Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 665 อำนาจของจ้าวไท่ไหล
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 665 อำนาจของจ้าวไท่ไหล
หลินสวินอึ้งไป ไม่ใช่เพราะตกใจกับถ้อยคำโหดเหี้ยมของจ้าวอวิ๋นจือ แต่เพราะค้นพบในทันใดว่าจ้าวอวิ๋นจือเหมือนจะไม่รู้จักจ้าวไท่ไหล
ไม่เช่นนั้นนางจะกล้าแสดงออกอย่างจองหองอวดดีเช่นนี้หรือ
“หึ ทำไมไม่กล้าแล้ว หรือเจ้า หลินสวินก็มีเวลาที่หวาดกลัวด้วยหรือ”
เมื่อเห็นว่าหลินสวินนิ่งอึ้ง ริมฝีปากของจ้าวอวิ๋นจือก็ปรากฏความดูถูกอย่างอดไม่ได้ เดิมทีนางยังนึกว่าหลินสวินจะร้ายกาจสักแค่ไหน ที่แท้ก็ไม่เท่าไร
นี่ทำให้นางยิ่งลำพองใจและไม่สะทกสะท้านยิ่งขึ้น เด็กหนุ่มผู้กล้าที่ทำให้นครต้องห้ามปวดหัวคนหนึ่ง ตอนนี้กลับถูกนางทำให้หวาดผวา หากข่าวกระจายออกไป นั่นคงเป็นเรื่องที่มีสีสันมากเรื่องหนึ่ง
ริมฝีปากแดงของนางยกขึ้นเบาๆ มองหลินสวินอย่างดูแคลนแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อกลัวแล้ว ก็รีบคุกเข่าสำนึกผิดเสีย ไม่แน่ข้าอาจจะให้เจ้า…”
เผียะ!
ไม่ทันพูดจบ ฝ่ามือไร้รูปก็ตบไปที่ใบหน้าขาวสะอาดนั้นอย่างรุนแรงจนร่างของนางโซซัดโซเซ ก้นจ้ำเบ้าลงไปกับพื้น มือกุมแก้มที่บวมแดงร้องเสียงแหลมอย่างเจ็บปวด
นางมีสีหน้ายากจะเชื่อ ไม่คิดเลยว่าจู่ๆ จะถูกผู้อื่นตบอย่างแรงจนล้มลงพื้นเช่นนี้
ผู้ที่ลงมือไม่ใช่หลินสวิน แต่เป็นจ้าวไท่ไหล
เขาส่ายหัวถอนใจแล้วกล่าว “ขายขี้หน้า ข้าทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว”
หลินสวินห้ามใจไม่ให้ยิ้มไม่ได้ จ้าวไท่ไหลมีฐานะเป็นผู้มีอำนาจในราชวงศ์ เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของจ้าวอวิ๋นจือ ต้องรู้สึกแย่มากแน่
เมื่อได้เห็นภาพนี้ ทุกคนในที่นั้นก็พากันตกตะลึง ขนาดพวกหลินจง หลินไหวหย่วนยังประหลาดใจอยู่บ้าง แม้จ้าวอวิ๋นจือผู้นั้นออกจะน่าชิงชัง แต่อย่างไรก็มีฐานะเป็นราชนิกูล
หาไม่แล้ว พวกเขาก็คงไม่ละล้าละลัง ไม่ได้ลงมือกับหอสมบัติตะวันมงคลจนตอนนี้
แต่พวกเขากลับไม่คิดว่า ชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนที่หลินสวินพามาคนนี้กลับไม่ไว้หน้าแบบนี้ ลงมือตบออกไปฉาดหนึ่งตรงๆ ช่างอหังการไปแล้ว
“เจ้าเป็นใคร ถึงกับกล้าตบคนอื่น!”
ฉินจื่อหมิงเดือดดาล ถลึงจ้องจ้าวไท่ไหล
“ฮือ ถึงกับกล้าตบข้า ไม่ว่าเป็นใคร ครั้งนี้ข้าจะฆ่ามัน! ฆ่ามัน!”
จ้าวอวิ๋นจือที่อยู่บนพื้นหวีดร้องเสียงแหลม ภายใต้การจับจ้องของดวงตามากมาย นางที่เป็นถึงบุตรสาวท่านอ๋องกลับถูกผู้อื่นตบหน้า นี่ช่างเป็นความอับอายครั้งใหญ่
“อ้อ จะฆ่าข้าหรือ”
จ้าวไท่ไหลยิ้มแล้ว ทว่ารอยยิ้มนั้นไม่มีความรู้สึกเลยสักนิด กลับดูน่ากลัวหาใดเทียบ พาให้ผู้อื่นหวาดหวั่นใจ
“เจ้า…คิดจะทำอะไร ข้าจะบอกให้ อีกเดี๋ยวอวิ๋นยงอ๋องก็จะมาเยือนด้วยตัวเองแล้ว!”
ฉินจื่อหมิงตกใจระคนโมโห ตอนนี้ยอดฝีมือของตระกูลจั่วและฉินยังไม่มา นี่ก็ทำให้เขาร้อนรนไปชั่วขณะ
“อวิ๋นยงอ๋องหรือ”
จ้าวไท่ไหลยิ่งยิ้มน่ากลัวยิ่งขึ้น
นี่ทำให้ในใจฉินจื่อหมิงยิ่งรู้สึกไม่สู้ดี เจ้าคนที่หลินสวินเชิญมานี้ เหตุใดถึงดูใจกล้าและน่ากลัวกว่าหลินสวินเสียอีก
เขาเป็นใครกันแน่
หลินสวินที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ก็อดส่ายหัวไม่ได้ ฉินจื่อหมิงกับจ้าวอวิ๋นจือเป็นเพียงพวกอวดเบ่งข่มเหงผู้อื่นคู่หนึ่ง ไม่มีคุณค่าใด
เขาสั่งการไปตรงๆ “ลุงจง พวกท่านลงมือได้เลย หากใครกล้าขัดขวางก็ฆ่าเสีย ส่วนเรื่องอื่นให้ข้าจัดการเอง”
เพียงประโยคเดียว หลินจง จูเหล่าซาน เสี่ยวเคอ หลินไหวหย่วนที่เตรียมพร้อมต่อสู้อยู่ก่อนแล้วล้วนรับคำสั่ง มองไปยังภายในหอสมบัติตะวันมงคลด้วยไอสังหารพวยพุ่ง
“พวกเจ้ากล้าหรือ!”
ฉินจื่อหมิงคำรามเดือดดาล หน้าเปลี่ยนสีถึงที่สุด
ขนาดจ้าวอวิ๋นจือก็ตกใจเสียแล้ว ร้องเสียงหลงผมเผ้ายุ่งเหยิง จะมีความสง่างามและหยิ่งทะนงอย่างเมื่อครู่นี้เสียที่ไหน กลับเหมือนหญิงขี้โมโหที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“บังอาจ! มีข้าอยู่ ใครกล้าเหิมเกริมที่นี่”
และในตอนนี้เอง เสียงตะคอกดังขึ้นราวอัสนีบาต สั่นสะเทือนไปทั่วฟ้าดิน
ที่มาพร้อมกับเสียงนี้เป็นชายวัยกลางคนท่าทางน่าเกรงขามที่สวมเกี้ยวสีทองม่วงบนศีรษะ แต่งกายด้วยชุดคลุมพญางูแขนกว้าง สวมรองเท้าลายเมฆ สองมือไพล่หลังเดินเข้ามาแต่ไกล
อวิ๋นยงอ๋องจ้าวซวี่!
สายสืบที่จดจ้องทุกสิ่งนี้ล้วนจิตใจสั่นระรัวอย่างรุนแรง ไม่คิดเลยว่ากำลังของตระกูลฉินและจั่วยังมาไม่ถึง เชื้อพระวงศ์ผู้มีอำนาจในราชวงศ์ผู้นี้ก็มาถึงล่วงหน้าก่อนแล้ว
คนนี้เป็นถึงบุคคลร้ายกาจผู้หนึ่ง เคยกุมอำนาจใหญ่ของหน่วยราชองครักษ์แห่งนครต้องห้าม ทั้งยังเคยนำทหารออกรบในชายแดนรกร้าง เก่งกาจการศึก กล้าหาญและเจ้าเล่ห์
เพียงแต่เขาอารมณ์รุนแรง นิสัยใจคอเย่อหยิ่งเจ้ายศเจ้าอย่าง พูดไม่เข้าหูคำเดียวก็เปิดฉากสังหารใหญ่ ถูกผู้คนในใต้หล้ามอบฉายา ‘แม่ทัพผู้โอหัง’ ให้
และตอนนี้ บุคคลร้ายกาจที่มีอำนาจเช่นนี้มาถึง แค่คิดก็รู้ว่าจะก่อให้เกิดแรงสะเทือนใหญ่โตเพียงใด สายสืบเหล่านั้นล้วนอดมีความสุขที่ได้เห็นผู้อื่นประสบเคราะห์ไม่ได้ จิตใจคึกคัก อยากดูว่าหลินสวินจะสลายวิกฤตนี้อย่างไร
พวกหลินจงหวาดหวั่นในใจ ต่างหยุดฝีเท้า พวกเขาก็เคยได้ยินชื่อของอวิ๋นยงอ๋องจ้าวซวี่ เพียงแต่ไม่คิดว่าด้วยฐานะของเขา จะถึงกับมาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง พลันทำให้สถานการณ์แปรเปลี่ยนเป็นรับมือได้ยากและรุนแรงเสียแล้ว
และเวลานี้จ้าวอวิ๋นจือก็ตื่นเต้นจนพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมา เหมือนหาผู้ช่วยเหลือพบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจและขัดเคือง ร้องออกมาว่า “ท่านพ่อ ท่านมาได้เวลาพอดี เจ้าพวกนี้จะเข้ายึดหอสมบัติตะวันมงคลของพวกเรา ใครกล้าขัดขวาง พวกมันก็จะฆ่า ขนาดข้า… ข้ายังถูกพวกมันเหยียดหยาม!”
“ท่านพ่อตา ขอให้ท่านออกหน้าแทนพวกเราด้วยขอรับ!”
ฉินจื่อหมิงก็สีหน้าหดหู่
“พวกเจ้าไม่ต้องพูด ข้าเข้าใจแล้ว สาเหตุที่ข้ามาก็เพื่อต้องการดูว่าไอ้สารเลวคนไหนมันไม่รู้เหนือรู้ใต้มาเหิมเกริมที่นี่ คิดว่าข้าล่วงเกินได้ง่ายหรือ”
ใบหน้าอวิ๋นยงอ๋องจ้าวซวี่เต็มไปด้วยไอสังหาร เสียงพูดดังกังวาน ท่าทางรุนแรง ยามพูดจาก็เดินมาถึงหน้าโถงใหญ่
เขาเป็นคนใหญ่คนโตในราชวงศ์ อีกทั้งยังครอบครองอำนาจแท้จริง เก่งกาจการศึก และตัวเขายังเป็นมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง
แต่ตอนนี้ เมื่อเห็นบุตรสาวและบุตรเขยของตนถึงกับถูกผู้อื่นรังแกในนครต้องห้าม นี่ก็เหมือนตบหน้าเขาจ้าวซวี่!
บรรยากาศในโถงใหญ่พลันเย็นยะเยือกหาใดเทียบ ขนาดเหล่าสายสืบที่ซุ่มซ่อนอยู่ในความมืดล้วนอดตื่นตะลึงไม่ได้
แม่ทัพผู้โอหังคนนี้สมคำร่ำลือดังคาด เพิ่งมาถึงที่นี่ก็แสดงท่าทางแข็งกร้าวและอหังการ์ พาให้ผู้อื่นตื่นตระหนก
ทีนี้ดูซิว่าหลินสวินคนนั้นจะสะสางอย่างไร!
นี่ไม่ใช่กำลังของตระกูลจั่วและฉิน แต่เป็นตัวจ้าวซวี่ที่อยู่ตรงนั้น ผลลัพธ์ของการล่วงเกินเขาจะต้องร้ายแรงขึ้นไปอีก!
พวกหลินจงออกจะหนักใจ พวกเขาวางแผนมากมาย ก็ยังคาดการณ์ไม่ถึงว่าจ้าวซวี่ผู้เป็นถึงชนชั้นสูงระดับบรรดาศักดิ์จะยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้ นี่ทำให้พวกเขาตั้งรับไม่ทันอยู่บ้าง
“เหอะๆ”
แต่ท่ามกลางบรรยากาศกดดันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ จ้าวไท่ไหลกลับหัวเราะ เขามองจ้าวซวี่ที่เพิ่งมาถึงก็พูดจาข่มขู่ใหญ่โตอย่างนึกสนุก แล้วกล่าวว่า “เจ้าว่า… ใครเป็นไอ้สารเลวไม่รู้เหนือรู้ใต้นะ”
เดิมทีจ้าวไท่ไหลหันหลังให้ถนน ทำให้จ้าวซวี่ไม่ได้สังเกต เวลานี้ได้ยินเสียงคนหัวเราะขึ้นมา เขาก็ขัดเคืองอยู่บ้าง บังเกิดจิตสังหารในใจ คิดว่านี่เป็นการท้าทายยกใหญ่อย่างหนึ่ง
แต่เมื่อชำเลืองไปเห็นจ้าวไท่ไหล นัยน์ตาเขาพลันหดรัดทันใด เหมือนทำใจเชื่อได้ยาก ถึงกับนิ่งอิ้งอยู่เช่นนั้น
แต่จ้าวอวิ๋นจือกลับไม่ได้สังเกตเห็น เมื่อครู่นางถูกตบหน้าฉาดหนึ่ง เต็มไปด้วยไฟโทสะอยู่ก่อนแล้ว
เวลานี้เมื่อเห็นว่าบิดาของตนก็มาแล้ว เจ้าแก่นั่นยังคงกำเริบเสิบสานเช่นนี้เหมือนเดิม นางก็พลันทนไม่ไหว กรีดเสียงแหลมว่า “ท่านพ่อ เมื่อกี้ก็เป็นไอ้แก่นี่ล่ะที่ลงมือ! เขายังพูดว่าตัวข้าซึ่งเป็นคนในราชวงศ์กลับทำขายขี้หน้า นี่เขากำลังเหยียดหยามข้าชัดๆ!”
เพียงแต่นางกระจองอแงอยู่นาน ก็ไม่เห็นว่าจ้าวซวี่จะเคลื่อนไหวอะไร นี่ทำให้นางอดร้อนรนไม่ได้ ร้องออกมาว่า “ท่านพ่อ ไอ้สารเลวเฒ่าเช่นนี้ หากไม่ฆ่าก็ไม่สามารถปกป้องศักดิ์ศรีของราชวงศ์ได้นะเจ้าคะ!”
ฉินจื่อหมิงเหมือนสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก้าวขึ้นมาจะเอ่ยห้ามจ้าวอวิ๋นจือ แต่กลับถูกฝ่ายหลังผลักออกไปแล้วด่าทอว่า “มีท่านพ่อข้าอยู่ เจ้ายังจะกลัวอะไร”
นางพูดพลางมองไปยังหลินสวิน “ยังมีเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณบ้าบออะไร กล้ามาก่อเรื่องที่หอสมบัติตะวันมงคลของพวกเรา วันนี้เจ้าอย่าคิดจะรอดออกไปเลย!”
หลินสวินอดลอบถอนใจไม่ได้ เขามองผิดไปแน่แล้ว ความโง่เขลาของผู้หญิงคนนี้ หลิงเทียนโหวกับองค์หญิงหลิงหวงก็ไม่มีทางเทียบได้
ทว่าตั้งแต่เริ่มจนจบ จ้าวไท่ไหลล้วนไม่สนใจความเหิมเกริมของจ้าวอวิ๋นจือ เพียงแต่มองไปยังอวิ๋นยงอ๋องจ้าวซวี่ แล้วกล่าวว่า “นางเป็นลูกสาวเจ้าหรือ”
อวิ๋นยงอ๋องจ้าวซวี่ส่งเสียงอืม สีหน้าตอนนี้แปลกประหลาดถึงที่สุด ดูแข็งทื่อนัก หากสังเกตโดยละเอียด ยังมีสีหน้าตื่นตระหนกที่บอกไม่ถูก เหมือนดั่งทหารเลวผู้หนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับแม่ทัพ ดูใจฝ่อ แข็งทื่อและตื่นเต้น
เวลานี้ ขนาดกลุ่มสายลับที่อยู่ในความมืดก็สังเกตได้ว่าเหตุการณ์ชักแปลกชอบกล ภาพนี้จะประหลาดไปแล้ว
เมื่อครู่จ้าวซวี่อหังการและแข็งกร้าวปานไหน แต่ตอนนี้เหตุใดถึงได้เงียบเชียบโดยพลันเสียเล่า
และในตอนนี้เอง จ้าวไท่ไหลเหมือนจะหมดความอดทนแล้ว เอ่ยว่า “ให้นางหุบปากเสีย”
“ได้!”
ภาพที่ทำให้ทุกคนอ้าปากค้างเกิดขึ้นแล้ว อวิ๋นยงอ๋องจ้าวซวี่ผู้เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูงในจักรวรรดิ หลังจากได้ยินคำพูดนี้ ถึงกับเข้าตบหน้าบุตรสาวของตนฉาดหนึ่งโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด
เผียะ!
เสียงตบดังกังวานนั้นทำให้ทุกคนที่ได้ยินล้วนรู้สึกหวาดผวา เห็นได้ว่าแรงตบนี้ของเขามากมายแค่ไหน
ก็เห็นว่าจ้าวอวิ๋นจือที่กำลังเดือดดาลโวยวายไม่หยุด พลันเหมือนโดนตบจนงงงวย ร่างลอยกระเด็นขึ้นไปในอากาศ จมูกปากกบเลือด ล้มลงไปบนพื้นเสียงดังตุ้บ จากนั้นก็ตาเหลือกแล้วหมดสติไปทั้งอย่างนั้น
ก่อนหมดสติ นางรับรู้เพียงอย่างเดียวว่า ‘ท่านพ่อเขา… เหตุใดถึงลงมือกับข้าได้…. ตบผิดคนแล้วหรือไม่…’
ดูเหมือนน่าขัน แต่จ้าวอวิ๋นจือคิดเช่นนี้จริง กระทั่งนางหมดสติไปก็ยังไม่รับรู้ว่าบรรยากาศในโถงใหญ่เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบางอย่างขึ้นแล้ว
ทันใดนั้นบรรยากาศในโถงใหญ่ก็เงียบเชียบลงอีกครั้ง
พวกหลินจงตื่นตะลึงอยู่เช่นนั้น ฉินจื่อหมิงก็มึนงง ส่วนสายลับที่ลอบสังเกตในมุมมืดเหล่านั้นล้วนงงงวย
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้
นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อาจคาดการณ์ได้ ทำให้พวกเขาเกือบคิดว่าตาฝาดไปแล้ว
อวิ๋นยงอ๋องมาด้วยท่าทางฮึกเหิม กลับลงมือตบหน้าบุตรสาวของตนในทันใด นี่ช่างน่าเหลือเชื่อไปแล้ว
ขนาดหลินสวินยังลอบตกใจ เขาพอจะรู้อยู่ก่อนว่าฐานะของจ้าวไท่ไหลไม่ธรรมดา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าฐานะของอีกฝ่ายเหมือนจะทรงอำนาจกว่าที่ตนเคยคาดไว้อยู่บ้าง
ทำให้จ้าวซวี่ ชนชั้นบรรดาศักดิ์ที่โอหังเช่นนี้ก้มหัวให้ ไม่กล้าแตะแม้แต่ปลายเล็บ ถึงกับไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของจ้าวไท่ไหล!
เพียงแค่จุดนี้ก็รู้ว่าฐานะจ้าวไท่ไหลน่ากลัวเพียงใดแล้ว ไม่เช่นนั้นจะทำให้ท่านอ๋องผู้หนึ่งเชื่องชื่อเช่นนี้ได้อย่างไร
จ้าวไท่ไหลนิ่วหน้า ในที่สุดก็เหมือนเก็บกลั้นอะไรบางอย่างไว้ จากนั้นจึงโบกมือเหมือนไล่แมลงวัน กล่าวว่า “หมดเรื่องเจ้าแล้ว หลีกไปเสีย”
กลับเห็นว่าจ้าวซวี่เหมือนยกภูเขาออกจากอก โค้งกายคำนับต่ำ ประสานหมัดแล้วหันกายเดินไปอยู่ด้านข้าง
เฮือก!
ตอนนี้ทุกคนในที่นั้นล้วนสูดหายใจเยียบเย็น ในที่สุดก็รับรู้ได้ถึงจุดที่มีปัญหา ยามมองดูจ้าวไท่ไหลอีกครั้ง สายตาพวกเขาก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ตอนนี้ความเงียบมีชัยเหนือสรรพเสียงใด!
——