Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 635 เคราะห์สังหารบังเกิด
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 635 เคราะห์สังหารบังเกิด
จวบจนมองส่งพวกหลินสวินจากไป ชิงอวิ๋นหยางถึงได้ละสายตากลับมา
นึกถึงทุกเรื่องที่ประสบมาทั้งหมดในวันนี้ เขาพลันเลื่อนลอยไปชั่วขณะ ที่แท้… เขาก็เป็นเด็กหนุ่มเทพมารผู้ปลุกปั่นทั่วน่านสมุทรทะเลใต้จนโกลาหลอลหม่านจริงๆ!
สักพักภายในใจชิงอวิ๋นหยางหวนสู่ความสงบ แปรเป็นความแน่วแน่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
จากตัวของหลินสวิน ทำให้เขามองเห็นหนทางแห่งผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง ตระหนักได้ว่าการแสดงออกที่ผ่านมาของตน มันไม่เพียงพอและเหลือทนมากเกินไป
‘เสียทีที่ข้าเป็นบุตรเทพเผ่าตะพาบเขียว ใครเลยจะคาดคิด ก็เป็นแค่กบในกะลาตัวหนึ่งเท่านั้น นับแต่นี้ต่อไป ข้าจะพากเพียร ละทิ้งทุกสิ่ง มุ่งมั่นสู่มหามรรคแห่งตน!’
ชิงอวิ๋นหยางสูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งเฮือก แววตาลุ่มลึกมาดมั่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพจิตใจ ทำให้บุคลิกทั้งกายของเขาเริ่มแตกต่างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ผู้ติดตามเผ่าตะพาบเขียวที่อยู่ใกล้ๆ กลุ่มหนึ่งก็สัมผัสได้อย่างฉับไว บุตรเทพของพวกเขาราวกับเปลี่ยนไปเป็นอีกคน บุคลิกเคร่งขรึมและเยือกเย็น ทำให้พวกเขาต่างลอบอัศจรรย์ใจ
‘จริงด้วย ก็ไม่รู้ว่าหลินสวินทิ้งสิ่งของอะไรไว้ให้ข้า’
ในใจชิงอวิ๋นหยางพลันตื่นเต้น หมุนกายเดินเข้าไปในหอหยกขาวนพนภา แล้วจึงคลี่เปิดถุงเก็บของที่หลินสวินมอบให้อย่างระมัดระวัง
จากนั้นไม่นานชิงอวิ๋นหยางราวกับถูกอสนีฟาด ยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น อกกระเพื่อมขึ้นลงระลอกหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนไปหลากสีสันถึงขีดสุด
มีทั้งตื่นตระหนก ทั้งดีใจแทบคลั่ง และยิ่งมีความรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างหนึ่งด้วย
สิ่งของภายในถุงเก็บของนั้นแสนเรียบง่าย เป็นตำราคัมภีร์หลายเล่ม มี ‘คัมภีร์ยุทธจักร’ ของเผ่าสิงห์โลหิต ‘วิชาสำรอกรู้ตน’ ของเผ่าวาฬมังกร ‘วิชาสมบัติร่างค้อนอสนีแกร่ง’ ของเผ่าวัวมารทรงพลัง ‘คัมภีร์หกเกราะผนึกมาร’ ของเผ่าโห่วเมฆา…
ตำราคัมภีร์แต่ละเล่มนั้นต่างเรียกได้ว่าหาที่เปรียบมิได้ มีความน่าอัศจรรย์ไร้ขอบเขต เป็นมรดกลับขั้นสูงสุดของแต่ละเผ่า ภายในบรรจุแก่นแท้อัศจรรย์แห่งมหามรรค มูลค่ายิ่งใหญ่เกินกว่าจินตนาการ
หากแพร่งพรายออกไป ทั่วทั้งน่านสมุทรทะเลใต้คงจมสู่ความสั่นสะเทือน บังเกิดลมมรสุมคับฟ้า!
‘มิน่าคนใหญ่คนโตเหล่านั้นถึงไม่สนศักดิ์ศรี คิดจะร่วมมือกันไล่สังหารเขา หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ก็คงไม่มีใครทนให้มรดกลับสูงสุดของเผ่าตนเองรั่วไหลออกไปได้หรอก…’
สีหน้าของชิงอวิ๋นหยางปลงอนิจจัง ยิ่งสะเทือนใจกับความน่ากลัวของหลินสวิน แข็งขืนช่วงชิงมรดกลับสูงสุดของเผ่าใหญ่ได้จำนวนมาก นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะทำได้!
‘หากมีความสามารถมากพอจะหยั่งถึงความลับของตำราคัมภีร์พวกนี้ เช่นนั้นต่อจากนี้ไปหากข้าต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งของเผ่าสิงห์โลหิต เผ่าวาฬมังกร เผ่าวัวมารทรงพลังพวกนี้ละก็ จะครอบครองข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!’
‘เพราะความลับแก่นแท้ที่พวกเขาฝึก ล้วนถูกข้าหยั่งถึงจนหมดแล้ว’
‘บางที นี่ก็คือเป้าหมายที่หลินสวินมอบตำราคัมภีร์พวกนี้ให้ข้ากระมัง…’
หัวใจของชิงอวิ๋นหยางพองโตขึ้น ท้ายที่สุดสายตาของเขามองทะลุบานหน้าต่างไปยังผืนน้ำสีฟ้าครามซึ่งอยู่ไกลออกไป กล่าวพึมพำว่า “หลินสวิน ขอบคุณมาก! ยามเมื่อมหาสงครามที่แท้จริงมาถึง ข้าจะเคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกันกับเจ้า บนหนทางแห่งการต่อสู้มหามรรค!”
……
หอวาโยเมามาย ชั้นที่เก้า
ในโถงใหญ่ทั่วพื้นระเนระนาด
หลันเทียนฉี ลั่วหยาและกลุ่มผู้มากความสามารถรุ่นใหม่ของแต่ละเผ่าต่างมีสีหน้าอึมครึม นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น
ถึงแม้หลินสวินและชิงอวิ๋นหยางจะออกไปแล้ว แต่พวกเขาเหล่านี้ต่างไม่สามารถสงบลงมาได้เลยสักคน พอนึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ภายในจิตใจของพวกเขาล้วนสั่นระริกหวาดกลัว และมีความอัปยศที่ยากอธิบายประการหนึ่งด้วย
“ในบุตรเทพชั้นยอดระดับหยั่งสัจจะที่เป็นคนรุ่นเยาว์แห่งน่านสมุทรทะเลใต้ ดูเหมือนจะไม่มีบุคคลเช่นนี้อยู่กระมัง พวกเจ้าว่าเจ้าหมอนั่นเป็นใครกันแน่”
ลั่วหยาเปล่งเสียงทุ้มต่ำ ทำลายบรรยากาศแสนเงียบสงัดนี้
ทุกคนต่างมองหน้าสบสายตากัน
“หากข้าเดาไม่ผิด เด็กหนุ่มคนนั้นน่าจะเหยียบย่างบนมกุฎมรรคาที่แข็งแกร่งที่สุดตามตำนานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!”
สุดท้ายหลันเทียนฉีก็เอ่ยปาก เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก สีหน้าอึมครึม “ขอบเขตเช่นนี้ เรียกอีกอย่างว่าขอบเขตแห่งราชัน! ดุจดั่งราชันสูงสุดที่อยู่ในระดับนี้ ยืนอยู่บนยอดเขาอย่างภาคภูมิ เรียกได้ว่าไร้ศัตรูในระดับเดียวกัน!”
“ผู้ที่สามารถต้านทานเขาได้ ก็มีแต่บุคคลชั้นยอดที่บรรลุถึงขอบเขตราชันเช่นเดียวกันเท่านั้น! ผู้ฝึกปราณอื่นๆ ทั้งปวง ต่างไม่สามารถเป็นปรปักษ์ได้”
“ราชัน หมิ่นแคลนทั่วทั้งระดับ ดุจดั่งมังกรเทพบนแดนสรวง ในยุคบรรพกาลรู้จักกันในนามมกุฎวีรชน สามารถกำราบทั้งระดับ กวาดล้างทุกสิ่ง!”
“บุคคลระดับนี้ แม้จะอยู่ในยุคบรรพกาลก็ยังเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน!”
ถ้อยคำนี้ เมื่อถูกคนระดับบุตรเทพชั้นยอดอย่างหลันเทียนฉีพูดออกมา ก็ราวกับสายฟ้าน่าตะลึงสายหนึ่ง ทำให้ทั่วโถงไร้สุ้มเสียง จมสู่ความตะลึงงัน
เด็กหนุ่มคนเมื่อครู่นั้น ถึงกับเป็นราชันสูงสุดที่ยืนมั่นอยู่ในระดับหยั่งสัจจะผู้หนึ่ง? สามารถกำราบทั่วทั้งระดับ กวาดล้างศัตรูรุ่นเดียวกันทั้งปวง?
นี่เป็นเหมือนเทพนิยายปรัมปราแสนเลือนลางเรื่องหนึ่ง เปี่ยมด้วยสีสันอันน่าเหลือเชื่อ ทำให้ผู้คนแทบไม่กล้าปักใจเชื่อ
“บนโลกใบนี้… มีบุคคลไร้เทียมทานระดับนี้จริงๆ หรือ” ใครบางคนเสียงสั่น
“มี!”
หลันเทียนฉีตอบด้วยความมาดมั่นทรงพลัง นัยน์ตาทอแสงแห่งการหวนระลึก “ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ข้าเคยติดตามผู้อาวุโสในเผ่าไปเยือน ‘แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์’ และที่นั่นข้าได้ยินข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับมกุฎวีรชน”
“สิ่งที่แน่ใจได้ก็คือ ในบรรดาขุมอำนาจใหญ่ที่สืบสายมาจากยุคบรรพกาลเหล่านั้นในดินแดนรกร้างโบราณ ก็มีบุคคลไร้เทียมทานที่ราวกับปีศาจเช่นนี้อยู่!”
“อย่างเช่นอวิ๋นชิ่งไป๋ ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าที่มีชื่อเสียงระบือในดินแดนรกร้างโบราณ ถูกยกย่องว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่อันดับหนึ่งของคนรุ่นเยาว์ ยามเมื่ออยู่ในระดับหยั่งสัจจะก็ได้รับการขนานนามว่าเป็นราชันสูงสุดที่ไร้ศัตรูในระดับเดียวกัน”
อวิ๋นชิ่งไป๋!
ครั้นได้ยินชื่อนี้ ผู้คนไม่น้อยที่อยู่ตรงนั้นต่างหน้าเปลี่ยนสี เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเองก็เคยได้ยินข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับคนผู้นี้มาก่อนเช่นเดียวกัน
ท่ามกลางความตะลึงงัน สีหน้าลั่วหยาเปลี่ยนไปอย่างมาก กล่าวเสียงหลงว่า “หรือว่า… เด็กหนุ่มคนเมื่อครู่นั่นก็เป็นราชันคนหนึ่งเช่นกัน?”
หลันเทียนฉีกล่าวเสียงขรึม “เขาสามารถพิชิตข้าได้ในการโจมตีสามครั้ง ทำให้ข้าปราศจากเรี่ยวแรงในการตอบโต้โดยสิ้นเชิง บุคคลเช่นนี้ ต่อให้ไม่ราชัน ก็มีแต่จะเหนือชั้นกว่าราชัน!”
ทุกคนต่างตระหนักสุดขีด หลันเทียนฉีเป็นบุคคลระดับบุตรเทพชั้นยอด แทบจะยืนมั่นอยู่บนปลายยอดของระดับหยั่งสัจจะ ทว่าเมื่อครู่เขาพ่ายแพ้อย่างเละไม่เป็นท่า ถูกเด็กหนุ่มคนนั้นกำราบในหมัดเดียว
ผู้ที่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ทอดสายตาไปทั่วทั้งน่านสมุทรทะเลใต้ กลัวแต่ว่าคงหาไม่พบเลยสักคน!
เช่นนั้นเด็กหนุ่มคนนี้โผล่มาจากที่ไหนกันแน่? เขาครอบครอบความแข็งแกร่งที่เพียงพอจะทัดเทียมมกุฎราชันระดับหยั่งสัจจะ แล้วเหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน?
“ข้านึกออกแล้ว ที่แท้เป็นเขานั่นเอง!” และในขณะนี้ก็มีคนตะโกนลั่น “เด็กหนุ่มเทพมารคนนั้น!”
เด็กหนุ่มเทพมาร!
ครั้นได้ยินสมญานามนี้ ทุกคนรวมถึงหลันเทียนฉีต่างก็ตกตะลึงในใจอย่างรุนแรง สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างยิ่ง
“ใช่ จะต้องเป็นเด็กหนุ่มเทพมารคนนั้นแน่นอน! เมื่อครู่พวกเราต่างเดาผิด เขาไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งของน่านสมุทรทะเลใต้ของพวกเรา แต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เผ่ามนุษย์ที่ติดตามแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณมา!”
“ก็จริง มีแค่เด็กหนุ่มเทพมารคนนั้นจึงจะครอบครองความแข็งแกร่งน่ากลัวปานนี้ได้ อย่างไรเสียในข่าวลือ แม้กระทั่งบุตรเทพชั้นยอดสี่คนอย่างพวกหนิวทุนเทียนร่วมมือกัน ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าหมอนี่ แค่จินตนาการก็รู้ว่าเขาดุดันมากแค่ไหน”
“ที่แท้ก็เป็นเขา… มิน่าเล่าถึงได้สามารถกำราบสหายยุทธ์เว่ยซาง ไล่อวิ๋นเซินและลั่วหยาสามคนนี้ได้ภายในการโจมตีเดียว”
ทันใดนั้นทั่วโถงต่างมีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมา เดาออกถึงตัวตนของหลินสวิน แต่ละคนต่างเปลี่ยนทีท่าเป็นซับซ้อนหาใดเปรียบ
ก่อนหน้านี้พวกเขาหารือกันมาตลอด คิดจะร่วมมือกันไปสืบเสาะร่องรอยของเด็กหนุ่มเทพมารคนนั้น คิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าเจ้าคนดุดันไร้เทียมทานคนนั้น ถึงกับอยู่ใต้จมูกของพวกเขามาโดยตลอด!
พอนึกถึงจุดนี้ พวกเขาต่างตัวสั่นงันงกไปทั่วร่าง หวาดกลัวไม่รู้จบ ถ้าหากเมื่อครู่เด็กหนุ่มเทพมารคนนั้นเปิดฉากฆ่าล้างบาง เช่นนั้นผลที่ตามย่อมไม่สามารถจินตนาการได้เลย
“ยังนิ่งกันอยู่ทำไม รีบไปแจ้งให้ผู้อาวุโสทั้งหลายทราบเร็วเข้า ไปจู่โจมสังหารเด็กหนุ่มเทพมารคนนั้น!”
หลันเทียนฉีตวาดลั่น
ประโยคเดียวทำให้ทั้งโถงต่างมีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรง ใช่แล้ว เด็กหนุ่มเทพมารคนนั้นปรากฏตัวในตลาดนัดโจมเมฆา นี่เป็นโอกาสทองหายาก!
“ไป!”
“ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ปล่อยให้เขาหนีไปไม่ได้!”
“เร็วเข้า รีบไปแจ้งผู้อาวุโส! มหาศุภโชคพวกนั้นอยู่ต่อหน้านี่เอง!”
ท่ามกลางเสียงฮือฮา หนุ่มสาวรุ่นใหม่เหล่านี้ราวกับบ้าคลั่ง พุ่งออกมายังนอกหอวาโยเมามายอย่างเร่งร้อน แย่งชิงกันนำหน้า ด้วยกลัวจะล่าช้าไปแม้เพียงก้าว
นั่นเป็นถึงเด็กหนุ่มเทพมารเชียว บนกายซุกซ่อนมหาศุภโชคจากแดนลับอสูรมารอริยะ ผู้ใดสามารถชิงจับกุมสังหารเขาได้ก่อน ผู้นั้นก็จะได้รับศุภโชคฉากนี้ไป!
……
ไม่นานนักทั่วทั้งตลาดนัดโจมเมฆาพลันฮือฮาปั่นป่วนอย่างสมบูรณ์
ผู้ฝึกปราณที่มาจากแต่ละเผ่าต่างค้นพบฉับพลัน คนใหญ่คนโตระดับสังสารวัฏคนแล้วคนเล่าแหวกอากาศปรากฏกายขึ้น ไอสังหารพวยพุ่ง อานุภาพเหิมฮึกคับฟ้าน่าหวาดกลัวนั้น ทำให้ฟ้าดินพลันเปลี่ยนแปลง
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทุกพื้นที่ของเกาะโจมเมฆาต่างจมสู่ความตะลึงงัน ในไม่ช้าข่าวก็แพร่สะพัดออกมาราวกับลมมรสุม
“เด็กหนุ่มเทพมารปรากฏกายแล้ว!”
“เขาอยู่บนเกาะโจมเมฆานี่เอง!”
ครู่ต่อมาไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งเผ่าใด ครั้นได้ยินข่าวนี้ทุกคนล้วนเหิมฮึกขึ้นมา
น่านสมุทรทะเลใต้ในตอนนี้ ใครบ้างไม่รู้จักเด็กหนุ่มเทพมารผู้มาจากเผ่ามนุษย์คนนั้น คนผู้นี้เคยสำแดงพลังยิ่งใหญ่ในแดนลับอสูรมารอริยะ จู่โจมดุเดือดไปทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน สังหารจนผู้กล้าแต่ละเผ่าแตกขบวน เลือดไหลเป็นสายธาร
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ แม้จะเป็นบุคคลระดับบุตรเทพชั้นยอดอย่างหนิวทุนเทียน เมิ่งเหลียนชิง ข่งซิ่ว เสวียนหลัวจื่อร่วมมือกัน ก็ยังถูกเด็กหนุ่มเทพมารคนนั้นพิชิตชัยด้วยตัวคนเดียว!
คนที่ชื่อเสียงดุดันคนหนึ่งเช่นนี้ ถึงกับปรากฏกายในตลาดนัดโจมเมฆา ใครจะไม่ตกตะลึง ไม่ฮือฮาบ้าง?
ควรรู้ว่าเด็กหนุ่มเทพมารผู้นี้นอกจากดุดันไร้เทียมทานแล้ว บนกายยังซุกซ่อนมหาศุภโชคที่มีความเกี่ยวข้องกับอริยมรรค ลำพังแค่จุดนี้ ก็เพียงพอจะทำให้ราชันระดับสังสารวัฏผู้ใดก็ตามลงมือเต็มกำลัง ช่วงชิงชีวิตมาได้แล้ว!
“ค้น!”
“ขุดพื้นสามฉื่อ ก็ต้องหาออกมาให้ข้าจงได้!”
“ผู้ใดแจ้งเบาะแสของเด็กหนุ่มเทพมารได้ จะตบรางวัลให้สิบล้านผลึกสมุทร!”
ระหว่างฟ้าดิน ทุกหย่อมหญ้าเปี่ยมด้วยเสียงค้นหาเด็กหนุ่มเทพมารดังกึกก้อง
อย่าว่าแต่ผู้แข็งแกร่งทั่วไป แม้แต่ราชันระดับสังสารวัฏคนแล้วคนเล่าล้วนไม่อาจสงบนิ่ง ลงมือด้วยตัวเอง ปลดปล่อยพลังจิตวิญญาณค้นหาเต็มกำลัง
ไม่นานนักก็มีผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์ที่เข้าร่วมงานเลี้ยงในหอวาโยเมามายคนหนึ่งให้ข้อมูล ว่าเคยเห็นเด็กหนุ่มเทพมารนั่นจากไปพร้อมกับบุตรเทพเผ่าตะพาบเขียว
เวลาเพียงชั่วครู่ ความสนใจทั้งหมดล้วนพุ่งไปที่เผ่าตะพาบเขียว
ส่วนคนใหญ่คนโตระดับสังสารวัฏเหล่านั้น ต่างพุ่งไปยังสถานที่ที่หลินสวินจากไปตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้ทราบข่าวตั้งนานแล้ว
เคราะห์สังหารมาเยือนแล้ว!
นอกเกาะโจมเมฆา ผู้อาวุโสชิงเลี่ยเอาสองมือไพล่หลัง หว่างคิ้วปรากฏแววเคร่งขรึมเสี้ยวหนึ่ง
ผืนนภาผุดไอสังหาร หมู่ดาวเคลื่อนคล้อย พื้นดินปรากฏไอสังหาร มังกรผงาด มนุษย์บังเกิดไอสังหาร พลิกฟ้าคว่ำพสุธา
และในตอนนี้ พื้นที่รอบๆ เกาะโจมเมฆาล้วนถูกปกคลุมด้วยไอสังหารอันน่าสะพรึง ราชันระดับสังสารวัฏลงมือ หมายจับกุมสังหารหลินสวิน ช่วงชิงศุภโชค
เคราะห์สังหารน่าหวาดหวั่นนี้ สำหรับเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง เห็นชัดว่าน่ากลัวเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย
“น้องชาย หวังว่าการจากไปของพวกเจ้าจะไม่ล่าช้าเกินไป…”
สายตาของผู้อาวุโสชิงเลี่ยมองไปผืนน้ำสีมรกตที่อยู่ไกลออกไป
——