Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 542 ราชันวิญญาณอาฆาต
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 542 ราชันวิญญาณอาฆาต
“นั่นอะไร”
ไม่นานคนอื่นๆ ก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอันตรายอันไร้ที่เปรียบนั่น แต่ละคนต่างถืออาวุธ ตั้งมั่นพร้อมรับมือศัตรู
เห็นได้ชัดว่ามีอันตรายที่ไม่รู้จักใกล้เข้ามา
หลินสวินเองก็หยิบเจดีย์สมบัติทองอร่ามออกมา นี่คือ ‘เจดีย์สมบัติไร้อักษร’ รูปทรงแปดเหลี่ยม กลิ่นอายเก่าแก่ไพศาล
หลินสวินได้ลบตราประทับของเหยาทั่วไห่ในสมบัตินี้และประทับพลังของตนเข้าไป สิ่งที่น่าเสียดายคือ สมบัตินี้วิเศษและลึกลับเกินไป ตอนนี้หลินสวินเพียงควบคุมได้อย่างฝืนๆ เท่านั้น ยังไม่สามารถใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ
หืม?
ตอนที่หยิบเจดีย์สมบัติไร้อักษรออกมา หลินสวินรับรู้ได้อย่างมีฉับไวว่ามีหลายสายตากวาดมองมาก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว
แต่หลินสวินสังเกตเห็นแล้วว่า สายตานั่นมาจากซูซิงเฟิงและเด็กชายชุดหลากสีเหวินเสียง ทั้งสองคล้ายสัมผัสได้ถึงบางอย่างจากกลิ่นอายของเจดีย์สมบัติไร้อักษร
ผืนทะเลแห่งนี้ยิ่งดูเงียบสงบไร้สุ้มเสียง ท่ามกลางหมอกอันมืดครึ้มเหนือระดับน้ำปรากฏเงาร่างมากมาย
บนร่างพวกมันแผ่กระจายไอดำ สวมชุดเกาะที่พังยับเยิน ถืออาวุธสนิมเกาะ ราวกับทัพใหญ่ที่ออกมาจากนรก!
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือพวกมันดูแปลกประหลาด ร่างกายไม่สมบูรณ์แทบทั้งสิ้น บ้างก็แขนขาขาด บ้างก็หน้าอกเน่าเละ บ้างก็เหลือเพียงโครงกระดูก บางคนถึงขั้นไม่มีหัว!
แต่พวกเขามีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายอันเย็นเยียบอย่างที่สุด
เยอะเกินไปแล้ว!
หนาแน่นท่วมฟ้าดิน กลิ่นอายชั่วร้ายพุ่งขึ้นชั้นฟ้า ปิดกั้นทะเลเบื้องหน้า ราวกับกองทัพนรกที่ข้ามพรมแดน หมายจะเปลี่ยนโลกนี้ให้กลายเป็นสนามรบ
“วิญญาณอาฆาตยืมซากศพ เริ่มอยู่เหนือพลังแห่งความตาย ฝึกบำเพ็ญมหามรรคอีกครา!” สีหน้าของผู้เฒ่าเกาหยางเคร่งขรึมผิดปกติ
คนอื่นๆ ก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกเขาดูออกว่านั่นเป็นกองทัพวิญญาณอาฆาตที่แปลกประหลาดยิ่ง ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่กลิ่นอายกลับน่ากลัวนัก
วิญญาณอาฆาตยืมซากศพ ฝึกบำเพ็ญมหามรรคอีกครา?
ใครจะกล้าจินตนาการว่าบนโลกนี้จะมีเรื่องเหลือเชื่อเพียงนี้ อย่าลืมว่าวิญญาณอาฆาตเหล่านั้นมาจากไอความเคียดแค้นยามสิ้นชีพของเหล่าผู้แข็งแกร่งบรรพกาล
เพียงไอเคียดแค้นเท่านั้น ไม่เพียงไม่เคยสลายไป แต่ยังเริ่มฝึกปราณ น่าสะพรึงกลัวเพียงใดกัน
กองทัพวิญญาณอาฆาตมาเยือนโดยไม่ให้สุ้มเสียง เงียบสงบลึกลับ ก้าวเดินอยู่บนผืนทะเลสีดำ อานุภาพอันไร้เสียงเช่นนั้นพาให้อกสั่นขวัญแขวน
“ท่านผู้เฒ่า หากรับมือไม่ได้พวกเราก็เลี่ยงการปะทะชั่วคราว ออกจากที่นี่ก่อน” เซียวหรันพูดขึ้น เขาที่โดดเด่นมาโดยตลอด ยามนี้สีหน้าก็เคร่งขรึมจริงจัง
“ไม่มีประโยชน์ ถ้ากองทัพวิญญาณอาฆาตปรากฏตัวก็หมายความว่าไม่ตายไม่เลิก ไม่ว่าจะหนีไปถึงไหนก็จะถูกตามไป”
ผู้เฒ่าเกาหยางพูดเสียงขรึม
“ราชันแห่งข้ามาเยือน คุกเข่ายอมจำนน สังเวยชีวิตมาซะ!”
ทันใดนั้นกองทัพวิญญาณอาฆาตได้ส่งเสียงชวนสยอง ทำให้ทุกคนบนยานสำเภาชาไปทั้งหัว ขนลุกซู่ หนาวเยือกเสียดกระดูกไปทั่วร่าง
เสียงนั้นน่ากลัวมาก กระแทกจิตวิญญาณของพวกเขาโดยตรง!
“เป็นวิญญาณอาฆาตที่มีกลิ่นอายระดับราชัน!” สายตาผู้เฒ่าเกาหยางสาดพลังอันเย็นเยียบน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุดโดยพลัน
“ก็ดี วันนี้สังหารพวกมันซะ บางทีอาจจะได้ตราประทับราชันมาครอบครอง! พวกเจ้าเตรียมตัวต่อสู้ นี่ถือเป็นการฝึกที่หายากสำหรับพวกเจ้า!”
ผู้เฒ่าเกาหยางตะเบ็งเสียงราวกับฟ้าร้อง
“เป็นแค่มดปลวก กล้าดูหมิ่นข้า ต้องฆ่า!”
และในตอนนั้นเอง ในความว่างเปล่าที่ห่างไปไกลปรากฏเงาร่างสีดำ ยืนตระหง่านอยู่กลางฟ้าดิน แม้จะเลือนราง แต่กลิ่นอายนั้นน่าสะพรึงกลัวปานสะท้านโลกา
สามารถมองเห็นได้รางๆ ว่าเขาสวมเกี้ยวครอบผมหยกราวกับทำจากทองเปล่งประกาย เพียงแต่มันเลือนรางมากเกินไป จึงมองไม่ชัด
อีกทั้งในมือเขายังถือกระบี่ยาวกระดูกขาว แฝงไอความตายอันลึกลับ ราวกับราชันแห่งนรกมาเยือนโลก
ฆ่า!
ทันใดนั้นกองทัพนรกอันไร้สุ้มเสียงที่มาเยือนราวกับได้รับคำสั่งให้จู่โจม พุ่งสังหารมาทางยานสำเภา
ร่างของพวกเขาถูกไอสีเทาชั่วร้ายปกคลุม แฝงไอสังหาร น่าสะพรึงกลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ยามนี้ได้เคลื่อนไหวทั้งหมด เรียกได้ว่าปกคลุมฟ้าดิน เพียงแค่อานุภาพก็น่าสะพรึงกลัวล้นฟ้าแล้ว
วู้ม!
ในเวลาเดียวกันนั้นเตาสมบัติที่ส่องประกายระยิบระยับใบหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในมือของผู้เฒ่าเกาหยาง พื้นผิวของมันสลักลวดลายนกศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลอย่างเช่นนกชิงหลวน นกทองคำ หงส์ฟ้า นกกระจอกแยกฟ้าเป็นต้น สมจริงราวกับมีชีวิต อาบแสงประกาย ส่องสว่างไปทั่วฟ้าดิน แสงสมบัติพุ่งขึ้นเก้าชั้นฟ้า
เตาเทพหมื่นปักษา!
เป็นสมบัติพิทักษ์สำนักของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณชิ้นหนึ่ง วิเศษโดดเด่น พลังยิ่งใหญ่ไม่มีที่เปรียบ กล่าวกันว่าเป็นอาวุธเทพที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพกาล!
“เริ่มต่อสู้!”
พลังอำนาจของผู้เฒ่าเกาหยางพลันเปลี่ยนไป ถือเตาเทพหมื่นปักษาพุ่งขึ้นฟ้าไปหาราชันกองทัพวิญญาณอาฆาตนั่น
นี่จะต้องเป็นสงครามชั้นยอดที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างแน่นอน!
“ฆ่า!”
บนพื้นทะเล กองทัพวิญญาณอาฆาตพุ่งเข้ามา ซูซิงเฟิงลงมือเป็นคนแรก ราวกับมีเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ลุกโหมทั่วร่าง ถือทวนวงเดือนสีชาดเล่มหนึ่ง ในระหว่างที่กวัดแกว่ง แสงเพลิงก็เผาไหม้ไปทั่วทุกสารทิศ
ด้านหลังเขา ผู้ติดตามมากมายตามไปไล่สังหารด้วยกัน
“ทุกคนระวัง อย่าห่างจากยานสำเภาไกลนัก”
เซียวหรันกำชับ เขาไม่ได้ใช้สมบัติ เงาร่างเลื่อนลอย เคลื่อนไหวกลางอากาศ รอบตัวมีควันเมฆแวววาวล้อมอยู่ สำแดงการตอบโต้เช่นกัน
ในขณะเดียวกัน อวิ๋นเช่อถือกระบี่เลือดเล่มหนึ่ง เด็กชายชุดหลากสีเหวินเสียงปลดห่วงสมบัติสีเงินออกจากลำคอ กงหยางอวี่แปลงเป็นแกะเขียวสี่เท้าทะยานไปในอากาศ เข้าต่อสู้กับกองทัพวิญญาณอาฆาต!
ไม่เพียงแค่พวกเขา ผู้ติดตามของพวกเขาต่างก็ลงมือ
“ต้องระวังหน่อย ไม่เพียงแค่ฆ่าศัตรู ยังต้องระวังซูซิงเฟิงฉวยโอกาสลงมือกับเจ้า” จ้าวจิ่งเซวียนเตือนหลินสวิน
หลินสวินอึ้งงัน
ครืนโครมโครม…
ฟ้าดินแห่งนี้ได้เปิดม่านสงคราม แสงสมบัติสาดขึ้นฟ้า วิชายอดเยี่ยมทะยานผ่าน แสงประกายน่าหวาดหวั่นม้วนตัวแผ่กระจาย เกิดกลิ่นอายราวกับทำลายล้าง สั่นสะท้านกึกก้อง
ต้องบอกว่าลูกศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณเหล่านั้น แต่ละคนแข็งแกร่งและพลิกฟ้าอย่างไม่ยอมกัน พุ่งเข้าไปอยู่ท่ามกลางกองทัพวิญญาณอาฆาต เข่นฆ่าล่าสังหาร มีท่าทางไร้เทียมทานอยู่รางๆ
เพียงแต่กองทัพวิญญาณอาฆาตเหล่านั้นมีเยอะมากเกินไป หนาแน่นมืดฟ้ามัวดิน ไม่สามารถฆ่าได้หมดภายในระยะเวลาอันสั้นแน่
หลินสวินเองก็ลงมือเช่นกัน เจดีย์สมบัติไร้อักษรในมือกวัดแกว่งไปมา ส่องแสงมรรคทองนิลกาฬ กวาดเพียงเบาๆ วิญญาณาอาฆาตเหล่านั้นก็ราวกับเกี๊ยวที่ถูกโยนลงหม้อ ถูกม้วนเข้าไปสยบในชั้นแรกของเจดีย์สมบัติไร้อักษร
สมบัติชิ้นนี้วิเศษมาก โดยเฉพาะแสงมรรคทองนิลกาฬนั่นเต็มไปด้วยพลังคุมขังอันเหลือเชื่อ ทุกสิ่งที่ถูกมันกวาดผ่านไป จะถูกสยบกดดันทันทีโดยไม่สามารถหลบหลีกได้
ภาพที่อยู่ตรงหน้าดูเหมือนไม่ได้อันตรายอะไร แม้วิญญาณอาฆาตจะมาก แต่กลับไม่สามารถสร้างแรงกดดันอะไรได้
แต่เพียงชั่วพริบตาเท่านั้นพลันมีคนกรีดร้องขึ้นมา “สมควรตาย! ไอชั่วร้ายของพวกมัน…จะกัดกร่อนจิตวิญญาณอย่างเงียบๆ!”
คนพูดคือเด็กชายชุดหลากสีเหวินเสียง เสียงอ่อนเยาว์เต็มไปด้วยความตะลึงระคนกราดเกรี้ยว คนอื่นๆ เองก็สังเกตเห็นสภาพการณ์นี้ ในใจล้วนไหวหวั่น
วิญญาณอาฆาตเหล่านั้นถูกสังหาร แต่กลับกลายเป็นไอชั่วร้ายทั่วน่านฟ้า สามารถกัดกร่อนจิตวิญญาณของผู้ฝึกปราณอย่างเงียบๆ!
นี่เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดและน่ากลัว พลังของวิญญาณอาฆาตเหล่านี้ประหลาดมากไปแล้ว
นอกเสียจากว่าลบล้างไอชั่วร้ายหลังจากทำให้พวกมันตายไปได้ มิฉะนั้นยิ่งสังหารมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณของพวกเขามากเท่านั้น!
“อ๊าก…”
ไม่นานก็มีคนร้องโหยหวน เป็นผู้ติดตามคนหนึ่งของอวิ๋นเช่อ ถูกวิญญาณอาฆาตรูปลักษณ์คล้ายลิง แต่มีปากขนาดใหญ่ลอบจู่โจม ร่างกายถูกฉีกละเอียด กลายเป็นฝนเลือดตายไป!
ผู้ติดตามถูกสังหาร ทำให้ดวงตาของอวิ๋นเช่อสาดไอสังหาร กระบี่เลือดวาดผ่านอากาศ ฟาดฟันลงไป
สิ่งที่น่าตกใจคือ วิญญาณอาฆาตนั่นสกัดกั้นการโจมตีของอวิ๋นเช่อเอาไว้ได้ แม้จะถูกฟันจนร่างกายแยกออกจากกัน แต่เพียงพริบตาเดียวมันก็หนีหายเข้าไปในส่วนลึกของกองทัพวิญญาณอาฆาต
สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นอย่างไม่ต้องสงสัยว่า ท่ามกลางกองทัพวิญญาณอาฆาตเหล่านี้ ก็มีวิญญาณอาฆาตแข็งแกร่งที่สามารถสู้พวกเขาได้อยู่
เรื่องนี้ทำให้พวกเซียวหรันไม่กล้าประมาท สีหน้าจริงจังขึ้นมา เปลี่ยนเป็นระมัดระวังขึ้น สังหารอยู่บริเวณยานสำเภาโดยไม่กล้าออกห่างไปไกล
ตามคาด ท่ามกลางเวลาที่ล่วงเลยไป ผู้แข็งแกร่งในกองทัพวิญญาณอาฆาตมากขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ สร้างแรงกดดันให้กับพวกเซียวหรัน
เหล่าวิญญาณอาฆาตที่แข็งแกร่งจำแนกง่ายมาก เมื่อเทียบกับวิญญาณอาฆาตอื่นๆ แล้ว ร่างของพวกเขาสมบูรณ์กว่า มีไอชั่วร้ายอยู่ทั่วร่าง แผ่กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัว ไม่เหมือนสิ่งที่ตายแล้ว กลับประหนึ่งมีความรู้สึกนึกคิดและสติปัญญา รู้จักหลบหลีกลอบสังหาร!
สิ่งที่ทำให้หลินสวินวางใจคือ เขาใช้เจดีย์สมบัติไร้อักษรปราบวิญญาณอาฆาตมาตั้งแต่เริ่มต่อสู้ เพราะฉะนั้นแน่นอนว่าไม่มีทางทำให้วิญญาณอาฆาตนั่นกลายเป็นไอชั่วร้าย กัดกร่อนจิตวิญญาณของเขาได้
ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อรักษาฐานะและสำรวมตน หลินสวินจึงติดตามอยู่ใกล้ๆ จ้าวจิ่งเซวียนตลอดเวลา เหมือนเป็นผู้ติดตามที่ภักดี ไม่เผยพลังออกมามากนัก
แบบนี้ดูเหมือนผ่อนคลายมาก เพียงแต่เรื่องดีงามมักไม่ยืนยาว ไม่นานแสงดำที่ราวกับคมมีดสายหนึ่งพลันยิงเข้ามา!
กะทันหันและรวดเร็วเกินไป อีกเพียงนิดก็จะแทงคอหลินสวินแล้ว
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ยังตัดผมดำของเขาไปได้กระจุกหนึ่ง ทำเอาเขาตกใจจนหลั่งเหงื่อเย็น เงยหน้าขึ้นมองไป ก็เห็นว่าผู้ที่ลอบสังหารตนเป็นวิญญาณอาฆาตที่แตกต่างอย่างยิ่งคนหนึ่ง
หัวของมันราวกับผีร้าย หน้าเขียวเขี้ยวงอก ดูเหี้ยมโหดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ อาวุธที่อยู่ในมือก็แปลกประหลาดยิ่ง เป็นด้ามดาบเล่มหนึ่ง
ไม่มีความแหลมคม เป็นเพียงด้ามดาบเท่านั้น แต่เมื่อมันกวัดแกว่งด้ามดาบ ก็จะมีแสงสีดำน่าพรั่นพรึงกวาดออกมา สังหารกลางอากาศ ปั่นป่วนลมเมฆ ดุดันน่ากลัวถึงขีดสุด การโจมตีน่าตระหนกเมื่อครู่นี้ก็มาจากด้ามดาบเล่มนี้!
“ระวัง!”
สีหน้าของจ้าวจิ่งเซวียนที่อยู่บริเวณนั้นเปลี่ยนไปเล้กน้อย สัมผัสได้ว่าความสามารถของวิญญาณอาฆาตคนนี้ไม่ธรรมดา คงจะเป็นบุคคลชั้นยอดในกองทัพวิญญาณอาฆาต ยืมศพฝึกตน มีพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
เพียงแต่ยามจ้าวจิ่งเซวียนเตรียมจะเข้าไปช่วยหลินสวิน นางกลับถูกวิญญาณอาฆาตอีกคนพัวพันเอาไว้ นั่นเป็นวิญญาณอาฆาตที่ร้ายกาจเช่นกัน ทำให้ในชั่วขณะหนึ่งจ้าวจิ่งเซวียนยากจะแยกร่างไปช่วยหลินสวินได้
และทางนี้ หลินสวินได้เริ่มต่อสู้อย่างดุเดือดกับวิญญาณอาฆาตที่ถือด้ามดาบนั่นแล้ว!
สวบ!
แสงมรรคทองนิลกาฬม้วนตัวออกมา แวววาวราวมายา ไอสีทองอร่ามงดงาม แต่วิญญาณอาฆาตนั่นก็เหมือนรู้ถึงอันตราย หลบหลีกโดยพลัน ไม่ปะทะซึ่งหน้ากับแสงมรรคทองนิลกาฬ
พร้อมกันนั้นมันก็กวัดแกว่งด้ามดาบ สาดไอดาบสีดำอันคมกริบสะเทือนโลกเข้าจู่โจมหลินสวิน เห็นได้ชัดว่าดุดันและแข็งแกร่งมากผิดปกติ
มันไม่เหมือนวิญญาณอาฆาต แต่เหมือนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ยอดฝีมือที่แท้จริง อีกทั้งยังมีพลังที่ไม่ด้อยไปกว่าระดับหยั่งสัจจะอย่างแน่นอน!
หลินสวินยิ่งตกใจ วิญญาณอาฆาตตนนี้ไม่ธรรมดายิ่งกว่าที่เขาคิดเสียอีก มันแปลงมาจากไอเคียดแค้นกลุ่มหนึ่งเท่านั้น กลับมีมรรควิถีที่ร้ายกาจเพียงนี้ ราวกับมีความรู้สึกนึกคิดและสติปัญญา ด้ามดาบในมือก็เห็นได้ชัดว่าเป็นสมบัติลับชำรุดชิ้นหนึ่ง…
มัน…ทำถึงขั้นนี้ได้อย่างไรกันแน่
……………..