Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 548 ฝันท่องบรรพกาล
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 548 ฝันท่องบรรพกาล
“เจ้า…จะหน้าไม่อายไปแล้วกระมัง ข้าไม่เคยเห็นคนถ่อยแบบเจ้าเลย!” จินตู๋อีโกรธเคืองจนตัวสั่นระริก ด่าทอยกใหญ่
เขาโมโหมากจริงๆ เดิมทีถูกหลินสวินใช้แสงมรรคทองนิลกาฬฟาดก็ทำให้ตนคับข้องใจมากจนต้องก้มหัวให้
จะคิดได้อย่างไรว่าต่อให้เขาพูดทุกอย่างโดยดี เด็กหนุ่มก็ยังไม่คิดจะปล่อยตนไป นี่ทำให้เขาทนไม่ไหวในทันที
“ปล่อยเจ้าไปตอนนี้ เกิดเจ้าแพร่งพรายเรื่องเจดีย์สมบัติของข้าจะทำอย่างไร”
ไม่ทันที่จินตู๋อีเอ่ยปาก หลินสวินก็พูดต่อว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าไม่ได้ต้องการออกจากสุสานสมุทรฝังมรรคหรอกหรือ รอเมื่อข้าออกไปก็จะพาเจ้าไปด้วย ถือเสียว่าเป็นการชดเชยให้เจ้าแล้ว”
“เจ้าคนหน้าด้าน!” จินตู๋อีร้องเสียงดังอย่างไม่พอใจถึงที่สุด
“อย่าเพิ่งด่าสิ ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้าอยากจะติดอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิตหรือ” หลินสวินยิ้มถาม
“หน้าด้าน! ใจดำ! ข้าดันเชื่อคำพูดเฮงซวยของเจ้าเมื่อครู่ ช่างหลอกข้าได้!” จินตู๋อียังด่าทอไม่หยุดหย่อนเหมือนเดิม
หลินสวินไม่โมโห สายตากวาดไปยังท่อนล่างของจินตู๋อี พลันพูดขึ้นว่า “เจ้าคางคก ขาที่สามของเจ้าล่ะ คงไม่ได้…ซ่อนอยู่ตรงนั้นกระมัง”
สายตาของเขามองไปยังเป้าของจินตู๋อี สีหน้าล้อเลียนร้ายกาจ
ใบหน้าหล่อเหล่าของจินตู๋อีแดงซ่านอย่างหาใดเทียบ มือทั้งสองข้างกุมเป้าไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว ท่าทางทั้งโกรธทั้งอายจนอยากตาย คลุ้มคลั่งหาใดเทียบ
เขากัดฟันกรอด คำรามเสียงดังราวฟ้าผ่า “เจ้าๆๆ…สารเลว! วิปลาส! ไร้ยางอาย! หากข้าออกไปได้ จะแล่เนื้อเจ้าให้หมากิน!”
หลินสวินหัวเราะร่าพูดว่า “เจ้าคางคก รู้จักเวล่ำเวลาถึงจะเป็นยอดบุรุษ เจ้าก็สงบใจลงตรงนี้เสียหน่อย รอคิดได้เมื่อไรพวกเราค่อยมาคุยกันดีๆ”
หลินสวินพูดจบก็ไม่สนใจว่าจินตู๋อีจะว่าร้ายอย่างไร เก็บเจดีย์สมบัติไร้อักษรลงไปทั้งอย่างนั้น
เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า ภายหลังหากไม่ใช่ยามจำเป็น จะไม่เปิดเผยสมบัติลับนี้เด็ดขาด!
ดาบหักยังดี ขอเพียงไม่ปรากฏลายมรรคลึกลับเหล่านั้น ก็เป็นเพียงดาบหักร้ายกาจน่าตื่นตายิ่งชิ้นหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางดึงดูดความสนใจมากมายนัก
แต่เจดีย์สมบัติไร้อักษรนี้ไม่เหมือนกัน ทั้งเรือนหลอมจากเหล็กเทพศุภโชค เกิดถูกเห็นเข้าต้องชักนำเภทภัยที่ไม่อาจคาดคะเนได้แน่
ฮูม!
ในห้องปรากฏลูกไฟส่องสว่างเจิดจ้าไหลหลั่งไปด้วยท่วงทำนองมรรคสิบกว่าลูก
นี่เป็นเศษเสี้ยวเจตจำนง มีทั้งหมดสิบสองชิ้น เป็นสิ่งที่ขู่เข็ญช่วงชิงกลับมาจากปากของจินตู๋อี
ในเศษเสี้ยวเจตจำนงทุกชิ้นล้วนบรรจุประสบการณ์การฝึกปราณของผู้แข็งแกร่งบรรพกาลไว้ แม้คลุมเครือและไม่สมบูรณ์ แต่มูลค่าเหลือคณา ไม่มีทางหาได้ในโลกภายนอก!
เหล่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณอย่างเซียวหรัน จ้าวจิ่งเซวียน ต่างได้เศษเสี้ยวเจตจำนงมาเพียงสองสามชิ้นเท่านั้น
พูดได้ว่า หากถกกันว่าในการต่อสู้กับวิญญาณอาฆาตครั้งนี้ใครได้ของไปมากที่สุด นอกจากผู้เฒ่าเกาหยางแล้ว ย่อมเป็นหลินสวินอย่างไม่ต้องสงสัย!
ฟู่!
หลินสวินพ่นลมหายใจออกยาวๆ สลัดความคิดวุ่นวายในสมอง แล้วนำเศษเสี้ยวเจตจำนงขึ้นมาชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็นำที่เหลือทั้งหมดผนึกและเก็บไว้
ต่อมาเขานั่งขัดสมาธิ แผ่จิตรับรู้ นำเศษเสี้ยวเจตจำนงชิ้นนั้นม้วนเข้าไปในห้วงนิมิต เริ่มสงบใจหยั่งรู้
เศษเสี้ยวเจตจำนงที่ผู้แข็งแกร่งบรรพกาลเหลือทิ้งไว้ ผ่านการกัดกร่อนของกาลเวลาทว่าไม่หายไป แม้คลุมเครือไม่สมบูรณ์ แต่ภายในกลับมีการหยั่งถึงและประสบการณ์การฝึกปราณของผู้แข็งแกร่ง!
ขอเพียงหยั่งรู้และทำความเข้าใจมัน ไม่แน่ว่าอาจมองทะลุได้ถึงหนทางฝึกปราณของยุคบรรพกาลได้ ต้องเกื้อหนุนการฝึกปราณในภายหลังแน่
……
ทะเลกลืนวิญญาณเงียบสงัด ไอหมอกขมุกขมัวอบอวลไปตามทาง บรรยากาศประหลาดน่าหวาดหวั่น
ห้องของซูซิงเฟิง บนยานสำเภา
“ศิษย์พี่ซู คิดว่าท่านก็ต้องดูออกว่าผู้ติดตามข้างกายศิษย์พี่จ้าวนั่นไม่ธรรมดา”
เหวินเสียงในชุดหลากสีพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนเยาว์นุ่มนิ่มน่าฟัง เหมือนเด็กน้อยที่ร่าเริงน่ารักคนหนึ่ง แต่ดวงตาเวลานี้กลับดูลุ่มลึก
“เจ้ามาหาข้าก็เพราะอยากพูดเรื่องนี้หรือ”
ซูซิงเฟิงในชุดแดงทั้งตัวนั่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าแทบเรียกได้ว่าสวยงดงามเต็มไปด้วยความเย็นชา
“เหอะๆ ศิษย์พี่ซู พวกเราไม่ต้องมาปิดบังกันหรอก บนยานสำเภาลำนี้ใครไม่รู้บ้างว่าท่าน ‘ตั้งแง่’ กับหลินเสวียนผู้นั้นอยู่”
เหวินเสียงหัวเราะเอื่อยแล้วพูดว่า “ท่านอย่าพูดเชียวว่าเพียงเพราะเล่นงานผู้ติดตามของท่าน ถึงทำให้ท่านเกลียดเจ้าคนนี้”
ซูซิงเฟิงนิ่วหน้าแล้วกล่าวว่า “แล้วเจ้าว่าข้าทำเพราะอะไร”
เหวินเสียงสีหน้าเคร่งเครียดสื่อจิตว่า ‘ศิษย์พี่ซู มาถึงตอนนี้แล้วจะต้องปกปิดทำไม ว่ากันตามจริงข้าก็สนใจสมบัติในมือเจ้าเด็กนั่นเหมือนกับท่าน!’
เหวินเสียงยิ้มบางๆ ‘หากข้าเดาไม่ผิด เจดีย์สมบัติในมือหลินเสวียนผู้นั้นไม่ธรรมดา น่าจะหลอมจากเหล็กเทพศุภโชค ตัวเรือนราวกระจก สำแดงสีทองเจิดจ้า กลิ่นอายพิเศษเช่นนั้นทำของปลอมไม่ได้แน่!’
ประกายในตาซูซิงเฟิงไหวเคลื่อน จมอยู่ในความเงียบงัน
เหวินเสียงเอ่ยต่อว่า ‘เหล็กเทพศุภโชคเชียวนะ สมบัติล้ำค่าหายากชั้นนี้ แม้อยู่ในดินแดนรกร้างโบราณก็ทำให้คนใหญ่คนโตนับไม่ถ้วนน้ำลายหก ก่อให้เกิดความวุ่นวายใหญ่โตไม่อาจคาดได้ ใครจะไปคิดว่าในมือข้ารับใช้จากโลกชั้นล่างคนหนึ่งจะมีสมบัติล้ำค่าระดับนี้ได้ ช่างน่าอัศจรรย์ไปแล้ว’
เวลานี้ในที่สุดซูซิงเฟิงก็ไม่ปิดปากเงียบอีกต่อไป ดางตากวาดมองไปยังเหวินเสียงแล้วเอ่ยว่า ‘เจ้า…คิดจะลงมือกับเจ้าเด็กนั่นหรือ’
เหวินเสียงหัวเราะคิกคักกล่าวว่า ‘ข้าต้องอยากทำแน่ เพียงแต่กังวลว่าศิษย์พี่ซูจะไม่ตกลง’
‘หึ!’
ซูซิงเฟิงส่งเสียงหึหยัน สีหน้าเรียบเฉย ‘เจ้าพูดถูกแล้ว ข้าสนใจสมบัติชิ้นนี้จริง แต่ยังไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเหล็กเทพศุภโชคจริงหรือไม่กันแน่’
พูดถึงตรงนี้มุมปากของเขาก็ยกขึ้นอย่างดูถูก ‘อีกทั้ง เจ้าคิดว่านอกจากข้าก็ไม่มีใครติดใจสมบัตินี้แล้วหรือ’
คนอื่นหรือ
เหวินเสียงอึ้งไป นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อย พลันหัวเราะและตอบกลับไปว่า ‘ดังนั้น ข้าถึงได้มาปรึกษาศิษย์พี่ซูดูสักหน่อยว่าเรื่องนี้จะสะสางอย่างไรดี’
‘ข้าบอกเจ้าได้ว่า เซียวหรันกับอวิ๋นเช่อต้องสังเกตเห็น ส่วนศิษย์น้องกงหยางอวี่ เขาอาจจะดูความลึกลับออก แต่ด้วยนิสัยเขา ต้องไม่มาแย่งชิงกับพวกเราแน่’
ซูซิงเฟิงน้ำเสียงเนิบนาบ ‘ดังนั้นความคิดที่เจ้าหมายจะแย่งสมบัตินี้มา ไม่แน่ว่ายังต้องไปถามเซียวหรันกับอวิ๋นเช่อ’
‘ศิษย์พี่เซียวหรันเขา…’ เหวินเสียงตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อพูดถึงเซียวหรัน ดวงตาของซูซิงเฟิงก็ฉายแววหวั่นกลัววูบหนึ่ง จากนั้นพลันยิ้มเหี้ยม ‘ทำไม หรือเจ้าคิดว่าเซียวหรันเป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่องเกินธรรมดาผู้หนึ่งจริงหรือ หากไม่มีฝีมือกับเล่ห์เหลี่ยมแล้วล่ะก็ เขาจะมีตำแหน่งอย่างวันนี้ได้หรือ’
เหวินเสียงอึ้งไป สายตาไหววูบกล่าวว่า ‘พูดเช่นนี้ ศิษย์พี่เซียวหรันก็มีความคิดอยากเล่นงานคนผู้นี้ด้วยหรือ’
ซูซิงเฟิงสีหน้าราบเรียบกล่าว ‘ไม่ได้อยาก แต่ต้องทำแน่! ในหมู่ศิษย์อย่างพวกเรา เซียวหรันเป็นคนเดียวที่ข้ามองไม่ออก ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งคาดเดาได้ยาก’
‘เช่นนั้นไม่ทราบว่าศิษย์พี่ซูคิดจะทำเช่นไร’ เหวินเสียงพลันถามขึ้น
‘รอเข้าไปในแดนลับอสูรมารอริยะแล้วค่อยว่ากัน อย่างไรเสียเขาก็หนีไปไหนไม่ได้ ที่พวกเราต้องคิดก็คือ จะผ่านด่านเซียวหรันกับอวิ๋นเช่อไปได้อย่างไร’
ซูซิงเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
‘พวกเราหรือ’ เหวินเสียงพลันหัวเราะขึ้น จากนั้นก็พยักหน้าพูดว่า ‘เช่นนั้นก็ขออวยพรล่วงหน้าให้พวกเราร่วมมือกันอย่างสนุกสนานก็แล้วกัน’
‘ศิษย์น้องเหวินเสียง ข้าจำได้ว่าแต่ก่อนเจ้าไม่เคยเห็นเหล็กเทพศุภโชคเลย เหตุใดตอนนี้ถึงแน่ใจได้ล่ะว่าเจดีย์สมบัติในมือเจ้าหนูนั่นหลอมจากวัสดุนี้’
ฉับพลันซูซิงเฟิงก็ถามขึ้น สายตาราวสายฟ้าจ้องเขม็งไปที่เหวินเสียง
‘ก็…’
เหวินเสียงกำลังจะพูดออกมา แต่พลันสำนึกได้ว่าไม่เหมาะจึงหัวเราะเคอะเขินพูดขึ้นทันใด ‘ศิษย์พี่ซู ข้าต้องเก็บเป็นความลับ แต่ท่านวางใจได้ นี่จะไม่กระทบการร่วมมือของเราแน่’
ซูซิงเฟิงไม่แสดงสีหน้า เพียงแค่ร้องอ้อ
……
หลายวันผ่านไปในชั่วพริบตา มีผู้เฒ่าเกาหยางสั่งการ ระหว่างทางน่าหวาดหวั่นแต่ไม่มีอันตราย ไม่เกิดเรื่องเสี่ยงภัยหนักหน่วงอีก
แต่การต่อสู้และเหตุล่อแหลมประปรายก็ไม่อาจหลบเลี่ยงได้
ในน่านน้ำนี้ประหลาดนัก ไม่เพียงมีวิญญาณอาฆาตซุกซ่อนอยู่ ยังมีสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดอื่นอีก บ้างแปรสภาพมาจากซากศพ บ้างพุ่งออกมาจากก้นทะเล บ้างถึงกับจำแลงมาจากเมฆหมอกสายฟ้า!
แต่ล้วนไม่ถึงกับอันตรายมากมาย ถูกผู้เฒ่าเกาหยางสังหารราบเพียงผู้เดียว
กระทั่งหลังยานสำเภาข้ามเกาะกลางทะเลที่สร้างจากกองกระดูกขาวนับไม่ถ้วน ผู้เฒ่าเกาหยางก็บอกข่าวน่าตื่นเต้นกับทุกคนว่า…ไม่เกินสามวันก็จะถึงทางเข้าแดนลับอสูรมารอริยะแล้ว!
ยามค่ำ
หลินสวินฟื้นจากการเข้าฌาน สีหน้าเหม่อลอย
เศษเสี้ยวเจตจำนงชิ้นแรกถูกเขาหลอมไปแล้ว เพียงแต่…ในใจเขากลับยังหลงเหลือภาพที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้ความรู้สึกของเขาได้รับผลกระทบ
หลายวันนี้หลินสวินเหมือนฝันถึงสิ่งงดงามนองเลือด
ตัวเขาในฝันแปรสภาพเป็นผู้แข็งแกร่งยุคบรรพกาลผู้หนึ่ง
เดินทางไกล ฝึกปราณ ต่อสู้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ได้เห็นมหานครโบราณที่ใหญ่โตแข็งแกร่ง ข้ามผ่านทะเลทรายที่มีสรรพสิ่งไร้ที่สิ้นสุด ปีนภูเขาเทพที่ยื่นเข้าไปในเก้าชั้นฟ้า กระทั่งได้เห็นปรากฏการณ์ประหลาดอย่างดวงตะวันโชติช่วงสิบดวงลอยขึ้นฟ้าพร้อมกัน!
ทั้งได้พบศัตรูน่ากลัวนับไม่ถ้วน มารอสูรเดินพาดผ่าน สัตว์อสูรกำเริบเสิบสาน หมื่นเผ่าอยู่ร่วมกัน มีพลังมหามรรคที่แตกต่างกัน ทรงพลังในใต้หล้า คำรามสะท้านฟ้าดิน ดำเนินมหาสงครามสะท้านโลกา ก่อให้เกิดเคราะห์ภัยมากมายไม่รู้เท่าไร
ประสบการณ์เหล่านี้ราวกับเกิดขึ้นกับเขาจริงๆ ทำให้หลินสวินเกือบหลงอยู่ในนั้น ลืมว่าตนเป็นใครกันแน่
โชคดีที่ประสบการณ์เหล่านี้ไม่สมบูรณ์และคลุมเครือ ไม่ปะติดปะต่อ เหมือนพบเข้ากับช่วงชีวิตส่วนหนึ่ง การรับรู้ของหลินสวินจึงไม่ถึงกับจ่อมจม
“ยุคบรรพกาล…ที่แท้ก็น่ากลัวปานนั้น…”
หลินสวินทอดถอนใจเบาๆ ประสบการณ์ที่หลอมจากเศษเสี้ยวเจตจำนงครั้งนี้หายากยิ่งนัก ทำให้เขาได้เห็นสภาพมุมหนึ่งของยุคบรรพกาล ได้สัมผัสกับความรุ่งเรืองและน่าหวาดหวั่นของอารยธรรมโบราณ
การได้พบได้เห็นเช่นนี้ ตอนนี้แปรสภาพเป็นสำนึกและประสบการณ์ล้ำค่า หลอมรวมเป็นการฝึกปราณของตน แม้ไม่ได้ยกระดับการฝึกปราณอะไร แต่การตกตะกอนประสบการณ์เช่นนี้กลับทำให้หลินสวินมีความรับรู้ต่อพลัง การฝึกปราณ และการฝึกยุทธ์ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง!
วู้ม!
ทันใดนั้น ท่ามกลางความมืดมิดในห้องพลันเกิดคลื่นพลังที่เล็กละเอียดยิ่งคลื่นหนึ่ง แทบจะเวลาเดียวกัน รังสีเย็นเยียบก็ปรากฏ แทงตรงมาที่ศีรษะของหลินสวินจากข้างหลัง!
รวดเร็วและกะทันหันเกินไปแล้ว!
ทุกห้องในยานสำเภาลำนี้ล้วนปกคลุมด้วยรอยสลักลึกลับ ทั้งมีผู้แข็งแกร่งระดับผู้เฒ่าเกาหยางสั่งการ ใครจะไปคาดคิดได้ว่าจะมีคนแทรกซึมเข้ามาในห้องหลินสวินอย่างเงียบเชียบ แล้วลงมือลอบสังหารในทันใดเช่นนี้
ตึง!
ในชั่วขณะเฉียดอันตรายนั้น คอของหลินสวินก็บิดไปอีกทางอย่างประหลาด พร้อมปล่อยหมัดโต้กลับกระแทกใส่รังสีเย็นเยียบนั้นในเวลาเดียวกัน
แต่รังสีเย็นเยียบนั้นยังทิ้งรอยแผลน่ากลัวไว้รอยหนึ่งบนคอของเขา เลือดสดไหลริน!
——