆ ซูซิงเฟิงก็ระบายยิ้ม สายตาเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบไร้ซึ่งความรู้สึก ในใจใคร่ครวญ ‘ดูเหมือนว่าผู้ติดตามที่ชื่อหลินเสวียนคนนั้นจะสำคัญกับศิษย์น้องจ้าวอย่างมากสินะ…’
……
บนดาดฟ้ายานสำเภา จ้าวจิ่งเซวียนและหลินสวินยืนอยู่เคียงข้างกัน ทอดสายตามองไป ธาราขุนเขาและผืนแผ่นดินราวกับเงาที่แฉลบผ่านไป ถูกยานสำเภาทิ้งเอาไว้ข้างหลังอย่างรวดเร็ว
ลมพัดกรรโชกจนก้อนเมฆปั่นป่วน จ้าวจิ่งเซวียนในชุดม่วงดวงตากระจ่างฟันขาว ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาสะอาดสะอ้าน บุคลิกโดดเด่นสง่างาม
‘ขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องลำบาก’ นางสื่อจิต เสียงพูดราวกับสายน้ำใสไหลริน ไพเราะเสนาะหูราวกับเสียงแห่งธรรมชาติ
‘ไม่เป็นไร’ หลินสวินยิ้ม
‘ไม่เป็นไรจริงๆ นะ’
‘เจ้าโดนสุนัขกัดแล้วจะกัดคืนหรือ’ หลินสวินยิ้มพูด
‘แน่นอนว่าไม่ แต่ข้าจะตั้งหม้อ ตุ๋นสุนัขดุตัวนั้นกินซะ’
จ้าวจิ่งเซวียนกะพริบตาปริบๆ ยิ้มกล่าว ฟันขาวของนางเป็นประกาย ริมฝีปากแดงยกโค้งดูเย้ายวน บวกกับบุคลิกงามสง่าโดดเด่นของนาง ยิ่งมีสเน่ห์ที่ชวนให้รู้สึกใจสั่นหวั่นไหว
‘ฮ่าๆๆ คำพูดนี้ถูกใจข้านัก เสียดายที่ตอนนี้ข้าเป็นเพียงผู้ติดตาม อยากกินเนื้อสุนัขตอนนี้ เกรงว่าคงไม่ได้’
หลินสวินหัวเราะลั่น เขารู้สึกดีกับจ้าวจิ่งเซวียนมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้ว่านางจะเป็นธิดาของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน แต่กลับไม่มีนิสัยหยิ่งยโส ตรงกันข้ามนางเป็นคนอ่อนโยน เรียบง่ายสบายๆ ไม่คิดเล็กคิดน้อย ถ้าพูดถึงเรื่องของจิตใจและบุคลิก ก็ไม่ด้อยไปกว่าเหล่าบุรุษอัจฉริยะ
‘เจ้าทนไปก่อน รอเข้าไปในแดนลับบรรพกาล ข้ากับศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ จะแยกกันลงมือ แย่งชิงวาสนาด้วยความสามารถของตน ถึงตอนนั้นเจ้าสามารถแสดงฝีมือออกมาได้อย่างเต็มที่’
จ้าวจิ่งเซวียนเกลี่ยผมทัดหู
หลินสวินพยักหน้า
ทั้งสองต่างสื่อจิต จึงไม่กังวลว่าคนอื่นจะได้ยิน
ติ้งๆ แต้งๆ~~
ยามนี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงพิณไพเราะดังแว่วมาจากหัวยานสำเภา
หลินสวินหันไปก็เห็นว่าบนดาดฟ้ามีชายคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น ตรงหน้าเข่ามีกู่เจิงวางพาดอยู่ เขากำลังดีดกู่เจิง นิ้วทั้งสิบดีดดึงสาย เสียงดนตรีราวกับเสียงธรรมชาติหมุนวน พาให้จิตวิญญาณสงบสุข
ชายคนนี้รูปร่างผอมบาง ดูแล้วอายุไม่เกินยี่สิบสาม ยี่สิบสี่ปี ชุดสีขาวอันเรียบง่ายพลิ้วไหวตามสายลม บุคลิกล่องลอยราวกับควันเมฆ ให้ความรู้สึกสงบราวกับถูกชะล้างมลทินออกไปจนหมด
พอสายตาของหลินสวินมองไป ชายคนนั้นก็เหมือนจะสัมผัสได้ จึงเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้หลินสวินอย่างอบอุ่นและเป็นมิตร
หลินสวินชะงักไป พอมองอีกครั้งชายคนนั้นก็เก็บสายตาก้มหน้าดีดกู่เจิงต่อแล้ว
‘นั่นเป็นศิษย์พี่สามของข้า เซียวหรัน’
จ้าวจิ่งเซวียนสื่อจิตเสียงเบา แนะนำฐานะของชายคนนี้ ‘เขาเป็นอัจฉริยบุคคลแห่งยุคที่ไม่ธรรมดา เป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่ทำให้ข้าชื่นชมที่สุดในบรรดาศิษย์สายในของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ’
‘เขาเกิดมาพร้อมกับ ‘แสงวิญญาณมหามรรค’ อันลึกลับ ตอนอายุสามปีถูกพาเข้ามาฝึกปราณที่แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ เมื่ออายุสิบห้าปีได้กลายเป็นหนึ่งในสามศิษย์สายในที่โดดเด่น’
‘ปัจจุบันเขาฝึกปราณมาเพียงยี่สิบสี่ปีเท่านั้น ในบรรดาศิษย์สายในของสามสิบหกยอดเขาแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ แทบจะไม่มีใครสยบเขาได้แล้ว’
‘โลกภายนอกต่างลือกันว่า ต่อให้เทียบกับผู้กล้าและปีศาจในแดนศักดิ์สิทธิ์โบราณอื่นๆ ภายในดินแดนรกร้างโบราณ ศิษย์พี่เซียวหรันก็สามารถอยู่แนวหน้าได้ แต่เขาเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบการแก่งแย่ง นิสัยก็อ่อนโยน จึงแทบไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้พลังปราณของศิษย์พี่เซียวหรันแข็งแกร่งถึงระดับไหนแล้ว’
ได้ยินทั้งหมดนี้ ภายในใจหลินสวินก็อดหวาดเกรงไม่ได้ เขารู้ดีว่าศักยภาพและพรสวรรค์ของจ้าวจิ่งเซวียนน่าสะพรึงกลัวเพียงใด
ใครจะคิดว่าแม้แต่จ้าวจิ่งเซวียนยังชื่นชมเซียวหรัน แค่คิดก็รู้แล้วว่าพรสวรรค์บนเส้นทางฝึกปราณของคนผู้นี้ชวนตะลึงเพียงใด!
——