Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 622 แขกผู้มาเยือนในราตรีแสงจันทร์
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 622 แขกผู้มาเยือนในราตรีแสงจันทร์
ก่อนหน้านี้ยามอยู่ในแดนลับอสูรมารอริยะ พลังปราณของหลินสวินก็ทะลวงขั้นสมบูรณ์ของระดับหยั่งสัจจะขั้นต้นแล้ว
ต่อมา เขาสร้างมรรคาของตนเองใหม่ระหว่างที่อยู่ในตำหนักโบราณ เป็นการขัดเกลาพลังปราณในตัวอย่างยิ่งยวดโดยสมบูรณ์ แปรเปลี่ยนเป็นสมบูรณ์และเติมเต็ม
กระทั่งผ่านการประลองกับบุตรเทพชั้นยอดสี่คนครั้งหนึ่ง ในการต่อสู้ได้ครอบครองปริศนาแก่นแท้วิชาอริยะยุทธ์
ทำให้พลังของหลินสวินราวกับถูกเคี่ยวกรำครั้งหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนตอนนี้ เขายืนอยู่บนนาวาน้อย จิตใจผ่อนคลายโดยสิ้นเชิง รับรู้ได้ถึงความงดงามอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ การขับเคลื่อนของพลังทั่วกายพลันเกิดการสั่นสะเทือน มีเสียงโครมคราม
เค้าลางบรรลุขั้นกำลังใกล้เข้ามา
ลมทะเลพัดโบก ท้องฟ้าเข้าสู่อัสดงโพล้เพล้ ขีดคั่นความสว่างและมืดมิด คลื่นทะเลราวเพลิง หมู่ดาราปรากฏให้เห็นรางๆ บนท้องฟ้า ยิ่งใหญ่ไพศาล
หลินสวินยืนโดดเดี่ยว พลิ้วไหวราวจะหลุดพ้นจากโลกาลอยไปตามลม
เขาในตอนนี้ในใจไม่แปดเปื้อนมลทิน ว่างเปล่าโปร่งใส ดวงตาทอดมองไปไกลยังเวิ้งฟ้า ถามเสียงเบาว่า “มรรคอยู่ที่ใด”
เจ้าคางคกที่อยู่ข้างๆ อึ้งไป มองหลินสวินด้วยสีหน้าที่ไม่ได้ล้อเลียนตลกขบขันอย่างหาได้ยากนัก
เขาเอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าเห็นว่า ‘มรรค’ นี้เหมือนทะเลใหญ่ตรงหน้า ไหลทั่วใต้หล้า ล้วนกลับสู่ต้นกำเนิดของมัน”
คิดไปคิดมาเจ้าคางคกก็พูดอีกว่า “‘มรรค’ ดุจดั่งอาทิตย์อัสดงคล้อยไปไกล เคลื่อนเร้นในราตรี สาดส่องในทิวา คืนกลับเป็นวัฏจักร หมุนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
หลินสวินส่ายหน้า “หากข้าถมทะเลนี้ให้ราบเรียบ ทำลายดวงอาทิตย์ให้แหลกสลาย! มรรคจะยังคงดำรงอยู่หรือ”
เจ้าคางคกเบิกตากว้างแล้วพูดว่า “เจ้าหนูตัวดี เจ้าทนดูความหมายลึกล้ำแห่งการหยั่งรู้ของข้าไม่ได้หรือ”
หลินสวินพลันหัวเราะแล้ว “หากหยั่งถึงการดำรงอยู่ของมรรค เหตุใดจึงต้องพูดถึงทะเลและดวงอาทิตย์”
“เช่นนั้นเจ้าพูดมา มรรคอยู่ที่ใด” เจ้าคางคกไม่สบอารมณ์
หลินสวินไม่พูด เดินออกไปก้าวหนึ่ง
ทันใดนั้นกระแสพลังไร้รูปร่างพุ่งออกมาจากรอบกายหลินสวิน พวยพุ่งไปยังเมฆา ชนให้ชั้นเมฆแหลกสลาย!
บนผืนน้ำที่อยู่ไกลออกไป ฟองคลื่นนับไม่ถ้วนม้วนตลบซู่ซ่า หยดย้ำราวไข่มุกทุกหยดล้วนสะท้อนภาพนิมิตงดงามของฟ้าดิน หยดน้ำนับหมื่นพันกลายเป็นฟองคลื่น คลื่นกระเพื่อมนี้ไหววูบไม่ว่างเว้น
ปลาลายด่างมีสีสันฝูงแล้วฝูงเล่ากระโจนขึ้นมาตามฟองคลื่น วาดวงโคจรงดงามเส้นแล้วเส้นเล่า
ไม่นานนักน่านน้ำนี้พลุ่งพล่าน เหมือนกลับมามีชีวิตจากการหลับไหล ฟองคลื่นมากมาย ฝูงปลาโลดแล่น อาทิตย์อัสดงสาดสีแดงกุหลาบ คลื่นน้ำราวภาพฝัน
บนท้องฟ้าหมู่ดาราพร่างพรายระยิบระยับเหมือนลมหายใจเข้าออก
ภาพการณ์เช่นนี้ดุจม้วนภาพที่ผสานความเคลื่อนไหวและความนิ่งสงบเข้าด้วยกันอย่างลงตัว บรรจุความงดงามยิ่งใหญ่ของฟ้าดินภายในนั้น
ส่วนหลินสวินกลับเป็น ‘คนที่อยู่ในภาพ’ การขับเคลื่อนของพลังรอบกลายพวยพุ่ง ดุจตวัดพู่กันเพิ่มแสงเงาให้ภาพนี้
มัจฉากระโดดออกมาจากทะเล บุปผาเบ่งบานสองฝั่งฟ้า!
“นี่ก็คือมรรค”
หลินสวินหันหน้ามามองเจ้าคางคก ดวงตาสีดำลุ่มลึกเปล่งประกายสดใส
เจ้าคางคกอึ้งไป มองหลินสวินที่อยู่ตรงหน้า ฟ้าดินราวภาพวาดที่ไกลออกไปนั้น ดุจกลายเป็นพื้นหลังที่ขับเน้นเขาให้โดดเด่น ในใจมีความหวั่นไหวที่ยากบรรยาย
“นี่เป็น… ‘มรรค’ ของข้า!”
หลินสวินหันกายไปอีก สายตาทอดมองไปไกล เวลานี้อาทิตย์อัสดงหายลับขอบฟ้า รัตติกาลมาถึงในที่สุด ดวงดาราบนท้องฟ้าเจิดจ้า ส่องสว่างราวอัญมณี
ดวงจันทร์ดวงหนึ่งลอยสูงขึ้น เปล่งรัศมีกระจ่าง สะท้อนภาพไหววูบส่องสว่าง
น่านน้ำนี้ยิ่งเงียบสงบและกว้างใหญ่ขึ้นแล้ว
เจ้าคางคกนิ่งไปครู่ใหญ่ อดไม่ได้ด่าทอออกมาว่า “ให้ตายสิ เจ้าหนูเจ้าถึงกับบรรลุขั้นไปเองตามธรรมชาติเช่นนี้แล้ว!?”
ประโยคนี้พลันทำให้เสียบรรยากาศ ทำลายทิวทัศน์อันงดงาม
หลินสวินแข็งทื่อไปทั้งตัว มุมปากกระตุกอย่างยากสังเกต
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็หลุดหัวเราะ ในที่สุดก็อดแหงนหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะร่าไม่ได้ เต็มไปด้วยความสบายใจและเบิกบาน ดังขึ้นทั่วฟ้าดิน
จริงด้วย เขาบรรลุขั้นแล้ว เมื่อย่างก้าวออกไปก็เหยียบย่างเข้าไปในขั้นกลางของระดับหยั่งสัจจะ พร้อมกับปรากฏการณ์ประหลาดราวภาพวาดมัจฉากระโดดออกมาจากทะเล บุปผาเบ่งบานสองฝั่งฟ้า!
ทั้งหมดนี้เป็นไปเองโดยธรรมชาติ ดุจจันทร์เต็มดวงเริ่มแหว่งเว้า ประหนึ่งน้ำเต็มไหลหลั่งออกมา
นี่ก็คือมรรคาของหลินสวิน เป็นหนทางมกุฎมรรคาหลังจากทำให้สมบูรณ์แบบถึงที่สุดแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นการฝึกปราณหรือการเลื่อนขั้น ต้องไม่เหมือนผู้ใดในใต้หล้าแน่!
……
แสงจันทร์ราววารี รัศมีกระจ่างส่องลงมายังผิวน้ำ ใสสว่างราวเงิน
บนนาวาน้อย หลินสวินนั่งอยู่หน้าโต๊ะตามใจ ลิ้มลองเนื้อเต่าทมิฬที่ย่างจนเป็นสีเหลืองทองมันวาวพลางดื่มสุรา
เจ้าคางคกกลับกำลังลงแรงย่างเนื้อ ดีใจจนตื่นเต้น นี่เป็นเนื้อของเสวียนหลัวจื่อบุตรเทพเผ่าเต่าทมิฬ กลับถูกเขาย่างสุกเอามากิน
เดิมทีหลินสวินปฏิเสธ รู้สึกว่านี่เหมือนกินเนื้อคน
แต่เจ้าคางคกสั่งสอนเขาอย่างเคร่งครัด บอกว่าเต่าทมิฬนี้เป็นสัตว์ปีศาจในทะเล ทั้งมีรสชาติเลอเลิศหาใดเทียบ ในยุคบรรพกาล อริยะมากมายเมื่อกินแล้วล้วนชมไม่ขาดปาก
หลินสวินลังเลเล็กน้อย ฝืนชิมไปคำหนึ่ง
จากนั้น…
เขาก็สลัดทิ้งความกังวลทั้งหมด กินจนหยุดไม่ได้!
สาเหตุก็เป็นอย่างที่เจ้าคางคกพูดไว้ เนื้อของเต่าทมิฬนั้นอร่อยยิ่งนัก สดและนุ่มหาใดเทียบ เคี้ยวเพลินนัก ไม่ต้องมีเครื่องปรุงรสใดก็เรียกได้ว่าเลิศรสเหนือสิ่งใด
“เฮ้ยๆ เจ้ากินน้อยหน่อย เหลือให้ข้าบ้าง!”
เมื่อเห็นหลินสวินกินเร็วนัก เจ้าคางคกพลันโมโหแล้ว พุ่งเข้ามาแย่งกิน กินไปชมไป “สาแก่ใจจริงโว้ย ครั้งหน้าพวกเราก็เอาวัวกับโห่วเมฆาตัวนั้นมากินเถอะ ทิ้งไปก็เสียของเกินไปแล้ว…”
หลินสวินเงียบไม่พูดไม่จา สนใจแต่กินให้เต็มคราบ
เจ้าคางคกกลับยิ่งตื่นเต้นแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่า อริยะยุคบรรพกาลยังเคยได้ลิ้มรสตับมังกรและไขกระดูกปักษาเพลิงของจริง ตามตำนาน นั่นเป็นของชั้นยอดเลิศรสเชียวนะ เหล่าทวยเทพล้วนน้ำลายสอ สักวันหนึ่งข้าก็จะต้องได้ลิ้มรสด้วยตัวเองให้จงได้”
“คุณชายทั้งสอง ขอบ่าวชิมบ้างได้หรือไม่”
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะราวระฆังเสียงหนึ่งดังกังวาน น่าเคลิบเคลิ้มหาใดเทียบราวเสียงสวรรค์
บนผืนน้ำกว้างยามราตรีนี้ ก็มองเห็นละอองแสงสาดส่องลงมา แปรสภาพเป็นเงาร่างงามงดเหยียบย่างเกลียวคลื่นเข้ามา
เจ้าคางคกอึ้งไป พลันตวาดอย่างดุร้ายว่า “นางอสูรมารจากที่ใดกันถึงได้กล้าอุกอาจเข้าใกล้! เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะฆ่าเจ้า!”
“คิกๆ คุณชายช่างปากคอเราะรายเสียจริง”
เงาร่างงดงามนั้นเข้ามาใกล้ตามเสียง แสงจันทร์ปกคลุม ส่องสัท้อนภาพเด็กสาวชุดกระโปรงเหลืองผู้หนึ่งออกมา
ใบหน้าพริ้งพรายของนางขาวเปล่งปลั่ง งดงามหมดจด คิ้วสวยโค้งมน คางเรียวแหลม ดวงตาเป็นประกายมีชีวิตชีวา มุมปากระบายรอยยิ้มซุกซน ดุจภูตพรายในทะเลตนหนึ่ง
ต่อให้เป็นหลินสวิน เวลานี้ก็อดตื่นตะลึงไม่ได้อยู่บ้าง
“หึ ข้าไม่เพียงปากคอเราะราย นิสัยใจคอก็ดุร้ายด้วย!”
เจ้าคางคกส่งเสียงหึหยัน เขาระแวดระวังนัก
“อ๊ะ ได้พบกันก็ถือว่ามีวาสนา เหตุใดต้องดุร้ายปานนี้ด้วย บ่าวเอ่ยปากเองแล้ว หรือคุณชายทั้งสองจะทนไล่ข้าไปได้”
เด็กสาวชุดกระโปรงเหลืองผู้นี้ใบหน้าสวยงามหยดย้อย พริ้งพรายหาใดเทียบ ยามพูดจาก็ก้าวลงเรือน้อย เสื้อผ้าปลิวไปตามลม ขับเน้นให้ร่างสะสวยขาวราวหิมะดูอรชรอ้อนแอ้น
“ข้าไม่เคยเห็นผู้หญิงที่รอฉวยโอกาสเช่นนี้ หน้าหนาเสียจริง”
เจ้าคางคกเอ่ยค่อนแคะ
เด็กสาวชุดเหลืองหัวเราะคิกคัก ไม่ถือสาอะไร นั่งอยู่หน้าโต๊ะตามใจชอบแล้วเอ่ยว่า “บ่าวมีนามว่าอาหู คารวะคุณชายทั้งสองท่าน”
นางมีความงามที่พิเศษ กริยาท่าทางไหลลื่นเรียบง่าย เหมือนเซียนบริสุทธิ์ไร้ราคีในโลกา แต่ท่วงท่ากลับเคลื่อนไหวชดช้อย เอวบางจนแขนโอบรอบได้ กริยาพริ้งเพรา ดูยั่วยวนถึงที่สุด
โดยเฉพาะยามยิ้มบางๆ ตาโตมีชีวิตชีวา ริมฝีปากแดงเปล่งปลั่ง งามเสียจนทำให้หยุดหายใจ
ตัวนางมีทั้งคุณลักษณะอย่างเซียน ร่างกายของมารสาว มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่หลากหลาย
เจ้าคางคกกลับไม่รับไมตรี ถลึงตาใส่จะตะคอก แต่ถูกหลินสวินยั้งไว้
“ที่แท้ก็เป็นแม่นางอาหู ไม่ทราบว่ามาหาด้วยเรื่องใดหรือ”
หลินสวินยิ้มละไมเอ่ยถาม
“ขอดื่มเหล้าหนึ่งจอก จะดีที่สุดหากได้ลิ้มลองเนื้อเต่าทมิฬนี้”
ดวงตาของอาหูมีชีวิตชีวา รอยยิ้มเจิดจ้า ใบหน้าเรียวราวเมล็ดแตงไร้ราคีมีความงดงามสดใสไร้มลทิน
หลินสวินยิ้มแล้วพูดว่า “เชิญ”
เขารู้สึกสนใจ
ในน่านน้ำยามราตรีที่ไม่อาจล่วงรู้ได้แห่งนี้ กลับมีเด็กสาวผู้มีเอกลักษณ์และสะสวยผู้หนึ่งมาเยือนกะทันหัน นี่ช่างน่าสนใจไปแล้ว
อาหูก็ไม่เกรงใจ ไม่สงวนท่าทีอย่างที่เด็กสาวทั่วไปพึงมี ใช้สองมือเปล่งปลั่งขาวบริสุทธิ์หยิบกาสุรารินเหล้าให้ตัวเองเต็มจอก
เวลาเดียวกัน นางก็ลงมือฉีกเนื้อเต่าทมิฬเหลืองทองมันวาว ยัดเข้าไปในปากน้อยสีแดงสด กินเนื้อไปพลางดื่มสุราไปพลาง ดูพึงพอใจและเป็นธรรมชาติ ราวกับไม่เห็นว่าตนเป็นคนนอก
นี่ทำให้หลินสวินยิ่งรู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้น่าสนใจขึ้นเสียแล้ว ส่วนเจ้าคางคกกลับกัดฟัน หย่อนก้นลงนั่งข้างๆ แย่งกินไปด้วย เหมือนว่าไม่ยินยอมให้อาหารเลิศรสถูกเด็กสาวผู้นี้กินอยู่คนเดียว
“อือ เนื้อเต่าทมิฬนี้อร่อยนัก รสชาติเรียกได้ว่าโดดเด่นไร้เทียมทาน”
อาหูกินจนแก้มนูนขึ้น ริมฝีปากแดงเปล่งปลั่งมีแต่คราบมัน ดวงตาโตและสดใสทั้งสองหรี่ลง เต็มไปด้วยแววตาดื่มด่ำและพึงพอใจ
“แม่ช่างกิน! ไม่กังวลว่าจะกินจนอ้วนกลมหรือไง!” เจ้าคางคกถากถาง
“คิกๆ ไม่กลัว”
อาหูยิ้มหวาน นางนั่งอยู่เช่นนั้น ทั้งกายอาบไล้ไปด้วยแสงจันทร์ มีชีวิตชีวาเหนือธรรมดา ร่างงามชดช้อยมีความงามบริสุทธิ์
“คุณชายทั้งสองจะไปที่ใดหรือ”
หลังจากอาหูกินไปรอบหนึ่งแล้วก็บิดขี้เกียจ ใช้มือเช็ดริมฝีปากแดงเปล่งปลั่ง ถามขึ้นอย่างสงสัย
“จักรวรรดิจื่อเย่า” หลินสวินเอ่ยตอบ
อาหูพูดอย่างประหลาดใจ “โห ที่นั่นห่างไกลนัก อีกทั้งหนทางก็อันตราย หากไม่มีราชันระดับสังสารวัฏนำทางต้องรอดชีวิตได้ยากแน่”
หลินสวินชำเลืองมองนางครั้งหนึ่งแล้วกล่าวว่า “แม่นางก็รู้จักจักรวรรดิจื่อเย่าหรือ”
อาหูพยักหน้า ยิ้มบางแล้วพูดว่า “เคยได้ยินเจ้าค่ะ”
มือของนางลูบหน้าผากขาวเปล่งปลั่ง นิ่งคิดแล้วเอ่ยว่า “อีกเจ็ดวันชุมนุมประมูลสมบัติครั้งยิ่งใหญ่จะเปิดฉากขึ้นในตลาดนัดโจมเมฆา ลือกันว่าในชุมนุมครั้งนี้จะมีการประมูล ‘ยานสมบัติอวกาศ’ ที่ตกทอดจากยุคบรรพกาลลำหนึ่ง หากได้สมบัตินี้ไป ไม่แน่ว่าจะสามารถพาคุณชายทั้งสองกลับไปยังจักรวรรดิจื่อเย่าได้อย่างปลอดภัย”
ตลาดนัดโจมเมฆา ชุมนุมประมูลสมบัติ ยานสมบัติอวกาศหรือ
หลินสวินใจเต้น ยามจะซักถามโดยละเอียด อาหูก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและแผ่วเบา ยิ้มละไมแล้วพูดว่า “ขอบพระคุณคุณชายทั้งสองท่านที่ดูแลอย่างดี เพื่อไม่นำพาความยุ่งยากมาให้ทั้งสองท่าน บ่าวขอลาก่อนเจ้าค่ะ”
ยามนางเอ่ยปากก็ลอยละล่องเดินไปบนผิวน้ำเหมือนเซียนท่านหนึ่ง มาอย่างกะทันหันและจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็หายตัวไปแล้ว
บนท้องฟ้าเหลือเพียงกลิ่นหอมหวานอ่อนๆ ลอยละล่อง
เจ้าคางคกสีหน้าอึมครึม ไม่พอใจอาหูนัก เอ่ยพูดว่า “เห็นได้ชัดว่านี่เป็นนางอสูรมารตนหนึ่ง เจ้าอย่าถูกนางล่อลวง เชื่อคำโกหกของนางเชียว!”
“ข้ากลับรู้สึกว่าบังเอิญพบคนไม่รู้จัก ทั้งไม่มีความแค้นหรือหมางใจกัน นางคงไม่มีเจตนาร้าย และไม่น่าจะหลอกพวกเรา”
หลินสวินครุ่นคิด
เจ้าคางคกตบหน้าผาก ถอนหายใจแล้วพูดว่า “จบกัน เจ้าถูกนางอสูรมารนั่นล่อลวงแล้วดังคาด คนไม่รู้จักพอ หลงใหลมัวเมาในความงามเช่นเจ้าช่างทำให้ข้าขายหน้าเสียจริง หากถูกจ้าวจิ่งเซวียนรู้เข้าคงฟันเจ้าออกเป็นสองท่อนแน่!”
หลินสวินกลอกตา พูดอย่างขัดเคืองว่า “คนแบบเจ้าจะโสดไปทั้งชีวิตก็สมควรแล้ว!”
ใครจะคิดว่าเจ้าคางคกไม่อับอาย กลับเห็นเป็นเกียรติ พูดอย่างลำพองใจว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าถือพรหมจรรย์ เพิกเฉยเรื่องรักๆ ใคร่ๆมาตลอด”
หลินสวินในใจเต็มไปด้วยความเห็นใจ ดังคาด เจ้าคางคกนี่เป็นโสดขั้นรุนแรง หมดทางเยียวยาแล้ว เสียดายหน้าตาหล่อเหลามีเสน่ห์ราวปีศาจนั้นของเขาเสียจริง…
——