Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 652 สารลับ
บนภูเขาชำระจิตทั้งสี่ฤดูดุจฤดูวสันต์ อากาศเย็นสบาย
แต่เวลานี้ทุกคนในโถงกลับประหนึ่งร่วงหล่นสู่ถ้ำน้ำแข็ง ทั่วสรรพางค์ถูกความเย็นเยียบบุกจู่โจม รู้สึกถึงไอสังหารเสียดแทงกระดูก ทำเอาพวกเขาจิตวิญญาณสั่นสะท้าน
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
หลินสวินเวลานี้แม้เงียบสงบไม่พูดจา แต่กลิ่นอายเขากลับประหนึ่งเทพสังหารที่โผล่ออกมาจากภูเขาศพทะเลเลือด น่าหวาดกลัวชวนตระหนก
พวกเขาทั้งหมดต่างรู้ดี รายชื่อฉบับนี้ต้องมีผลกระทบอย่างยิ่งยวด ทำให้หลินสวินแทบไม่อาจควบคุมไอสังหารภายในใจ
ตึง!
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัดตึงเครียดหาใดเปรียบนี้ ในฐานะหัวหน้าตระกูลหลินแห่งแสงอุดร หลินไหวหย่วนถึงกับคุกเข่าลงบนพื้นโขกศีรษะกล่าว “ขอผู้นำตระกูลให้โอกาสสุดท้ายแก่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรของข้า!”
ทุกคนตื่นตระหนก หลินไหวหย่วนคุกเข่าครานี้ประหนึ่งฟ้าถล่มดินทลาย!
ชั่วดีอย่างไรเขาก็เป็นผู้อาวุโส เป็นลุงของหลินสวิน ในนครต้องห้ามถือเป็นคนใหญ่คนโตผู้หนึ่ง แต่ตอนนี้เขากลับคุกเข่าต่อหน้าหลานชายตัวเอง!
หากแพร่งพรายออกไป หลินไหวหย่วนต้องกลายเป็นตัวตลกของผู้อื่น แต่หลินสวินเองก็ต้องติดร่างแหเช่นเดียวกัน
ถึงอย่างไรในฐานะผู้น้อย กลับบีบจนผู้อาวุโสท่านหนึ่งไม่อาจไม่คุกเข่าร้องขอความเมตตา นี่มันเห็นได้ว่าเนรคุณเกินไปแล้ว!
“หัวหน้าตระกูล!”
“หัวหน้าตระกูล! ไม่ได้เด็ดขาดนะขอรับ!”
คนสำคัญของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรเหล่านั้นต่างลนลานรีบห้ามปราม แต่หลินไหวหย่วนกลับไม่สนใจ โขกศีรษะกับพื้นนิ่งไม่ไหวติง
แม้แต่พวกพญาแร้ง หลินจงล้วนรู้สึกเกินคาดหมาย การคุกเข่านี้ของหลินไหวหย่วนมีความนัยไม่ธรรมดาเกินไปแล้ว หลินสวินจะรับมืออย่างไร
หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดจึงกล่าวราบเรียบ “ข้าสามารถให้โอกาสตระกูลหลินแห่งแสงอุดร แต่ผู้คิดคดวางแผนครั้งนี้ต้องรับโทษมหันต์!”
พูดถึงตรงนี้เขาไม่เหลือบและหลินไหวหย่วนบนพื้นอีกแม้เพียงวูบ นัยน์ตาดำขลับราวอสนี กวาดผ่านใบหน้าคนใหญ่คนโตตระกูลหลินแห่งแสงอุดรพวกนั้นในโถงทีละคน ทำเอาพวกเขาพลันรู้สึกอึดอัด
“ตอนนี้คือเวลาไถ่บาปของพวกเจ้า ผู้สำนึกผิดยอมรับด้วยตนเองจะลงโทษสถานเบา ผู้โง่เขลาดึงดันสังหารไม่ละเว้น!”
หลินสวินเน้นย้ำทีละคำ เสียงกึกก้องสะท้านปฐพี
“ขอบคุณผู้นำตระกูลที่ใจกว้างเมตตา!”
หลินไหวหย่วนที่อยู่บนพื้นรู้ดี นี่คือผลลัพธ์ดีที่สุดซึ่งเขาสามารถไขว่คว้าไว้ได้
เขาลุกขึ้นจากพื้นพลางกล่าว “ผู้นำตระกูล เรื่องนี้แม้มิได้เกิดจากข้า แต่กลับเพราะการวางเฉยของข้าจึงก่อให้เกิดผลอันน่าขมขื่นเช่นวันนี้ ข้าหวังว่าจะสามารถชดเชยด้วยตนเอง”
“ท่านคิดจะชดเชยอย่างไร” หลินสวินถาม
หลินไหวหย่วนกัดฟัน สีหน้าปรากฏความทรหดวูบหนึ่ง “ที่ควรฆ่าก็ฆ่า ที่ควรลงโทษก็ลงโทษ ยอมฆ่าผิดลงโทษผิด ดีกว่าปล่อยให้หลุดรอดไปแม้สักคน!”
“ดี งั้นข้าจะให้โอกาสท่านครั้งหนึ่ง”
หลินสวินจ้องมองหลินไหวหย่วนครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดจึงพยักหน้ารับ
แต่เหล่าคนเบื้องบนของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรในโถง แต่ละคนต่างราวสูญพ่อสิ้นแม่ นิ่งอึ้งโดยสมบูรณ์ ให้อย่างไรพวกเขาก็ไม่อาจคาดการณ์ได้ว่า ท้ายที่สุดคนที่ยกดาบสังหารจะเป็นหลินไหวหย่วน…
…
สองชั่วยามหลังจากหลินสวินกลับมายังภูเขาชำระจิต
ในตระกูลหลินแห่งแสงอุดร ผู้ดููและอาวุโสสี่คนถูกลอบสำเร็จโทษ ผู้อาวุโสในตระกูลสิบสามคนถูกเพิกถอนตำแหน่งหน้าที่ทั้งหมด กักขังไว้ในเขตหวงห้ามในภูเขาชำระจิต ให้ปิดด่านคิดทบทวน
ยังมีเก้าผู้ดูแลต่างสกุล เจ็ดผู้ดูแลอาวุโสต่างสกุล ลูกหลานตระกูลสิบเก้าคน ผู้คุ้มกันอารักขาตระกูลหกสิบสามคน… ล้วนประสบบทลงโทษระดับต่างกันไป
ครั้งนี้ดูเหมือนเพื่อแสดงออกถึงท่าทีของตน และเพื่อเรียกความเห็นอกเห็นใจของหลินสวินคืนมา หลินไหวหย่วนจึงลงมือกวาดล้างดุจอสนีบาต ฆ่าสังหารเด็ดขาด ใช้วิธีแข็งกร้าวที่อำมหิตและรวดเร็วรุนแรง
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น ชั่วขณะหลินไหวหย่วนประหนึ่งสูญเสียกำลังทั้งหมด ทรุดลงบนเก้าอี้ สีหน้ามืดมนและผิดหวัง
ผ่านการสะสางบัญชีครานี้ พูดได้ว่าพวกเขาตระกูลหลินแห่งแสงอุดรบาดเจ็บสาหัส กล้ามเนื้อทลายกระดูกเคลื่อน คิดอยากฟื้นคืนกลับมาเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ในเวลาอันสั้น
แต่นี่คือผลลัพธ์ซึ่งดีที่สุดแล้ว!
อย่างน้อยที่สุด ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรยังมีต้นกล้ารุ่นเยาว์มากมาย ขอแค่พวกเขายังอยู่ จากนี้ก็มีหวังที่จะเติบใหญ่เข้มแข็งใหม่อีกครั้ง
แต่หากครานี้ให้หลินสวินลงมือ…
ผลลัพธ์นั้นมิกล้าจะจินตนา!
“หลินเหวินจิ้งเอ๋ยหลินเหวินจิ้ง เจ้าน่ะให้กำเนิดบุตรชายที่ดีคนหนึ่งจริงๆ… ตระกูลหลินมีผู้สืบทอดเช่นนี้นำพา หลังจากนี้คิดอยากฟื้นคืนเกียรติยศเมื่อห้าร้อยปีก่อน ก้าวเข้าสู่อันดับตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงใหม่อีกครั้ง บางทีอาจไม่ใช่เป็นไปไม่ได้…”
หลินไหวหย่วนพึมพำ หว่างคิ้วปรากฏความอ่อนเพลียและทอดถอนใจสุดซึ้งวูบหนึ่ง
“หัวหน้าตระกูลขอรับ!”
เวลานี้ผู้คุ้มกันคนหนึ่งเดินเข้ามา และนำสารลับออกมาฉบับหนึ่ง กล่าวว่ามีคนเพิ่งส่งมาถึง ระบุว่ามอบแก่หลินไหวถัง
หลินไหวหยวนมุมปากกระตุกเล็กน้อย ในใจพรั่งพรูความเจ็บปวดรวดร้าวยากจะเอ่ยวูบหนึ่ง
หลินไหวถังเป็นถึงน้องชายแท้ๆ ของเขา ถูกอินทรีแดงตัวหนึ่งข้างกายหลินสวินสังหารไปนานแล้ว!
“ไม่ถูกสิ!”
ขณะรับสารลับและกำลังเปิดออก หลินไหวหย่วนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย คล้ายตระหนักถึงอะไรได้ ท้ายที่สุดจึงเก็บสารลับอย่างระมัดระวัง
จากนั้นเขาผุดลุกขึ้นและจากไปอย่างรีบเร่ง มุ่งสู่ตำหนักชำระจิต
…
“ก็ประมาณนี้แหละนะ”
ในโถงใหญ่บนตำหนักชำระจิตเวลานี้ หลินสวินเล่าประสบการณ์บางส่วนของตนในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณออกมาอย่างกระชับ
ทว่าแม้เขาพูดอย่างเรียบง่าย แต่เมื่อได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้พวกเสี่ยวเคอ หลินจง พญาแร้งยังคงตื่นตระหนกอยู่ตรงนั้น เนิ่นนานไม่อาจนิ่งสงบได้
ในแดนลับอสูรมารอริยะ เขาเคลื่อนกวาดสังหารเหล่าวีรชนแต่ละเผ่า ฆ่าจนบุตรเทพทั้งมวลไม่กล้าหันปลายกระบี่เข้าใส่!
กระทั่งต่อมา เขายิ่งเอาชนะบุตรเทพชั้นยอดสี่คนด้วยตัวคนเดียวเอาชนะ กลายเป็นผู้มีชัยที่สุดในแดนลับอสูรมารอริยะ เหลือบแลแต่ละเผ่าอย่างหยิ่งทระนง!
แม้ว่าจะแตกหักกลายเป็นอริกับแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ แม้จะถูกราชันระดับสังสารวัฏจากแต่ละเผ่าโอบล้อมในตอนท้ายสุด แต่หลินสวินยังคงหลบหนีมาได้อย่างลอยนวล หนีจากสภาพสิ้นหวังไปได้!
จากนั้นเขาผ่านน่านสมุทรทะเลใต้ แม้ถูกล้อมที่ตลาดนัดโจมเมฆาอีกครั้ง แต่กลับอาศัยยานขนส่งอวกาศมุ่งสู่ภายในสุสานสมุทรฝังมรรค รอดพ้นจากความยากลำบากอีกครา ก่อนจากมาอย่างเสรี
และในกระบวนการนี้ กลับมีสัตว์ประหลาดเฒ่าถึงแก่ความตายไม่ใช่แค่คนเดียว!
ทั้งหมดนี้ฟังแล้วเหมือนนิทานปรัมปรา เห็นได้ว่าชวนระทึกขวัญและเหลือเชื่อ หากไม่ใช่หลินสวินพูดออกมากับปากเอง อย่าว่าแต่พวกหลินจง เสี่ยวเคอเลย แม้แต่พญาแร้งผู้สติปัญญายิ่งใหญ่เสมอเกรงว่าก็ยังไม่กล้าเชื่อ
แต่เมื่อรู้ว่าตอนนี้หลินสวินได้ครอบครองพลังปราณระดับหยั่งสัจจะขั้นกลางสัมบูรณ์ ในบรรดาคนรุ่นเดียวกันแทบไร้คู่ต่อกร พวกหลินจงก็ตะลึงงันอยู่ตรงนั้นโดยสมบูรณ์ สีหน้าหลากหลายหาใดเปรียบ
นี่สิถึงจะเป็นผู้กล้ารุ่นเยาว์ที่แท้จริง!
เวลาสั้นๆ ครึ่งปี เขาได้กระโดดจากระดับมหาสมุทรวิญญาณเข้าสู่ระดับหยั่งสัจจะ เหยียบย่างบนมกุฎมรรคาที่แข็งแกร่งสูงสุดในตำนาน อหังการเหนือคนรุ่นเดียวกัน ประดุจดั่งราชันผงาดเหนือเหล่าวีรชน สยบข่มอริราชศัตรูในขอบเขตระดับเดียวกัน!
หากแพร่งพรายออกไป เกรงว่านครต้องห้ามคงตกอยู่ในความสั่นสะเทือนล้นฟ้าเป็นแน่
ใครเล่าจะกล้าจินตนาการ ว่าเด็กหนุ่มระดับมหาสมุทรวิญญาณเมื่อครึ่งปีก่อน มาวันนี้เมื่อกลับมาอีกครั้ง ได้ก้าวเข้าสู่ขบวนมหายุทธ์ ทั้งยังเป็นบุคคลระดับราชันสูงสุดในขอบเขต
‘มิน่าเจ้าหมอนี่ถึงได้วิปริตเช่นนี้ ที่แท้… ที่แท้แม้แต่ราชันระดับสังสารวัฏล้วนสังหารเขาไม่ตาย… น่ากลัวเกินไปแล้ว ในโบราณกาลมาเกรงว่าคงหาสัตว์ประหลาดพลิกฟ้าเช่นเขาไม่เจอ…’
ในใจราชันอินทรีแดงมีคลื่นซัดสาด ท้ายที่สุดก็เข้าใจความน่ากลัวของหลินสวิน นี่ทำให้เวลาที่มันเผชิญหน้าหลินสวิน ก็เปลี่ยนเป็นถ่อมตนและกริ่งเกรงยิ่งกว่าเดิม
‘เขาเพิ่งอายุสิบกว่าปีเท่านั้น เยาว์วัยเช่นนี้ก็กลายเป็นมกุฎราชันระดับหยั่งสัจจะ อีกทั้งยังซ่อนมหาศุภโชคที่ได้มาจากแดนลับอสูรมารอริยะ… ติดตามข้างกายผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งเช่นนี้อย่างถวายชีวิต ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายนัก…’
ราชันอินทรีแดงพลันตระหนักได้ มันรู้ชัดว่าหากสามารถคว้าโอกาสครั้งนี้ไว้ได้ ติดตามข้างกายหลินสวินไปตลอด เช่นนั้นจากนี้เมื่อหลินสวินเข้าถึงมรรค จะต้องนำมาซึ่งประโยชน์อันยากจินตนาแก่มันเป็นแน่!
ขณะนี้ราชันอินทรีแดงถูกกำราบโดยสมบูรณ์แล้ว มันเห็นถึงมหาศุภโชคจากตัวหลินสวิน หากสามารถติดตามรับใช้ จะต้องได้ผลประโยชน์อเนกอนันต์
ดังคำที่เรียกว่า หนึ่งคนบรรลุเซียน สุนัขระกาเยี่ยมวิมาน!
ท่วงท่าสง่างามของหลินสวิน ทำให้ราชันอินทรีแดงมุ่งหวังว่าจะมีวันเช่นนั้นมาเยือน
“จริงสิ ครั้งนี้ต่อให้ข้าไม่กลับมา ด้วยสติปัญญาของท่านพญาแร้ง เกรงว่าก็คงจะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์เช่นวันนี้สืบเนื่องต่อไปกระมัง”
ทันใดนั้นสายตาหลินสวินมองไปยังพญาแร้ง
พญาแร้งพลันยิ้มเล็กน้อย ผงกศีรษะกล่าว “ข้าซ่อนหมากตาท้ายเอาไว้จริงๆ สั่งให้จูเหล่าซานรอรับคำสั่งในที่มืด เพียงแต่ถ้าไม่ถูกบีบจนถึงที่สุด ข้าก็ไม่อยากเปิดฉากเข่นฆ่า เพราะไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องในตระกูลหลินของพวกเจ้า ให้ข้าคนนอกผู้หนึ่งเข้ามายุ่ง ท้ายที่สุดยังคงหลงเหลือภัยแฝงมากเกินไป”
“ยังดีที่เจ้ากลับมาทันเวลา เหตุการณ์เช่นนี้คงไม่เกิดขึ้นอีกเป็นมั่นเหมาะ”
หลินจงและเสี่ยวเคอมึนงง เวลานี้พวกเขาถึงได้ตระหนักว่า ที่แท้พญาแร้งแอบเตรียมการมากมายเช่นนี้อยู่ก่อนแล้ว
“นี่คือดอกหลอมวิญญาณสมุทร นำมันไปหลอม ก็สามารถขจัด ‘มารพบเคราะห์’ ในร่างท่านได้”
หลินสวินนำกล่องหยกที่ผนึกไว้ใบหนึ่งส่งให้พญาแร้ง ยิ้มน้อยๆ กล่าว “ข้าเฝ้ารอเวลาที่พลังปราณของท่านฟื้นคืนมาอย่างยิ่ง”
พริบตานั้นเอง พญาแร้งผู้เงียบสงบและสุขุมเยือกเย็นเป็นนิจถึงกับเสียอาการอย่างยากจะเห็นอยู่บ้าง ม่านตาเขาหดรัด มุมปากสั่นเทิ้ม รับกล่องหยกใบนั้นด้วยนิ้วมือที่สั่นเทาเล็กน้อย เห็นได้ว่าในใจเขาตื่นเต้นและสั่นไหวเพียงใด
เขาในปีนั้นคือมหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะ เชาวน์ปัญญาไม่เป็นสองรองใคร มีมาดสง่างามภาคภูมิ ฉลาดล้ำคิดแผนวางอุบาย มีหน้ามีตาและเจิดจรัสระดับไหน มีอนาคตที่งดงามชวนให้ผู้คนอิจฉาและมุ่งหวัง
แต่หลังจากต้องพิษมารพบเคราะห์ พลังปราณถูกทำลาย ทั้งหมดนี้ล้วนหายไป!
เขากลายเป็นคนพิการที่ได้แต่นั่งบนรถเข็น ได้แต่ใช้ชีวิตไปวันๆ ปลอบประโลมตนเองผ่านวันเวลา เดิมคิดว่าชาตินี้คงถูกผูกมัดจมดิ่งอยู่เช่นนี้ ใครเล่าจะคาดคิด หลินสวินกลับนำ ‘ชีวิตใหม่’ มอบให้แก่เขา!
สำหรับพญาแร้ง ดอกหลอมวิญญาณสมุทรต้นหนึ่งเปรียบได้กับการให้ชีวิตใหม่กับเขาอย่างแท้จริง เป็นการมอบชีวิตที่สามารถบุกตะลุยมหามรรคครั้งที่สองแก่เขา!
“ราชาปฏิบัติต่อข้าดุจเสาหลักบ้านเมือง ข้าก็จะเป็นเสนาเสาหลักบ้านเมืองตอบแทน!”
พญาแร้งปิดด่านแล้ว นี่คือคำพูดประโยคหนึ่งที่เขาทิ้งไว้ก่อนจากไป ในความเคร่งขรึมจริงจังและนิ่งสงบแฝงความเด็ดเดี่ยวประการหนึ่ง
“หลินสวิน ขอบคุณเจ้ามาก” เสี่ยวเคอก็ตื่นเต้นหาใดเปรียบ พญาแร้งเสมือนดั่งบิดานาง นางรู้ดีว่าหลายปีนี้พญาแร้งผ่านความยากลำบากมามาก และหลินสวินสามารถมอบความหวังในการฝึกปราณใหม่อีกครั้งแก่พญาแร้ง มีหรือจะไม่ทำให้เสี่ยวเคอปิติยินดีและตื้นตันใจ
“ครูฝึก นี่คือสิ่งที่ตระเตรียมไว้แก่ท่าน”
หลินสวินหยิบกล่องหยกอีกใบออกมาเช่นเดียวกัน ภายในผนึกดาบหยกมรกตเล่มหนึ่ง เป็นสมบัติโบราณทรงอานุภาพชิ้นหนึ่งจากมือบุตรเทพเผ่ากวางหยก
ขณะเดียวกันหลินสวินยังเตรียมของขวัญสำหรับหลินจง จูเหล่าซาน และซย่าจื้อแยกกันด้วย ล้วนแต่เป็นทรัพย์หลังศึกที่เขาตักตวงกลับมาจากส่วนลึกทะเลกลืนวิญญาณ แต่ละชิ้นต่างเป็นของล้ำค่าที่หลินสวินคัดสรรเลือกเฟ้น มูลค่ามหาศาลไม่อาจประเมิน
“จริงสิ ทำไมซย่าจื้อถึงปิดด่านอีกแล้ว” หลินสวินกล่าวถาม
“หนึ่งเดือนก่อน คุณหนูซย่าจื้อจู่ๆ ก็กล่าวว่านางจะปิดด่าน หลังจากนั้นก็เสมือนหลับใหลไป กระทั่งถึงตอนนี้ยังไม่ตื่นขึ้นมาขอรับ” หลินจงกล่าวอธิบาย
หลินสวินใคร่ครวญครู่หนึ่ง ชั่วขณะก็เข้าใจ ซย่าจื้อได้เริ่ม ‘จุติกำเนิดใหม่’ ครั้งที่สองแล้ว
ที่นางฝึกคือ ‘คัมภีร์จุตินพชาติ’ นี่เป็นวิชายุทธ์ซึ่งมีที่มาเร้นลับและน่าหวาดกลัว ดับสูญครั้งหนึ่งเสมือนตัดรากมรรควิถีทั้งปวงในอดีต ให้สิ่งนี้วิวัฒน์เป็นพลังแฝงอันยิ่งใหญ่ในร่างตัวเอง และเริ่มฝึกปราณใหม่ตั้งแต่ต้น
นี่ก็เหมือนการฝึกปราณข้ามชาติภพ อัศจรรย์และไม่อาจจินตนาการ
‘ก็ไม่รู้ว่านางจุติกำเนิดใหม่ครั้งที่สองนี้ จะละทิ้งความทรงจำทั้งหมดอีกหรือไม่…’ หลินสวินผุดลุกขึ้น คิดจะไปดูซย่าจื้อ
บนโลกนี้คนที่สามารถทำให้หลินสวินระลึกถึงนั้นมีไม่มาก แต่ซย่าจื้อคือคนหนึ่งซึ่งสำคัญที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อนึกถึงว่าแต่ละครั้งที่นางจุติจะตัดทิ้งซึ่งอดีต เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ในใจหลินสวินก็กังวลอยู่บ้าง ไม่อาจสงบใจได้
แต่ยังไม่รอให้หลินสวินจากไป หลินไหวหย่วนก็รีบเร่งเข้ามา นำสารลับฉบับหนึ่งซึ่งยังไม่เปิดผนึกส่งมอบแก่หลินสวิน
หลินสวินรับมาดูในมือ นัยน์ตาดำขลับพลันฉายแววไอสังหารทันที
เนื้อความสารลับเรียบง่ายยิ่ง หัวหน้าสามตระกูลรอง ธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุร่วมกันส่งเทียบเชิญ ให้หลินไหวถังไปเยือนตระกูลหลินแห่งธารประจิมในวันนี้ยามสายัณห์ เพื่อปรึกษาหารือเรื่องการครอบครองภูเขาชำระจิตด้วยกัน!
เห็นชัดว่าพวกเขาล้วนคิดว่าวันนี้หลินไหวถังต้องเคลื่อนไหว ทำการชิงอำนาจ ‘บีบให้สละบัลลังก์’ ได้สำเร็จเป็นแน่ ดังนั้นค่ำนี้จึงเตรียมหารือและวางแผน ว่าต่อจากนี้จะครอบครองภูเขาชำระจิตร่วมกันอย่างไร
ที่น่าเสียดายคือ พวกเขาต่างไม่รู้ว่าหลินสวินกลับมาแล้ว และหลินไหวถังไม่มีโอกาสรับเทียบเชิญฉบับนี้นานแล้ว…
“เดิมทียังคิดหลีกทางให้พวกเจ้าดิ้นรนสักสองวัน แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คืนนี้ก็สะสางมันซะให้จบเถอะ!”
ฟึ่บ!
สารลับมอดไหม้ในมือหลินสวิน กลายเป็นเถ้าถ่านละลิ่วพลิ้วลอย
………………….