Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 556 ยันต์กระดูกวิญญาณ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 556 ยันต์กระดูกวิญญาณ
โครม!
เสามังกรจตุลักษณ์ตั้งตระหง่าน แปรเป็นเขตแดนมายา ขังชายหนุ่มเผ่าสิงห์โลหิตคนหนึ่งไว้ภายใน
“เจ้า…เจ้าจะทำอะไร”
ชายหนุ่มคนนั้นปากอ้าตาถลน หวาดกลัวยากจะสงบ
หลินสวินไม่พูดพร่ำทำเพลง ตีชายหนุ่มคนนั้นจนสลบแล้วเริ่มค้นตัวเขา
เพียงครู่เดียวชายคนนี้ก็ถูกหลินสวินค้นจนทั่วตัว นอกจากลูกกลอนโอสถจำนวนหนึ่งและอาวุธวิญญาณอีกสองสามชิ้น ยังมียันต์หยกกระดูกขาวชิ้นหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจจากหลินสวิน
ของชิ้นนี้ขนาดประมาณเหรียญทองแดง ลึกลับอย่างมาก ลวดลายลับอันมหัศจรรย์ปรากฏออกมา ดูแล้วไม่ธรรมดายิ่ง
‘ดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะเป็นของรักษาชีวิตเช่นเดียวกับยันต์จักจั่นทอง…’
หลินสวินครุ่นคิด
เขาตบชายหนุ่มเผ่าสิงห์โลหิตให้ตื่นแล้วเริ่มคาดคั้น
คราแรกชายหนุ่มคนนั้นยังไม่จำยอม ยอมตายยังดีกว่าต้องทำตาม แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับหลินสวิน เขาใช้วิธีลงโทษอันเหี้ยมโหดที่เรียนมาจากค่ายกระหายเลือดเพียงเล็กน้อย ก็ทรมานจนชายหนุ่มคนนั้นร้องหาบุพการีทันที และเชื่อฟังอย่างไม่มีข้อแม้
ที่แท้ของสิ่งนี้ก็เป็นอย่างที่หลินสวินคาดเดา มีชื่อว่า ‘ยันต์กระดูกวิญญาณ’!
มีสมบัตินี้ แม้จะถูกสังหาร ขอเพียงแค่มีจิตวิญญาณเสี้ยวหนึ่งยังไม่สลาย ก็สามารถถูกช่วยไปได้ และยังมีโอกาสเกิดใหม่อีกครั้ง
เหมือนกับพวกสือจวิ้น เป้าหยาที่ถูกหลินสวินสังหารไปก่อนหน้านี้ ก็ถูกพลังของ ‘ยันต์กระดูกวิญญาณ’ พาออกไปนอกแดนลับอสูรมารอริยะแห่งนี้ และถูก ‘แท่นบูชาวิญญาณ’ ที่เผ่าสิงห์โลหิตวางไว้ในโลกภายนอกดูดไป
เมื่อรู้เรื่องทั้งหมดนี้หลินสวินก็อดถอนหายใจไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นยันต์จักจั่นทองหรือยันต์กระดูกวิญญาณล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าในการช่วยชีวิต
การได้ครอบครองสมบัติระดับนี้ก็เท่ากับการมีชีวิตที่สอง!
ตามที่ชายหนุ่มเผ่าสิงห์โลหิตบอก ผู้แข็งแกร่งในแต่ละเผ่าที่เข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะในครั้งนี้ แทบจะมีวิธีรักษาชีวิตเช่นนี้ทั้งหมด
แน่นอนว่าไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งทุกคนจะมีของล้ำค่าเช่นนี้ มีเพียงบุคลชั้นยอดหรือมีฐานะสำคัญที่สุดในแต่ละเผ่าเท่านั้นจึงสามารถครอบครองได้
เพราะของระดับยันต์กระดูกวิญญาณนี้ล้ำค่ามาก และมีจำกัด แม้แต่ในเผ่าที่มีอานุภาพใหญ่โต ยังเรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่า คนธรรมดาไม่สามารถหาได้
พรูด!
ละอองเลือดสาดกระเซ็น ชายหนุ่มเผ่าสิงห์โลหิตคนนั้นถูกหลินสวินสังหารในคราเดียว และยันต์กระดูกวิญญาณก็ถูกหลินสวินเก็บไปอย่างไม่เกรงใจ
นี่ก็หมายความว่า ชายหนุ่มคนนั้นก็ไม่สามารถเกิดใหม่ได้อีกแล้ว…
หืม?
ตอนที่หลินสวินถอนเสามังกรจตุลักษณ์ ก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตที่เหลือหนีไปหมดแล้ว ต่างเคลื่อนตัวไปยังภูเขาที่ไอทองม่วงคละคลุ้ง แต่ละคนราวกับหมาจรจัดไร้บ้าน
เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ จึงต้องหนีไปก่อน
สิ่งที่ทำให้พวกเขาอัดอั้นที่สุดคือ ริมทะเลสาบหินหนืดแห่งนี้ยังมีผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรจับจ้องมองมา อีกทั้งทางเดินที่ทอดผ่านทะเลสาบก็ปกคลุมไปด้วยผนึกต้องห้ามอันน่าพรั่นพรึง พวกเขาจึงทำได้เพียงกัดฟัน พุ่งไปทางภูเขาเทพม่วงอำพัน
“เด็กเมื่อวานซืนเผ่ามนุษย์ ฝากไว้ก่อนเถอะ! ธิดาเทพเผ่าข้าได้วาสนากลับมาเมื่อไหร่ก็จะเป็นวันตายของเจ้า!”
“น่าชัง น่าชังนัก!”
ผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตเหล่านั้นหนีพลางสาปแช่งอย่างเดือดดาล โกรธจนแทบคลุ้มคลั่ง
ตามไปหรือไม่ตามดี?
สายตาของหลินสวินจ้องมองทุกอย่าง คิดๆ แล้ว สุดท้ายก็หยุดฝีเท้า
ภูเขาม่วงอำพันนี้ดูเหมือนจะปลอดภัย แต่กลับเป็นศูนย์กลางสำคัญของเกาะกลางทะเลสาบแห่งนี้ ไอสังหารบนนั้นก็ย่อมต้องน่ากลัวกว่า
ผนวกกับธิดาเทพหลินหลางอยู่ข้างบน หลินสวินเองยังไม่อยากปะทะกับนางทันที
ผู้หญิงคนนี้เป็นเหมือนมารปีศาจ ใจดำอำมหิต และยังครอบครองระฆังสำริดสีเลือดที่มีอานุภาพน่ากลัวอย่างยิ่ง ทำให้หลินสวินไม่อาจไม่หวั่นเกรง
……
แอ่งเลือดเต็มพื้นดิน ซากศพกระจัดกระจาย ที่แห่งนี้คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดฉุนจมูก
การต่อสู้ครั้งนี้เกิดขึ้นไวมาก และจบลงไวเช่นกัน ผู้แข็งแกร่งกว่าครึ่งของเผ่าสิงห์โลหิตถูกสังหารตายคาที่ สภาพน่าอเนจอนาถ หดหู่สะเทือนใจ
หน้าริมทะเลสาบหินหนืด บรรดาผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกรสูดหายใจเข้าด้วยความตกตะลึง เบิกตาโพลง ไม่กล้าเชื่อว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์เพียงคนเดียว
หลินสวินไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้และเริ่มเก็บกวาดสนามรบ
ไม่นานในมือเขาก็มีโอสถวิญญาณสิบกว่าต้นปรากฏขึ้น ล้วนเป็นทรัพย์หลังศึกของผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตหลังเข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะ อย่างเช่นหลินจือหิมะเถาวัลย์ม่วง หญ้าแสงจันทร์เป็นต้น ตอนนี้ล้วนอยู่ในมือหลินสวินทั้งหมด
นอกจากนี้ยังมีลูกกลอนโอสถ ผลึกวิญญาณและอาวุธอีกหลากหลายชนิด ก็ล้วนถูกหลินสวินเก็บไปอย่างไม่เกรงใจ
“รอให้บรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะ ก็สามารถเปิดเตาหลอมโอสถได้ เพิ่มความมั่นคงให้พลังปราณอีกระดับ…”
หลินสวินพึมพำ เขาตัดสินใจจะบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะในแดนลับอสูรมารอริยะ เพิ่มพลังต่อสู้ให้เร็วที่สุด เช่นนี้จึงจะสามารถคลี่คลายอันตรายที่ไม่อาจคาดการณ์ได้
ทันใดนั้นสายตาเขาพลันมองไปที่ไร่โอสถที่อยู่ไม่ไกลนัก แววตาดูเร่าร้อนขึ้นมา หญ้ากิเลน โสมราชันโคมสมบัติ ไผ่ลายอัสนีหางหงส์…
หากสามารถขุดโอสถสมบัติเยี่ยมยอดมาได้ทั้งหมด ก็ไม่ต่างอะไรกับการได้รับวาสนาครั้งใหญ่อย่างแน่นอน!
หลินสวินทิ้งความคิดวุ่นวายแล้วเริ่มประเมินพลังของผนึกต้องห้ามในไร่โอสถ ในนั้นอันตรายอย่างยิ่ง หากไม่สามารถสลายผนึกต้องห้ามที่ปกคลุมอยู่ ก็ทำได้เพียงมอง ไม่สามารถครอบครองวาสนาได้
สำหรับภูเขาเทพม่วงอำพันที่อยู่ห่างเพียงเอื้อม รวมทั้งตำหนักเขียวชอุ่มบนยอดเขานั่น หลินสวินยังไม่คิดจะเข้าไปเสาะหาชั่วคราว
สัญชาตญาณบอกเขาว่า ที่นั่นไม่เพียงแต่มีวาสนาใหญ่ล้นฟ้า ในขณะเดียวกันก็มาพร้อมกับไอสังหารอันไร้เทียมทานที่ไม่สามารถคาดเดาได้ด้วย!
หากว่ากลุ่มของธิดาหญิงหลินหลางสามารถรับวาสนาและกลับมาอย่างปลอดภัย หลินสวินก็ไม่เกี่ยงที่จะตีชิงตามไฟ ใช้พลังแย่งชิงมา…
………..
นอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์
คนใหญ่คนโตแต่ละเผ่ากำลังรอคอย และมีเสียงพูดคุยกันดังมาประปราย ต่างกำลังคาดการณ์ว่าเผ่าไหนจะเก็บเกี่ยวได้มากที่สุด หนุ่มสาวรุ่นหลังคนไหนจะผงาดขึ้นอย่างแข็งกร้าว กวาดล้างคู่แข่ง
แม้แต่บริเวณที่ผู้เฒ่าเกาหยางยืนอยู่ ยังมีคนใหญ่คนโตแต่ละเผ่าเข้ามาพูดคุยไม่น้อย
สาเหตุก็ง่ายมาก แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณเป็นสำนักโบราณแห่งหนึ่ง มีประวัติศาสตร์ยาวนาน แม้แต่ชนพื้นเมืองที่มีอิทธิพลในทะเลกลืนวิญญาณเหล่านี้ ก็ล้วนรู้ดีถึงความแข็งแกร่งของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ
“ข้าได้ยินมาว่าเผ่าสิงห์โลหิตของพวกท่านได้แผนภาพลึกลับแผ่นหนึ่งมา ในนั้นบันทึกความลึกลับของสถานที่แห่งวาสนาแห่งหนึ่งในแดนลับอสูรมารอริยะ ดูเหมือนว่าในการแย่งชิงครั้งนี้ เผ่าสิงห์โลหิตของพวกท่านจะได้เปรียบอย่างมาก”
คนใหญ่คนโตผู้หนึ่งทอดถอนใจ
“นี่ก็ไม่ใช่เรื่องต้องปกติดอะไร หากการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ไม่มีผิดพลาด คนโดดเด่นรุ่นเยาว์ในเผ่าข้าคงจะได้รับศุภโชคไม่น้อย”
สีหน้าของผู้ยิ่งใหญ่เผ่าสิงห์โลหิตเรียบเฉย เจือรอยยิ้มบางๆ และมีความย่ามใจที่ปิดไม่อยู่
ได้ยินดังนี้เหล่าผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นรอบๆ บริเวณต่างมีสีหน้าแปลกประหลาด มีความอิจฉาไม่มากก็น้อย
เพราะพวกเขาต่างได้ยินมาว่า เผ่าสิงห์โลหิตได้แผนภาพลึกลับแผ่นหนึ่งมา ซึ่งเกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งมหาโชคแห่งหนึ่งในแดนลับอสูรมารอริยะ
“เป็นเกาะอริยะปัญจธาตุหรือ ได้ยินว่าที่แห่งนั้นยังเป็น ‘สวนโอสถ’ ที่อสูรมารอริยะบรรพกาลท่านนั้นปลูกเองกับมือ มีโอสถเทพที่แท้จริง”
ผู้เฒ่าเกาหยางเอ่ยปาก ทำให้ผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ สั่นเทิ้มไปทั้งตัว ตกตะลึงไม่น้อย สวนโอสถของอสูรมารอริยะบรรพกาลหรือ
โอสถเทพที่แท้จริง?
ทันใดนั้นสายตาที่พวกเขามองผู้ยิ่งใหญ่เผ่าสิงห์โลหิตคนนั้นพลันเปลี่ยนไป ทั้งยังแฝงความริษยา ศุภโชคที่ยิ่งใหญ่ล้นฟ้าเช่นนี้อาจจะถูกเผ่าสิงห์โลหิตยึดไป ใครจะยังสงบได้
ผู้ยิ่งใหญ่เผ่าสิงห์โลหิตยิ้มบางๆ โดยไม่ได้พูดอะไร ความจริงในใจกำลังได้ใจอย่างที่สุด
และตอนนั้นเอง แท่นบูชาแท่นหนึ่งตรงหน้าเขาพลันส่องแสง เกิดคลื่นแปลกประหลาดกลางอากาศ
นั่นคือแท่นบูชาวิญญาณ เมื่อคนในเผ่าที่มียันต์กระดูกวิญญาณประสบเคราะห์ร้าย จิตวิญญาณจะถูกเคลื่อนย้ายกลับมาและปรากฏตัวบนแท่นบูชา
แววตาของผู้ยิ่งใหญ่กลุ่มนั้นแปลกไปทันที
พลันเห็นว่าบนแท่นบูชามีเงาจิตวิญญาณมากมายปรากฏขึ้น ที่น่าตะลึงคือเป็นผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์ของเผ่าสิงห์โลหิตทั้งสิ้น
เพียงแต่ยามนี้สภาพของพวกเขาย่ำแย่มาก เหลือเพียงจิตวิญญาณเสี้ยวหนึ่ง
ผู้ยิ่งใหญ่เผ่าสิงห์โลหิตคนนั้นตกตะลึง ร้องเสียงหลง “เกิดอะไรขึ้น”
“ผู้อาวุโส พวกเรา…พวกเราถูกรังแกอนาถนัก!” มีคนร้องไห้ระบาย นั่นคือสือจวิ้น เพียงแต่ตอนนี้เขาเหลือแค่วิญญาณแล้ว
“เจ้า…เจ้าว่าอะไรนะ” ความได้ใจของผู้อาวุโสเผ่าสิงห์โลหิตหายไปตั้งนานแล้ว สีหน้าเปลี่ยนไปฉับพลัน กระชากคอสือจวิ้น
“ผู้อาวุโส พวกเราถูกเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนหนึ่งทำร้าย มารดามันเถอะ เป็นแค่เจ้าคนระดับมหาสมุทรวิญญาณเท่านั้น กลับ…กลับฆ่าคนในเผ่าของเราเกือบหมด!” สือจวิ้นขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน โศกเศร้าอย่างหนัก แค้นจนคลั่ง
“เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์? ระดับมหาสมุทรวิญญาณ?”
ผู้ยิ่งใหญ่เผ่าสิงห์โลหิตรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง แทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง เขาตะเบ็งเสียงอย่างเดือดดาล “พูดให้รู้เรื่อง!”
“ผู้อาวุโส นี่เป็นความจริง พวกเราเพิ่งเข้ามาในเกาะอริยะปัญจธาตุ เดิมคิดว่า…” สือจวิ้นเล่าความเป็นมาของเรื่องทั้งหมดอย่างรวดเร็วพร้อมสีหน้าเศร้าตรม
ฟังถึงตรงนี้ สีหน้าของคนใหญ่คนโตในเผ่าอื่นๆ ยิ่งแปลกประหลาด หลายคนเริ่มมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
ส่วนผู้อาวุโสเผ่าสิงห์โลหิตกลับหน้าเขียวคล้ำ ไม่อาจทำใจเชื่อ “เป็นไปไม่ได้ ระดับมหาสมุทรวิญญาณเท่านั้น จะสู้กับพวกเจ้าได้อย่างไร เป้าหยาล่ะ เขาเป็นผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะขั้นสูงไม่ใช่หรือ จะแพ้แมลงตัวเล็กเท่านี้ได้อย่างไร”
“ผู้อาวุโส นี่คือเรื่องจริง”
เป้าหยาปรากฏตัวทันที น้ำเสียงขมขื่น สภาพจิตวิญญาณของเขายิ่งน่าอนาถ ใกล้จะพังทลายแล้ว เหลือเพียงแค่เศษเสี้ยว นี่คือผลลัพธ์จากการถูกหนอนกินเทพทำร้าย
เห็นสภาพเช่นนี้ของเขา ผู้อาวุโสเผ่าสิงห์โลหิตพลันเบิกตาโพลงอย่างควบคุมไม่อยู่ ระดับหยั่งสัจจะขั้นสูงเชียวนะ! ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเด็กหนุ่มระดับมหาสมุทรวิญญาณอีกหรือ
“พวกเราประมาทเกินไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นบุคคลพลิกฟ้าในหมู่คนรุ่นเยาว์ ดูเหมือนอายุยังไม่ถึงยี่สิบปีเท่านั้น พลังต่อสู้กลับน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด คนของพวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ถูกเขาสังหารไปทีละคน…”
เสียงของเป้าหยางเต็มไปด้วยความหดหู่และชิงชัง
ตอนนี้แท่นบูชาวิญญาณนั่นเกิดคลื่นขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ส่งจิตวิญญาณมาดวงแล้วดวงเหล่า ทั้งหมดล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งของเผ่าสิงห์โลหิต
ผู้ที่มียันต์กระดูกวิญญาณล้วนเป็นหนุ่มสาวชั้นยอดที่โดดเด่นของเผ่าสิงห์โลหิต! แต่ตอนนี้กลับถูกสังหารอย่างง่ายดาย จิตวิญญาณถูกเคลื่อนย้ายกลับมาอย่างน่าอนาถ
ชั่วขณะหนึ่งบรรยากาศพลันเงียบเชียบ
ผู้ยิ่งใหญ่จากเผ่าต่างๆ ไม่มีกะจิตกะใจหัวเราะเยาะแล้ว แต่ละคนแอบตะลึงและตระหนักได้ถึงความรุนแรงของปัญหา
เด็กหนุ่มที่มีพลังเพียงระดับมหาสมุทรวิญญาณ กลับน่ากลัวถึงเพียงนี้ สังหารจนคนหนุ่มสาวเผ่าสิงห์โลหิตเลือดไหลเป็นสายน้ำ ช่างเป็นเรื่องที่น่าตกใจเกินไปแล้ว
เด็กหนุ่มนี้เป็นใครกันแน่
สีหน้าของผู้อาวุโสเผ่าสิงห์โลหิตอึมครึมถึงขีดสุด ก่อนหน้านี้เขายังได้ใจ คิดว่าคนในเผ่าของตนจะต้องชิงมหาศุภโชคมาได้แน่ แต่ใครจะคิดว่า เพียงพริบตาเท่านั้นกลับมีจุดจบเป็นโศกนาฏกรรมเช่นนี้!
นี่ทำให้เขาแทบโกรธจนระเบิด
………………..