Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 664 ละครโหมโรง
บนถนนสายหลักที่เงียบเหงาประหนึ่งร้างผู้คน แท้จริงแล้วสายสืบจากแต่ละขุมอำนาจแห่งนครต้องห้ามแอบกระจายตัวติดตามทั้งหมดนี้อย่างแน่นหนาอยู่ก่อนแล้ว
ตั้งแต่หลินสวินหวนกลับนครต้องห้ามเมื่อคืน กระทั่งบุกสังหารตระกูลรองของตระกูลหลินตัวคนเดียวยามรัตติกาล อีกทั้งยามนี้ยังห้าวหาญฉีกหน้าสองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงตระกูลจั่วและฉิน ทั่วทั้งนครต้องห้ามครึกโครมไม่รู้เท่าไหร่
ความวุ่นวายฉากนี้กำลังโหมกระหน่ำ สั่นคลอนประสาทของทุกขุมอำนาจ แต่ละฝ่ายต่างให้ความสนใจว่าหลินสวินจะก่อเรื่องถึงขั้นไหนกันแน่
และเมื่อเผชิญกับการยั่วยุและท้าทายของตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตซึ่งหลินสวินเป็นผู้นำ ตระกูลจั่วและตระกูลฉินจะใช้วิธีเช่นไรมารับมือตอบโต้
เหตุการณ์บานปลายถึงบัดนี้ ใกล้ถึงเวลาเผยคำตอบแล้ว!
เพราะวันนี้ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตราวพายุลูกโต ใช้วิธีนองเลือดอย่างแข็งกร้าว ช่วงชิงกิจการซึ่งเดิมเป็นของตระกูลหลินกลับคืนจากมือตระกูลจั่วและฉินแห่งแล้วแห่งเล่า
กระทั่งถึงตอนนี้เหลือเพียง ‘หอสมบัติตะวันมงคล’ แห่งเดียวแล้ว
หากแม้แต่ที่นี่ยังถูกตระกูลหลินยึดคืน เช่นนั้นในการชิงชัยนี้ ความน่าเกรงขามของตระกูลจั่วและฉินคงเท่ากับถูกโจมตีอย่างรุนแรง
แต่ความเป็นจริงจะเป็นเช่นนั้นหรือ
แน่นอนว่าไม่มีทาง!
ในฐานะที่ตระกูลจั่วและฉินเป็นตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงแห่งนครต้องห้าม แน่นอนว่าไม่มีทางอดทนให้เหตุการณ์อัปยศอดสูเช่นนี้เกิดขึ้น
และถ้าพวกเขาดำเนินการจู่โจมกลับชะล้างความอัปยศก่อนหน้า คงไม่มีทางปล่อยให้หอสมบัติตะวันมงคลถูกหลินสวินชิงไปอีกเด็ดขาด!
“ตระกูลจั่วและฉินสองตระกูลนี้ช่างสงบจิตสงบใจจริง เริ่มตั้งแต่เมื่อคืนจวบจนบัดนี้ต่างไม่ทำการอันใด คล้ายไม่ไยดีต่อการยั่วยุของหลินสวิน”
ในที่ลับมีสายสืบส่วนหนึ่งจากแต่ละขุมอำนาจกำลังพูดคุย
“บางทีพวกเขาอาจแค่กำลังรวบรวมพลจึงยังไม่ลงมือก็เท่านั้น ทันทีที่ลงมือจะต้องเอาให้ถึงตายในคราเดียวประหนึ่งสายฟ้าฟาดแน่!”
นี่คือความคิดของคนส่วนใหญ่
อย่างไรเสียนั่นก็คือตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง อำนาจล้นฟ้าสะเทือนจักรวรรดิ ไม่มีใครเชื่อว่าเมื่อพวกเขาพบเจอการยั่วยุ จะอดทนอดกลั้นและไม่เคลื่อนไหว
“ตระกูลหลินนี่บ้าระห่ำเกินไปแล้ว ถึงแม้รีบเร่งคิดอยากแก้แค้นแค่ไหน แต่อาศัยพลังของพวกเขาตอนนี้ ไหนเลยจะสามารถเป็นคู่ต่อกรของตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงได้”
“ควรพูดว่าหลินสวินนั่นบ้าระห่ำเกินไป เมื่อคืนเพิ่งจะจัดการปัญหาภายในตระกูลหลิน ยังไม่ทันรวมกันอย่างสมบูรณ์ ก็บุ่มบ่ามไปท้าทายตระกูลจั่วและตระกูลฉิน คนยที่กล้าทำเช่นนี้ คงมีแค่หลินสวินผู้ได้ชื่อว่า ‘ป่าเถื่อนไม่เกรงกลัวสิ่งใด’ นั่นคนเดียวเท่านั้น”
คนไม่น้อยต่างทอดถอนใจ ความกล้าของหลินสวินถือว่าขึ้นชื่อในนครต้องห้าม ใครต่างไม่อาจจินตนาการ ว่าเขาอาศัยอะไรมากล้าทำเช่นนี้กันแน่
บรรดาขุมอำนาจส่วนหนึ่งถึงขั้นมอบฉายา ‘เจ้ากล้าหลิน’ แก่หลินสวิน!
เพราะการกระทำของหลินสวินกำเริบเสิบสานยิ่ง ตั้งแต่ก่อนหน้าจนปัจจุบัน ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นบนตัวเขาต้องทำให้ผู้คนตกตะลึงอ้าปากค้างยากจะเชื่อ
กระทั่งถึงตอนนี้ เมื่อตระกูลหลินท้าทายตระกูลจั่วและฉินโดยตรง ฉายา ‘เจ้ากล้าหลิน’ นี้นับวันยิ่งถูกคนรู้จักคุ้นเคยมากขึ้นเรื่อยๆ
ช่างใจกล้าเหลือเกินจริงๆ!
กระทั่งสามารถใช้คำว่าบ้าคลั่งมาพรรณนา บางทีเรียกว่า ‘เจ้าบ้าหลิน’ ก็คงไม่มีคนค้านเป็นแน่
ถึงอย่างไรในหลายพันปีที่ผ่านมา จักรวรรดิยังไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ตระกูลหลินซึ่งไม่ได้เป็นแม้แต่ตระกูลทรงอิทธิพล ภายใต้การนำของเด็กหนุ่มใจกล้าคับฟ้าคนหนึ่ง กลับพุ่งไปท้าทายอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง นี่เกรงว่ามีแต่คนบ้าเท่านั้นถึงจะทำเรื่องเช่นนี้ได้
อีกทั้งสิ่งที่ทำให้แต่ละขุมอำนาจหมดคำพูดและตระหนกที่สุดคือ ผู้ที่หลินสวินท้าทายไม่ใช่แค่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงตระกูลเดียว!
“นี่ไม่ใช่ว่าหาเหาใส่หัวรึ”
“ครานี้เจ้ากล้าหลินต้องล้มหัวกระแทกเลือดอาบแน่ ถึงขั้นจะทำให้พวกเขาตระกูลหลินสิ้นชื่อไม่เหลือซาก! ทันทีที่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงแสดงอานุภาพ ใช่สิ่งที่พวกเขาตระกูลหลินสามารถแบกรับไหวหรือ”
“น่าเสียดาย เจ้ากล้าหลินนี่หากสามารถแก้ไขนิสัย ‘ป่าเถื่อนขวางโลก’ นั่นของเขาได้ อาศัยตำแหน่งเด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณของเขา หลังจากนี้ต้องประสบความสำเร็จเป็นที่จับตามองทั่วหล้าแน่ แต่ว่าเสียดาย ครั้งนี้เขาคงประสบภัยเพราะความใจกล้าของตัวเองซะแล้ว”
เสียงที่ไม่เห็นด้วยกับหลินสวินถาโถมขึ้นในนครต้องห้ามอย่างลับๆ
และสายตาทั้งของเมืองต่างกำลังรวมอยู่ที่ ‘หอสมบัติตะวันมงคล’ ทั้งสิ้น ติดตามทุกการเคลื่อนไหวซึ่งเกิดขึ้นที่นี่อย่างเหนียวแน่น
พวกเขาต่างรู้ดีว่าที่แห่งนี้ใกล้จะเกิดมรสุมแล้ว ไม่ว่าใครแพ้ใครชนะ ล้วนสะเทือนทั้งนครต้องห้าม กระทั่งสะเทือนทั้งจักรวรรดิ
“มาแล้ว!”
“โอ้ เจ้ากล้าหลินมาด้วยตัวเองเลย! นี่เขากะทุ่มสุดตัวรึ”
“คราวนี้มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว!”
สายตานับไม่ถ้วนในเวลานี้ ต่างแอบมองไปยังสุดถนนอันเปลี่ยวดายอ้างว้างนั่น
…
“ดูท่าที่นี่คงไม่อ้างว้างอย่างที่เห็นภายนอกนะ”
ทันทีที่เหยียบเข้าถนนสายนี้ พลังจิตวิญญาณไพศาลของหลินสวินก็สัมผัสได้ว่า ในมุมลับตามากมายซุ่มซ่อมด้วยสายสืบเต็มไปหมด
“ไม่ต้องสนใจ ก็แค่พวกหนูตัวเล็กๆ ที่แต่ละขุมอำนาจส่งมาเท่านั้น” จ้าวไท่ไหลไม่ใส่ใจ
“ทำไมข้ารู้สึกเหมือนพายุฝนกำลังมา…” หลินไหวหย่วนประหลาดใจสงสัยอยู่บ้าง เขารับรู้ถึงบรรยากาศกดดันบีบอัดที่บอกไม่ถูกสายหนึ่ง
หลินสวินยิ้มรับไม่ออกความเห็น
ช่วงเวลาที่ตั้งตนเป็นปรปักษ์กับตระกูลจั่วและฉินอย่างสมบูรณ์ เขาก็รู้ว่าต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น จึงไม่ประหม่าเพราะเหตุนี้
ส่วนจ้าวไท่ไหลไม่รู้ว่าตระหนักถึงอะไร ถลึงตามองหลินสวินอย่างไม่สบอารมณ์วูบหนึ่ง “ดูท่า วันนี้ภารกิจช่วยตามเช็ดก้นเจ้าหนูอย่างเจ้า ข้าคงหนีไม่พ้นแล้ว…”
“ผู้อาวุโส นี่เรียกว่าคนเก่งย่อมทำงานหนักกว่าผู้อื่น” หลินสวินยิ้ม
สีหน้าทั้งสามสงบนิ่ง เดินบนท้องถนนอ้างว้างอย่างไม่สะทกสะท้าน ราวกับเดินเล่นในสวนบ้านอย่างไรอย่างนั้น ทำให้สายสืบมากมายที่แอบสังเกตการณ์ทั้งหมดนี้ต่างผิดคาดอยู่บ้าง
“เถ้าแก่สังเวียนสวรรค์ยุทธ์จ้าวไท่ไหล? ว่ากันว่าคนผู้นี้ก็เป็นเชื้อพระวงศ์แห่งจักรวรรดิคนหนึ่ง หรือหลินสวินคิดให้เขาช่วยเหลือ ใช้วิธีละมุนละม่อมอย่างหนึ่งนำหอสมบัติตะวันมงคลกลับคืน?”
สายสืบมากมายคาดเดา
สิ่งที่พวกเขารู้ต่อจ้าวไท่ไหลเลือนรางยิ่ง รู้แค่ว่าเขาเป็นเถ้าแก่สังเวียนสวรรค์ยุทธ์ เป็นคนในราชวงศ์คนหนึ่ง นอกเหนือจากนั้นก็ไม่รู้อะไรอื่นอีก
“ดูท่า เจ้ากล้าหลินนี่สังเกตเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี จึงไม่กล้าฝืนทำต่อแล้ว”
สายสืบบางส่วนผิดหวัง พวกเขายังนึกว่าหลินสวินจะสามารถแข็งกร้าวไปได้ถึงไหน ใครเล่าจะคาดคิด ครั้งนี้เขากลับเชิญผู้ช่วยมาคนหนึ่ง
“หึ! จ้าวไท่ไหลนั่นนับเป็นอะไร เมื่อกำลังพลตระกูลจั่วและตระกูลฉินมาถึง นอกเสียจากเป็นคนชนชั้นสูงมียศศักดิ์ระดับอ๋องระดับโหวมาเยือน ไม่อย่างนั้นใครมาก็เปล่าประโยชน์”
สายสืบอีกมากต่างยิ้มเยาะ แน่ใจยิ่งกว่าเดิม ว่าภายใต้การกดดันของอำนาจสองตระกูลจั่วและฉิน หลินสวินคงยืนหยัดไว้ไม่ไหวแล้ว
ไม่ว่าคิดอ่านอย่างไร สายตาพวกเขาก็ยังคงจับจ้องทุกสิ่งนี้ไม่ให้คลาดสายตา เกรงแต่จะพลาดรายละเอียดอะไรไป
พวกเขาต่างรู้ดีว่ามรสุมที่ม้วนปกคลุมนครต้องห้ามอย่างไม่เคยมีมาก่อนนี้ จะปะทุขึ้นที่หอสมบัติตะวันมงคลนี่อย่างแน่นอน!
“นายน้อย ท่านมาได้อย่างไร”
เมื่อเห็นพวกหลินสวินมาเยือน ทำให้หลินจง จูเหล่าซาน เสี่ยวเคอล้วนเกินคาดหมายอยู่บ้าง ต่างคิดไม่ถึงว่าหลินสวินถึงกับมาด้วยตนเอง
“ข้ามาดูหน่อยน่ะ”
หลินสวินกล่าวตอบเสียงเรียบ สายตามองไปในโถงใหญ่หอสมบัติตะวันมงคล เห็นฉินจื่อหมิงและจ้าวอวิ๋นจือที่นั่งอยู่ภายใน
“หลินสวิน?”
ในเวลาเดียวกัน ฉินจื่อหมิงและจ้าวอวิ๋นจือเองก็เห็นหลินสวิน จึงอดประหลาดใจไม่ได้อยู่บ้าง จากนั้นในดวงตาก็ฉายแววตื่นเต้นโดยพร้อมเพรียง เจ้าเด็กนี่ถึงกับมารนหาที่ตายด้วยตนเอง!
“เจ้าก็คือหลินสวิน? กล้ามากนะ ทำเหมือนนครต้องห้ามนี้เป็นของประดับ สามารถให้เจ้าทำตัวอันธพาลอย่างไรก็ได้งั้นรึ”
จ้าวอวิ๋นจือชิงออกปากก่อน นางวางท่างามสง่า คางเชิดขึ้นเล็กน้อย ดูเปี่ยมไปด้วยความหยิ่งทะนง “ก่อนหน้านี้ไม่มีคนจัดการเจ้า ก็แค่เพราะไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยกับคนไร้ค่าเยี่ยงเจ้า แต่บัดนี้เจ้าถึงกับกล้าท้าทายราชวงศ์และตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง เช่นนั้นก็รอถูกฆ่าซะเถอะ!”
กำลังพลที่ตระกูลจั่วและฉินส่งมาใกล้มาถึง อีกทั้งบิดาของนางอวิ๋นยงอ๋องเองก็จะมาตามนัดหมาย ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จ้าวอวิ๋นจือจึงมั่นใจมากเป็นธรรมดา ไม่เกรงกลัวสิ่งใด ในคำพูดเจืออาการสูงส่งเหนือคนอื่น
“ข้าหลงนึกว่าเป็นคนยอดเยี่ยมคนหนึ่ง ที่แท้ก็แค่พวกของที่เหมือนหลิงเทียนโหว องค์หญิงหลิงหวง”
หลินสวินยิ้ม ยิ้มอย่างสบายอกสบายใจ สายตากลับมองไปยังจ้าวไท่ไหล กล่าวอย่างอยากรู้อยากเห็น “จริงสิผู้อาวุโส ผู้หญิงคนนี้มีบทบาทอะไรในราชวงศ์ ทำไมข้ารู้สึกว่านางเทียบไม่ได้แม้แต่หลิงเทียนโหวกับองค์หญิงหลิงหวง”
“ความรู้สึกเจ้าไม่ผิด” จ้าวไท่ไหลผงกศีรษะ
หลินสวินพลันยิ้มระรื่นยิ่งกว่าเดิมทันที
และคำพูดนี้ของเขาเมื่อรวมเข้ากับรอยยิ้มเจือแววหยันเยาะ ช่างเสมือนดาบเล่มหนึ่งก็มิปาน แทงทะลุใจของจ้าวอวิ๋นจืออย่างหนักหน่วง ทำให้นางไม่อาจสงบนิ่งอีก โทสะพวยพุ่งขึ้นมาอยู่บ้าง
“เจ้า เจ้า… จนป่านนี้แล้วยังกล้าปากคอเราะราย ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วสินะ!”
จ้าวอวิ๋นจือโกรธจนกรีดร้องแหลม “เจ้ารอก่อนเถอะ ประเดี๋ยวก็ถึงเวลาที่เจ้าต้องร้องขอความเมตตา!”
“หลินสวิน เจ้าอาจยังไม่รู้สถานการณ์ ทุกอย่างที่พวกเจ้าตระกูลหลินทำวันนี้ ได้ยั่วโทสะตระกูลฉินของข้าและตระกูลจั่วอย่างถึงที่สุดแล้ว ยามนี้ล้วนส่งกองกำลังมา ถึงเวลานี้แล้วเจ้ายังมีอะไรให้หยิ่งยโสได้อีก”
ฉินจื่อหมิงมุ่นคิ้ว ตวาดอย่างรุนแรงไปเบื้องหน้า การข่มขู่นี้เห็นชัดว่าหยาบคายยิ่ง ตรงไปตรงมาเกินไปแล้ว
แต่ยามได้ยินทุกอย่างนี้ ยังทำให้พวกสายสืบที่แอบซ่อนตัวอย่างลับๆ จิตใจฮึกเหิม ตระหนักรู้ว่าพวกเขาคาดเดาไม่ผิด ตระกูลจั่วและฉินรวบรวมกำลังพลดังคาด คิดมอบการโจมตีดุจสายฟ้าฟาดแก่หลินสวิน!
แม้แต่พวกหลินจง หลินไหวหย่วนเวลานี้ต่างลอบตกตะลึง รับรู้ได้ว่าสถานการณ์เปลี่ยนเป็นรุนแรงขึ้นมาแล้ว
เห็นจะมีเพียงหลินสวินที่นิ่งสงบยิ่ง หรือพูดได้ว่าตั้งแต่ต้นจนจบเขามีทีท่าไม่สะทกสะท้าน กล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้นจริง งั้นก็ดียิ่ง ข้าอยากเรียนรู้วิธีการของตระกูลจั่วและฉินมาตั้งนานแล้ว”
บ้าคลั่ง!
ได้ยินดังนั้นไม่ว่าจะเป็นฉินจื่อหมิง จ้าวอวิ๋นจือ หรือสายสืบทั้งหมดที่แอบอยู่ ต่างเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ หลินสวินนี่บ้าระห่ำและโอหังเหมือนข่าวลือจริงดังว่า!
อาศัยคนอย่างเขา ยังกล้าพูดเหลวไหลว่าอยากเรียนรู้วิธีการของตระกูลจั่วและฉิน?
มีชีวิตจนเบื่อแล้วจริงๆ กระมัง!
หลินสวินเหมือนกับไม่สังเกตเห็นทุกอย่างนี้ พูดกล่าวเอาเอง “แต่ว่าก่อนหน้านั้น ข้าในฐานะตัวแทนตระกูลหลิน จะทวงสิ่งที่เดิมเป็นของตระกูลหลินของข้า!”
น้ำเสียงเพิ่งแผ่วลง จ้าวอวิ๋นจือก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ร้องเสียงแหลม “เจ้ากล้า! หอสมบัติตะวันมงคลกลายเป็นของตระกูลหลินของเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ถ้าเจ้ากล้าขยับก็ลองดู!”
“ในที่สุดก็จะเริ่มแล้ว!”
พวกสายสืบที่แอบอยู่แต่ละคนในใจตื่นเต้น เบิกตากว้าง รู้ว่าละครฉากนี้กำลังจะเปิดม่าน ณ บัดนี้แล้ว
……………………..