Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 595 ตำหนักและเบาะรองนั่ง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 595 ตำหนักและเบาะรองนั่ง
มาด้วยมีวาสนา กลับสิ้นวาสนา ณ ที่นี่ วาสนาไม่ถึง จึงได้แต่ปลงอนิจจัง!
ตัวอักษรโบราณเก่าแก่และแปลกประหลาด เป็นอักษรปริศนามหายานของผู้บำเพ็ญธรรม ภิกษุชุดขาวผู้นี้คืออริยะผู้บำเพ็ญธรรมอย่างไม่ต้องสงสัย!
ทว่าเขาก็ร่วงหล่นเช่นเดียวกัน คล้ายจะมรณภาพลงตรงนี้
ก่อนสิ้นลม เขาทิ้งอักษรเอาไว้หนึ่งแถว เผยความอ้างว้าง จนปัญญา และเศร้าโศก ทำให้ผู้คนสะเทือนอารมณ์
“ข้ามีความคิดบางอย่าง”
จู่ๆ เจ้าคางคกพลันเอ่ยปาก สายตาจดจ้องประตูหินที่ปิดสนิทอยู่ไม่ไกลออกไป “ในสมัยบรรพกาล มีอริยะจำนวนมากมาแสวงหาวาสนา ก็เหมือนกับพวกเราที่มาถึงหน้าประตูหินบานนี้แล้ว แต่น่าเสียดายเพราะวาสนาไม่ถึงจึงไม่สามารถเปิดประตูหินได้ ทำให้พวกเขาต้องกล้ำกลืนความเจ็บช้ำอย่างที่สุด”
“อริยะเรียกได้ว่าอายุยืนตราบเท่าฟ้าดิน แต่กลับไม่ได้เป็นอมตะไม่มีวันตายอย่างแท้จริง พวกเขาถูกขังอยู่ที่นี่ ไม่มีใครยอมจากไป ด้วยหวังว่าหากเฝ้ารอต่อไป ประตูนี้จะเปิดออกในสักวัน น่าเสียดาย วาสนาไม่ถึง จึงได้แต่ปลงอนิจจัง”
เมื่อเอ่ยถึงตอนท้าย เจ้าคางคกก็อดทอดถอนใจไม่ได้ จะว่าไปนี่ก็เป็นวาสนาชะตาลิขิต มิใช่ของตน ต่อให้เฝ้ารอชั่วนาตาปีก็สูญเปล่า
“ในประตูนี้ซ่อนอะไรอยู่กันแน่ ถึงได้ทำให้อริยะกลุ่มหนึ่งยินดีรอคอยอยู่ที่นี่ รอจนสิ้นอายุขัยก็ไม่ยอมจากไป”
นัยน์ตากระจ่างแวววาวของจ้าวจิ่งเซวียนจ้องไปยังประตูหินที่ปิดสนิทบานนั้น
ระดับอริยะ!
เป็นการดำรงอยู่ที่น่ากลัวและสูงสุดเพียงใด
ทว่าเพราะวาสนาหนึ่งหลังประตูหินบานนี้ แต่ละคนจึงล่วงลับไปท่ามกลางการรอคอยอย่างยากลำบาก เรื่องที่โหดร้ายที่สุดในโลก คงไม่มีอะไรมากไปกว่านี้แล้ว
และวาสนานั้นลึกลับขนาดไหนกัน ถึงทำให้อริยะกลุ่มหนึ่งดันทุรังเยี่ยงนี้ ยินดีรอคอยจนลาลับ ณ ที่แห่งนี้ แต่ไม่ยอมจากไป
“บางทีพวกเขาอาจไม่ยินยอมพร้อมใจจริงๆ เอาแต่รอคอยอยู่ตรงนี้เป็นเวลานาน แต่ก็มีความเป็นไปได้อีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือพวกเขาไม่มีทางถอยแล้ว ได้แต่เฝ้ารออยู่ตรงนี้เท่านั้น”
ยามที่หลินสวินเอ่ยคำเขาเหลียวมองไปด้านหลัง ตรงนั้นเป็นสีดำสนิททั้งผืน เส้นทางขามาดุจว่าถูกลบล้าง อันตรธานหายไปแล้ว
สิ่งนี้ทำให้จ้าวจิ่งเซวียนนิ่งงัน พลันตื่นตระหนกทันที “ถ้าอย่างนั้นพวกเรา…”
‘หยุดพูด มีคนมา รีบเก็บงำกลิ่นอาย นั่งขัดสมาธิลงกับพื้น แสร้งทำทีเป็นศพคนตายเร็วเข้า!’
ทันใดเจ้าคางคกรีบสื่อจิตเตือนอย่างรวดเร็ว
ยามที่เอ่ยวาจา เขาหย่อนก้นนั่งลงข้างภิกษุชุดขาวผู้นั้น ใช้ด้ามดาบในมือสกัดกั้นและสลายกลิ่นอายบนตัว แน่นิ่งไม่ขยับประดุจรูปปั้นดินเผา
หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนเห็นดังนี้ก็ไม่กล้ายืดยาด นั่งลงที่ด้านข้างทางระเบียงทันที คนหนึ่งวางดาบหักขวางอยู่เบื้องหน้า อีกคนกอดกระถางสมบัติเก้ามังกร ต่างเก็บงำกลิ่นอายเช่นเดียวกัน
หากไม่สังเกตอย่างละเอียด ก็ยากจะพบความแตกต่างระหว่างพวกเขากับซากศพของบรรดาอริยะเหล่านั้นได้เลย
การแกล้งเป็นศพก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้อย่างหนึ่ง ทางระเบียงกว้างไม่เกินสองจั้ง ทั้งเบื้องหน้ายังเป็นประตูหินที่ปิดสนิทบานหนึ่ง แม้แต่ที่ให้หลบซ่อนยังไม่มี จึงแต่ใช้วิธีเสี่ยงอันตราเช่นนี้เท่านั้น
‘เป็นใครกันแน่ ถึงกับค้นพบทางระเบียงเส้นนี้ได้’
ในใจพวกหลินสวินต่างก็สงสัย และมีเคร่งเครียดระแววระวังอยู่บ้าง เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้
ไม่นานนักเสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งดังก้องลอยมาจากความมืดมิดด้านหลังทางระเบียง
ที่ตามมาเสียงฝีเท้านั้นมาคือแสงสว่างจากตะเกียงนิรันดร์ดวงแล้วดวงเล่า สว่างไสวขึ้นอบอุ่น เผยให้เห็นเงาร่างของคนกลุ่มหนึ่ง
ผู้นำอยู่ข้างหน้าเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ชายหนุ่มรูปลักษณ์หล่อเหลา ท่าทีออกจะตึงเครียด หญิงสาวรูปโฉมงดงาม ในมือถือแผนภาพที่เหมือนหยกแต่ไม่ใช่หยกม้วนหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าแผนภาพนั้นก็เป็นสมบัติประหลาดชิ้นหนึ่ง ห้อมล้อมด้วยแสงพิสุทธิ์ ดุจความฝันดั่งภาพมายา ลอยล่องโปรยปราย พิทักษ์พวกเขาและกลุ่มผู้แข็งแกร่งด้านหลังเอาไว้อยู่ภายในนั้น
‘เป็นพวกเขา!’
หัวใจของหลินสวินสั่นสะท้าน พลังจิตวิญญาณของเขาแกร่งกล้าเพียงใด พริบตาก็รับรู้ได้ว่า ชายหนึ่งหญิงหนึ่งคู่นั้นก็คือเหลียนเฟยและเหยาซู่ซู่นั่นเอง!
เพียงแต่หลินสวินคิดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าจะพบพวกเขาสองคนในแดนลับอสูรมารอริยะแห่งนี้ได้!
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังค้นพบทางระเบียงอันสุดแสนลึกลับเส้นนี้ เห็นได้ชัดว่าเหนือคาดเกินไปแล้ว
ไม่รอพวกเขาเข้าใกล้ หลินสวินพลันก้มศีรษะลง พร้อมกันนั้นก็สื่อจิตไปหาจ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคกอย่างรวดเร็ว แจ้งสถานะของเหลียนเฟยและเหยาซู่ซู่ให้รู้โดยคร่าวๆ
ทั้งยังเตือนพวกเขาให้อดกลั้นไว้ก่อนชั่วคราว อย่าได้ลงมือตามอำเภอใจ
‘ผู้แข็งแกร่งสายคนเถื่อนวารี…’
ไม่นานนักหลินสวินก็สัมผัสได้อีกว่า บรรดาผู้แข็งแกร่งที่ตามอยู่เบื้องหลังของเหลียนเฟยและเหยาซู่ซู่ พวกเขาเหล่านั้นล้วนมาจากสายคนเถื่อนวารีทั้งสิ้น
ถึงแม้พวกเขาจะมีท่าทางไม่ต่างไปจากเผ่ามนุษย์ ทว่ากลิ่นอายและรูปลักษณ์นั่นจำแนกได้ง่ายมาก แรกเริ่มเดิมทีตอนที่หลินสวินอยู่ในค่ายกระหายเลือด ก็ได้สังหารผู้สืบทอดของสายคนเถื่อนวารีจำนวนมาก ย่อมไม่อาจจำผิดอยู่แล้ว
‘ดูเหมือนว่า พวกเขาจะร่วมมือกับสายคนเถื่อนวารีจึงมาถึงที่นี่ได้…’
หลินสวินกระจ่างในใจบ้างแล้ว
เมื่อครู่เขาสัมผัสได้เป็นที่เรียบร้อย ไม่ว่าเหลียนเฟยหรือเหยาซู่ซู่ ก็เพิ่งจะเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณเท่านั้น ยังไม่ได้ย่างกรายสู่ระดับหยั่งสัจจะ
หากไม่ได้การคุ้มกันของผู้แข็งแกร่งสายคนเถื่อนวารีเหล่านั้น เกรงว่าพวกเขาคงจะจบชีวิตลงตั้งแต่เข้าสู่อาณาเขตของแดนลับอสูรมารอริยะ ไม่สามารถเหยียบย่างลงบนภูเขาเทพหมอกม่วงที่โหดเหี้ยมนองเลือดหาใดเปรียบแห่งนี้ได้เป็นอันขาด
“อริยะตายไปตั้งมากมายขนาดนี้ ซู่ซู่ พวกเรา…ก็คงไม่…”
สีหน้าเหลียนเฟยซีดขาว น้ำเสียงสั่นพร่า
“อย่าพูดไม่เป็นมงคล เจ้าเองก็เห็นแล้ว ตอนนี้ไม่มีทางถอย มีแต่ต้องเดินหน้าต่อเท่านั้น”
เหยาซู่ซู่ตำหนิเสียงกระซิบคราหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “เจ้าก็อย่ากังวลเกินเหตุ มีแผนภาพปริศนาที่ท่านพ่อข้าทิ้งไว้ให้ จะต้องนำทางเราไปเจอวาสนาหาที่เปรียบมิได้ที่ซ่อนอยู่ในนี้อย่างแน่นอน”
“หวังว่าอย่างนั้นเถอะ”
เหลียนเฟยยังคงรู้สึกหวาดกลัว กังวลเกี่ยวกับผลได้ผลเสียอยู่
แน่นอน สถานที่แห่งนี้น่ากลัวเหลือล้น มีซากศพอริยะเกลื่อนกล่นตลอดทาง ไม่ว่าเปลี่ยนเป็นใคร ก็กลัวแต่ว่าจะไม่สามารถรักษาความเยือกเย็นได้
“จะว่าไป แผนภาพปริศนาที่ท่านพ่อทิ้งไว้ให้อัศจรรย์หาใดเปรียบ ไม่เพียงแต่ช่วยพวกเราค้นพบทางระเบียงที่ซ่อนเร้นมิดชิดแห่งนี้ ยังสกัดกั้นและสลายกลิ่นอายบนซากศพอริยะพวกนั้นได้ด้วย เป็นสมบัติหายากชิ้นหนึ่งอย่างสิ้นเชิง”
ดูเหมือนเหลียนเฟยจะรู้สึกว่าการแสดงออกของตนไม่เอาไหนไปสักหน่อย จึงกล่าวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม “บางทีอาศัยสมบัติชิ้นนี้ ก็สามารถทำให้พวกเราหนีรอดแคล้วคลาดได้จริงๆ”
“ไม่ใช่หนีรอดแคล้วคลาด แต่ค้นเจอวาสนาต่างหาก”
เหยาซู่ซู่เอ่ยแก้
“ใช่ๆๆ จะต้องหาวาสนาพบเป็นแน่”
เหลียนเฟยพยักหน้าติดๆ
“มีประตูหินบานหนึ่งอยู่ข้างหน้า!”
ในยามนี้ดวงตาเหยาซู่ซู่เปล่งประกายระยับ รีบสาวเท้ารุดไปเบื้องหน้า
“ถึงปลายทางแล้วหรือ”
เหลียนเฟยและผู้แข็งแกร่งสายคนเถื่อนวารีคนอื่นๆ รีบก้าวตามไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว
ยามเดินผ่านหลินสวินและพวก ไม่มีใครสัมผัสถึงเลยแม้แต่ครึ่งเสี้ยว จิตใต้สำนึกมองว่าพวกเขาเป็นซากศพอริยะไปแล้วอย่างเห็นได้ชัด
ถึงอย่างไรเกรงว่าใครก็ไม่อาจคิดได้ว่า ภายในทางระเบียงอันลี้ลับเส้นนี้ยังจะมีคนรุดหน้ามาถึงที่นี่ก่อน
สิ่งสำคัญที่สุดคือ มีซากศพอริยะเกลื่อนกลาดตลอดทาง หากปราศจากการป้องกันจากสมบัติลับ แม้จะครอบครองพลังการต่อสู้มหาศาล กลัวแต่ว่าก้าวเดียวก็เดินลำบากแล้ว
ความเข้าใจภายในจิตใต้สำนึกประเภทนี้ พาให้พวกเหยาซู่ซู่ถูกประตูหินที่อยู่ปลายทางระเบียงดึงดูดโดยตรง ไม่ได้สังเกตเห็นความแตกต่างของที่นี่
“มาด้วยมีวาสนา กลับสิ้นวาสนา ณ ที่นี่ วาสนาไม่ถึง จึงได้แต่ปลงอนิจจัง!”
สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ แผนภาพลึกลับที่เหยาซู่ซู่ถืออยู่ในมือ ถึงกับเทียบกันได้คำต่อคำ ทำให้รู้ความหมายอักษรปริศนามหายานหนึ่งแถวนั้นที่ภิกษุชุดขาวเหลือทิ้งไว้
‘เจ้าคางคก ดูเหมือนว่าที่พวกเขาสามารถมาถึงที่นี่ได้ก็เพราะอาศัยแผนภาพปริศนาม้วนนั้น รอสบโอกาสลงมือ ข้าจะไปจัดการผู้แข็งแกร่งสายคนเถื่อนวารีพวกนั้น เจ้าและแม่นางจ้าวไปชิงแผนภาพปริศนานั้นมา’
หลินสวินสื่อจิต ไม่ต้องห่วงว่าจะถูกคนนอกได้ยินเลยแม้แต่น้อย
เจ้าคางคกและจ้าวจิ่งเซวียนต่างก็ตอบตกลงทันที
“สิ่งที่เรียกว่าวาสนาจะต้องอยู่ด้านในประตูนี้อย่างแน่นอน!”
ขณะนี้เหยาซู่ซู่และคนอื่นๆ ยังไม่สังเกตเห็นว่าอันตรายอยู่ไม่ไกลจากข้างตัวพวกเขานัก แต่ละคนแลดูฮึกเหิม จ้องไปยังประตูหินที่ปิดสนิทบานนั้น
“มัวลังเลอะไรอยู่ รีบไปผลักประตูบานนั้นออกเร็ว!”
ผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีคนหนึ่งส่งเสียงเร่งเร้า
“ทำไมเจ้าไม่ไป”
เหลียนเฟยไม่พอใจยิ่ง ตำหนิอย่างไม่สบอารมณ์
“ยังกล้าตีฝีปาก ตลอดทางมานี้หากไม่มีการปกป้องเต็มกำลังจากพวกเรา พวกมนุษย์อ่อนแออย่างพวกเจ้าคงตายไปตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะมาถึงที่นี่ได้”
ผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีสีหน้าอึมครึม เปี่ยมด้วยแววเหยียดหยันและดูแคลน “ให้พวกเจ้าไปก็ไป หากกล้าพูดเหลวไหลอีกอย่าโทษพวกข้าว่าไม่เกรงใจแล้วกัน! ข้าเชื่อว่าต่อให้ไม่มีพวกเจ้า ตราบใดยังมีแผนภาพนั่นอยู่ พวกเราก็สามารถแสวงหาวาสนานี้พบได้เช่นเดิม!”
ครั้นคำพูดนี้เปล่งออกมา เหลียนเฟยหน้าเปลี่ยนสีทันควัน หวาดเกรงไม่สิ้น
“พอแล้ว!”
เหยาซู่ซู่สีหน้าเคร่งขรึม มองสำรวจผู้แข็งแกร่งสายคนเถื่อนวารีเหล่านั้นด้วยสายตาเย็นเยียบปราดหนึ่ง พลางกล่าว “พวกเจ้าอย่าทำเกินควร หากไม่มีข้าร่วมมือ พวกเจ้าย่อมไม่อาจได้วาสนานี้เป็นแน่!”
“เจ้า…!”
ผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีผู้นั้นเดือดดาล แต่ท้ายที่สุดก็อดกลั้นเอาไว้ กล่าวว่า “เมื่อครู่พวกเราออกจะรีบร้อนเกินไปหน่อยจริงๆ พวกเจ้าอย่าได้เข้าใจผิด”
เหยาซู่ซู่แค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง ไม่ได้พูดมากความอีก นางก้าวไปข้างหน้า มาอยู่หน้าประตูหินที่ปิดสนิทบานนั้น เริ่มสำรวจอย่างละเอียด
‘จะลงมือหรือไม่’ เจ้าคางคกสื่อจิตทันที
‘รออีกหน่อย ให้พวกเขานำไปก่อนก็ดีเหมือนกัน’ หลินสวินตอบอย่างว่องไว
วู้ม!
เวลานี้เอง เหยาซู่ซู่ชูแผนภาพในมือขึ้น ฝนแสงสีจางพลิ้วโปรยปราย เข้าปกคลุมประตูหินที่ปิดสนิทบานนั้น
ฉับพลัน ประตูหินซึ่งไม่เคยเปิดมาตั้งไม่รู้กี่ปีบานนั้นถึงกับส่งเสียงร้องคำรามออกมาในเวลานี้ และค่อยๆ เปิดออกอย่างเชื่องช้าท่ามกลางความเงียบสงัด!
ทันใดนั้น เหยาซู่ซู่ เหลียนเฟย รวมถึงผู้แข็งแกร่งสายคนเถื่อนวารีเหล่านั้นต่างสูดหายใจหอบหนัก ท่าทางเหิมฮึกปิติสุดขีด
ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดเรื่อยมา อริยะมากมายต่างก็รอคอยอยู่ที่นี่อย่างตรากตรำ กระทั่งตายไปก็ยังไม่ถึงวันที่ประตูหินจะเปิดออกได้
ทว่าตอนนี้ประตูหินถูกเปิดออกอย่างง่ายดายทั้งอย่างนี้ นี่มีนัยว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘วาสนา’ มาถึงแล้วใช่หรือไม่
บนพื้นแห่งนั้น ประโยคที่ว่า ‘วาสนาไม่ถึง จึงได้แต่ปลงอนิจจัง’ ของภิกษุชุดขาวยังคงมองเห็นได้อย่างแจ่มชัด แสดงถึงความโศกเศร้าและจนปัญญาอย่างชัดแจ้ง
ทว่าในปลายทางของกาลเวลาไร้สิ้นสุด ประตูหินก็เปิดออกในยามนี้ เมื่อสองสิ่งนี้เปรียบเทียบกันแล้ว ทำให้ผู้คนอดทอดถอนใจไม่ได้จริงๆ สิ่งที่เรียกว่าวาสนา ก็ต้องว่ากันถึงโชควาสนาด้วย
“ไป!”
โดยไม่ได้ยืดยาดอีก เหยาซู่ซู่และพวกเหลียนเฟยต่างพุ่งเข้าไปด้านในประตูหิน
“เหตุใดเมื่อครู่ถึงไม่ลงมือ”
เจ้าคางคกหยัดตัวขึ้นจากพื้น เจ็บปวดหัวใจอย่างยิ่ง
“ให้พวกเขาไปสำรวจทาง พวกเรานั่งเก็บเกี่ยวผลประโยชน์”
นัยน์ตาดำของหลินสวินเยือกเย็น “ลำพังแค่พวกเขาเหล่านี้ ต่อให้ชิงวาสนามาได้ ก็ไม่ใช่คู่มือของพวกเรา”
“ฮ่าๆ เจ้าหนูอย่างเจ้านี่ชั่วร้ายนัก วิธีสกปรกเช่นนี้ ถูกเจ้าพูดเสียจนถูกต้องชอบธรรมขนาดนี้ จะไม่ไร้ยางอายไปหน่อยหรือ”
เจ้าคางคกเบิกบานทันที สิ่งที่เขาชอบมากที่สุดก็คือวิธีสกปรกนี่แหละ!
“ครั้งนี้เป็นวาสนาที่สวรรค์ประทานมาให้จริงๆ เมื่อครู่หากพวกเราฝืนทะลวง ก็คงไม่สามารถเปิดประตูหินบานนี้ได้แน่ ใครเลยจะคาดคิดว่าสวรรค์จะส่งเจ้าพวกนี้มา เท่ากับช่วยพวกเราแก้ไขปัญหาใหญ่หลวงได้ข้อหนึ่ง!”
เจ้าคางคกยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น “นี่ก็คือโชคดีมีบุญอย่างไรเล่า และก็มีแค่เผ่าคางคกทองสามขาของข้าเท่านั้นที่ครอบครองโชคดีอันเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ได้”
“ข้าว่าคางคกอย่างเจ้าต่างหากที่หน้าไม่อายที่สุด”
หลินสวินปรายตามองเจ้าคางคกปราดหนึ่ง จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆ เก็บงำกลิ่นอายทั่วสรรพางค์กาย เดินเข้าประตูหินไปอย่างไร้สุ้มเสียง
เจ้าคางคกและจ้าวจิ่งเซวียนรีบตามเข้าไปติดๆ
……
ย่างเข้าประตูหิน ในนั้นถึงกับเป็นดินแดนอีกแห่ง!
เสมือนว่าเดินเข้ามาในตำหนักวิหาร เก่าแก่คร่ำคร่า ราวกับไม่เคยมีคนมาเยือนนานหลายปีแล้ว บนพื้นมีฝุ่นผงหนาเป็นชั้นสั่งสมอยู่
ตำหนักใหญ่มาก แบ่งเป็นสามสิบสามชั้น แต่ละชั้นมีทางเชื่อมต่อกัน ต่างก็มีบันไดหินเก้าขั้นยึดโยงเข้าด้วยกัน
ตำหนักใหญ่โอ่โถงเยี่ยงนี้ ไล่ระดับขึ้นไปเป็นชั้นๆ ท่ามกลางภวังค์ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับมาถึงที่สถิตแห่งทวยเทพ มีบรรยากาศเคร่งครัดอันน่าสะทกสะท้าน
แต่ที่น่าแปลกคือ ในตำหนักใหญ่กลับว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เครื่องตกแต่งใดๆ กว้างโล่งเงียบสงัดและเย็นเยียบอย่างเห็นได้ชัด
ขบวนของเหยาซู่ซู่มุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เคลื่อนขึ้นไปบนบันไดหินทีละขั้น เข้าสู่ส่วนที่ลึกที่สุดในตำหนัก
ไม่นานนักพวกเขาก็เดินทางมาถึงส่วนปลายของตำหนัก จากนั้นก็มองเห็นภาพที่ทำให้พวกเขาต่างตะลึงอ้าปากค้าง…
ปลายสุดของตำหนักนั้น มีเบาะรองนั่งใบหนึ่งวางอยู่อย่างโดดเดี่ยว!
สิ่งที่เรียกว่าสถานที่แห่งวาสนา ก็คือเบาะรองนั่งนี่น่ะหรือ
ในสมัยบรรพกาล อริยะกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้ามาสืบค้นที่นี่ กลับไร้วาสนาเข้าสู่ด้านในของประตูหิน ทำได้เพียงล่วงลับท่ามกลางการรอคอยอย่างทุกข์ตรม
แล้วใครจะจินตนาการว่าวาสนาที่พวกเขาเสาะแสวงทั้งหมด เป็นเพียงแค่ตำหนักใหญ่ว่างเปล่าเยียบเย็นแห่งหนึ่ง กับเบาะรองนั่งใบหนึ่งกัน
นี่เหมือนเรื่องตลกยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่งชัดๆ!
บางที นี่อาจเป็นหลุมพรางอย่างหนึ่งจริงๆ?
ไกลออกไป พวกหลินสวินที่ซ่อนตัวมิดชิด เวลานี้ก็ยากจะสงบลงได้เช่นกัน ไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าด้านในของประตูหินจะเป็นเช่นนี้ไปได้
พวกเขานึกถึงแท่นบูชาแท่นแล้วแท่นเล่าที่เคยเห็นบนยอดเขาก่อนหน้านี้ นึกถึงอักษรปริศนามหายานแถวแล้วแถวเล่าที่ทิ้งไว้บนแท่นบูชาเหล่านั้นขึ้นมา
‘คีรีแห่งดวงกมล ลวงหลอก?’
‘คิดไม่ถึงว่าเขาจะหลอกพวกเราทุกคน!’
‘หากอ้างอิงจากตัวอักษรซึ่งใช้ทั่วไปบนโลกมนุษย์ ดินแดนแห่งดวงกมลคือสถานที่แห่งใจ ‘เสี้ยวจันทร์สามดารา’ คล้ายเส้นอักษรที่เขียนออกมาเป็นคำว่า ‘ใจ’ ปริศนาแห่งโพธิญาณที่เล่าขานซ่อนอยู่ภายใน หรือว่าหากอยากพบดวงกมล ต้องอาศัยมรรคแห่ง ‘ใจ’ ไปเสาะแสวงหา?’
เมื่อนึกถึงประโยคนี้ หัวใจของเจ้าคางคกพลันกระตุก สื่อจิตกล่าวว่า ‘หากอยากพบดวงกมล ต้องใช้มรรคแห่ง ‘ใจ’ ไปเสาะแสวงหา จากนั้นมีอีกประโยคหนึ่งกล่าวว่า ‘พันหมื่นแปรเปลี่ยนใจความคงเดิม นั่นคือโอมมณีปัทเมฮุม’! บางที วาสนาของสถานที่แห่งนี้ จำเป็นต้องใช้วิธีการบางอย่างทลายลง จึงจะเผยออกมาได้’
‘น่าจะเป็นเช่นนี้’
หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนอึ้งงัน ในใจกระจ่างบ้างแล้ว ครั้นมองไปยังตำหนักใหญ่อันว่างเปล่าแห่งนี้อีกหน ก็รู้สึกแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
ตำหนักแบ่งออกเป็นสามสิบสามชั้น ใช่เป็นตัวแทนสามสิบสามสวรรค์ชั้นฟ้าตามตำนานหรือไม่
พื้นที่แต่ละชั้นเชื่อมต่อกันด้วยบันไดเก้าขั้น หรือเป็นการบอกเป็นนัยว่าเลขเก้าคือจำนวนสูงสุด เมื่อก้าวไปหนึ่งชั้นก็เท่ากับย่างผ่านหนึ่งสวรรค์ชั้นฟ้าไปแล้วใช่หรือไม่
และเจ้าของเบาะรองนั่งใบนั้น เป็นอัครบุคคลที่สร้างสถานที่แห่งวาสนานี้กับมือใช่หรือไม่?
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ปริศนาแห่งโพธิญาณก็ซ่อนอยู่ภายในตำหนักใหญ่แห่งนี้ เพียงแต่ในปัจจุบันพวกเขายังไม่ค้นพบเท่านั้น?
ขณะที่ตกอยู่ในภวังค์ ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีผู้หนึ่งพลันลงมือ ถึงขั้นเอื้อมมือไปคว้าเบาะรองนั่งบนพื้นใบนั้น!
เห็นได้ชัดว่าในความคิดของเขา เบาะรองนั่งนี้จะต้องมีอะไรแปลกประหลาด บางทีอาจซ่อนความลับไร้เทียมทานบางอย่างเอาไว้ก็เป็นได้
“ปรารถนาวาสนา ไยจึงอุกอาจ จิตใจสามานย์ ไร้วาสนาต่อข้า”
เกือบจะในเวลาเดียวกัน เสียงลอยล่องผะแผ่วเสียงหนึ่งดังขึ้นในตำหนักใหญ่ทันทีทันใด เวิ้งว้างไกลห่าง ไม่รู้ว่าเปล่งออกมาจากที่ใด
แต่เมื่อเสียงดังขึ้น ก็เห็นผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีที่ลงมือคนนั้นตัวแข็งทื่อฉับพลัน ร่างเกิดเสียงดังปัง กลายเป็นเถ้าลอยร่วงเต็มพื้น
ตั้งแต่ต้นจนจบ ล้วนไม่ทันได้ตอบสนอง!
เฮือก!
เสียงสูดหายใจเย็นเยียบระลอกหนึ่งดังขึ้นในที่นั้น น่าตระหนกอย่างยิ่ง ตำหนักใหญ่แห่งนี้มีสิ่งแปลกพิสดาร ซุกซ่อนไอสังหารไร้เทียมทานที่มองไม่เห็นเอาไว้ดังคาด!
‘เจ้าหนู เห็นเถ้าฝุ่นหนาเป็นชั้นๆ บนพื้นนั่นไหม ข้าสงสัยว่า พวกนั้นล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่เคยเข้ามาที่นี่ก่อนหน้านี้ หลังจากสัมผัสไอสังหาร ร่างก็กลายเป็นกองเถ้าถ่านสั่งสม!’
เจ้าคางคกขนลุกขนชัน สื่อจิตบอกการคาดคะเนของตน
สิ่งนี้ทำให้หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนต่างหนังศีรษะชาวาบ หากเป็นดังที่เจ้าคางคกว่ามาจริง เถ้าฝุ่นหนาเป็นชั้นๆ บนพื้นนั้น ก็เท่ากับเป็นเถ้ากระดูกของผู้แข็งแกร่งที่ร่วงหล่นคนแล้วคนเล่าเลยไม่ใช่หรือ
‘อย่าได้ผลีผลาม!’
ไกลออกไป เหยาซู่ซู่ท่าทีเคร่งขรึม ส่งเสียงเตือน
นางสาวเท้าก้าวไปเบื้องหน้า เทียบแผนภาพลึกลับในมือพลางจ้องมองเบาะรองนั่งบนพื้นใบนั้นอย่างถี่ถ้วน
พวกเหลียนเฟยต่างเริ่มวิตก เตรียมพร้อมตั้งรับ
ทันใดนั้นเหยาซู่ซู่สูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก ตะโกนออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “พันหมื่นแปรเปลี่ยนใจความคงเดิม นั่นคือโอมมณีปัทเมฮุม!”
วู้ม!
ประโยคนี้ดุจดั่งกุญแจดอกหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น กระตุ้นสิ่งหวงห้ามที่ซุกซ่อนอยู่ในนี้ พลันเห็นว่าเบาะรองนั่งใบนั้นหลั่งแสงมรรคออกมา ส่องสว่างตำหนักใหญ่แห่งนี้ในพริบตา!
——