Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 666 คนใหญ่คนโตของสองตระกูลจั่วและฉิน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 666 คนใหญ่คนโตของสองตระกูลจั่วและฉิน
จ้าวไท่ไหลต้องไม่ได้ธรรมดาเพียงแค่เจ้าของสังเวียนสวรรค์ยุทธ์แน่!
นี่เป็นความเห็นเอกฉันท์ของทุกคน
อวิ๋นยงอ๋องจ้าวซวี่ บุคคลร้ายกาจในหมู่เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงเช่นนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขากลับเชื่อฟังและโอนอ่อนเหมือนเป็นลูกหลาน คนทั่วไปจะมีอานุภาพเช่นนี้ได้หรือ
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจ้าวไท่ไหลต้องเป็นคนใหญ่คนโตในราชวัง หรือราชวงศ์ก็ต้องการยื่นมือเข้าไปสนับสนุนตระกูลหลินในการชิงความเป็นใหญ่ครั้งนี้?”
สายลับเหล่านั้นล้วนหวาดหวั่น คาดการณ์ได้ว่าสถานการณ์เปลี่ยนไป
เดิมทีตระกูลหลินด้อยอำนาจ เทียบไม่ได้แม้แต่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นล่าง ไม่ได้รับการยอมรับจากขุมอำนาจใหญ่ คิดว่าการที่ตระกูลหลินท้าทายตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง เป็นการรนหาที่ตายไม่อยากจะอยู่ต่อแล้ว
แต่หากตระกูลหลินได้ราชวงศ์สนับสนุน เช่นนั้นสถานการณ์ก็ต่างออกไปแล้ว!
“สถานการณ์เปลี่ยนไป รีบส่งข่าว!”
“เร็วเข้า แจ้งให้คนใหญ่คนโตในตระกูลทราบว่าในเหตุการณ์นี้มีคนของราชวงศ์ปรากฏตัว ตอนนี้รูปการณ์เริ่มมีคลื่นการเปลี่ยนแปลง!”
สายลับเหล่านั้นพากันเคลื่อนไหวไปส่งข่าวให้ขุมอำนาจของตน
การปรากฏตัวของจ้าวไท่ไหลมีนัยไม่ธรรมดาแล้ว!
ก่อนหน้านี้พวกเขายังคิดว่าหลินสวินช่างเป็น ‘เจ้ากล้าหลิน’ เสียจริง ไปท้าทายตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงโดยไม่สนใจสิ่งใด จะต่างอะไรกับหาที่ตาย
แต่ตอนนี้พวกเขาถึงได้รู้ว่า พวกเขาดูเบาความสามารถและเส้นสายที่หลินสวินซุกซ่อนไว้ไป!
……
“ดำเนินการต่อไป”
ในโถงใหญ่ หลินสวินดูสุขุมเยือกเย็นมาก สั่งให้พวกหลินจงไปชิงหอสมบัติตะวันมงคล
ยามเขากับจ้าวไท่ไหลพูดคุยกัน ก็รู้ว่าจักรพรรดิและจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันล้วนกำลังจับตามองตนอยู่ ดังนั้นการแสดงออกของจ้าวไท่ไหลแม้ทำให้เขาตกใจ แต่กลับไม่เหนือความคาดหมาย
หากสะสางเรื่องนี้ไม่ได้ เช่นนั้นผู้ที่เสียหน้าจะไม่ได้มีแค่จ้าวไท่ไหลคนเดียว!
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้…”
ฉินจื่อหมิงตกตะลึงพรึงเพริด สุดท้ายก็พูดประโยคนี้ซ้ำๆ เขาถูกภาพเมื่อครู่กระทบกระเทือนจิตใจจนแทบพังทลาย
ฐานะ ‘ราชนิกูล’ ของภรรยาที่เขาพึ่งพาไม่มีประโยชน์อีกแล้ว ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ คนที่ปราบพวกเขาก็คืออวิ๋นยงอ๋องที่พวกเขาพึ่งพิง!
นี่จะไม่ทำให้ฉินจื่อหมิงเข้าใจได้อย่างไร ว่าครั้งนี้หลินสวินเชิญคนใหญ่คนโตชั้นสูงผู้หนึ่งมา ขนาดอวิ๋นยงอ๋องจ้าวซวี่ยังทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาฟังคำสั่ง
ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาจะกล้าต่อต้านอีกได้อย่างไร
และพวกหลินจง เสี่ยวเคอ จูเหล่าซาน หลินไหวหย่วนก็เดินเข้ามายังหอสมบัติตะวันมงคลอย่างผ่าเผย ต่อหน้าต่อตาเขา
นี่มีความหมายอย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า อีกไม่นาน ที่นี่ก็จะมีนาม ‘ตระกูลหลิน’ ครอบทับอีกครั้ง!
ทั้งหมดนี้ดำเนินการอย่างเรียบร้อย ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่ได้มีอุปสรรคใดๆ
นี่ทำให้สายลับที่สังเกตการณ์ทุกอย่างนี้ในที่ลับล้วนกระวนกระวายใจ นี่มันเวลาใดแล้ว เหตุใดกองกำลังที่ตระกูลจั่วกับฉินส่งออกมายังไม่ปรากฏตัว
หรือว่าการช่วงชิงความเป็นใหญ่ราวพายุครั้งนี้ จะถูกหลินสวินจัดการอยู่หมัดอย่างง่ายดายเช่นนี้
ราวกับได้ยินเสียงในใจพวกเขา ในห้วงอากาศไกลออกไปพลันมีเสียงระเบิดแสบแก้วหูดังขึ้นระลอกหนึ่ง
ก็เห็นว่าชายชราเคราขาวพลิ้วไหว สวมอาภรณ์สีนิล ท่าทางเหนือธรรมดาราวเทพเซียน เหยียบย่างรุ้งทองเจิดจ้าสายหนึ่งข้ามผ่านท้องฟ้ามา
เมื่อมองไปช่างเหมือนเซียนปรากฏตัวบนโลก สง่างามอย่างบอกไม่ถูก มีท่าทางน่าเลื่อมใสเหนือคนทั่วไป
ชั่วพริบตาเขาก็มาถึง และก้าวไปอยู่ข้างกายฉินจื่อหมิง ก็เห็นว่ายามเขากะพริบตาราวมีสายฟ้าไหววูบแผ่ออกมา น่าหวาดหวั่นหาใดเทียบ
“มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติของตระกูลฉิน ฉินเสวียนตู้!”
สายลับที่ซ่อนตัวอยู่ใจสั่นรุนแรงครู่หนึ่ง คนคนนี้เป็นผู้มีอิทธิพลในระดับกระบวนแปรจุติผู้หนึ่ง มีชื่ออย่างยิ่งในนครต้องห้าม พลังปราณแก่กล้าทรงพลัง ไม่อาจเทียบกับคนทั่วไปได้
“ตระกูลฉินมาแล้ว การช่วงชิงความเป็นใหญ่ครั้งนี้จะเกิดคลื่นลมเปลี่ยนแปลงเช่นไรอีกนะ”
ทุกคนที่ซุ่มอยู่ในที่มืดล้วนตาเบิกกว้าง
“ท่านผู้เฒ่า ในที่สุดท่านก็มาแล้ว!”
เวลานี้ฉินจื่อหมิงเหมือนคว้าฟางเส้นหนึ่งได้กลางมหาสมุทร เกือบร้องไห้ด้วยความยินดียิ่ง การมาถึงของฉินเสวียนตู้ทำให้เขาหาที่พึ่งได้ในที่สุด
“จิตใจไม่มั่นคง พลังปั่นป่วน เด็กหนุ่มตัวจ้อยตระกูลหลินคนหนึ่งทำให้เจ้าลำบากจนเป็นแบบนี้เชียวหรือ”
ฉินเสวียนตู้หน้านิ่วคิ้วขมวด สั่งสอนฉินจื่อหมิงประโยคหนึ่ง ฝ่ายหลังอดสูใจยิ่ง กำลังจะเอ่ยปากอธิบาย ก็เห็นชายชรากล่าวขึ้นอย่างตกใจอยู่บ้างว่า “ที่แท้ท่านอ๋องก็อยู่ด้วย”
อวิ๋นยงอ๋องยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าไร้อารมณ์ เหมือนไม่ได้ยินคำทักทายของเขาเลย ไม่พูดไม่จา ไม่ไหวติงราวกับสมณะเฒ่าเข้าฌาน
นี่ทำให้สีหน้าของฉินเสวียนตู้บังเกิดความกระอีกกระอ่วน ทันใดนั้นก็ส่งเสียงหึหยัน ฐานะของอวิ๋นยงอ๋องแม้พิเศษ แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้พวกเขาตระกูลฉินหวาดหวั่น
“เจ้าก็คือหลินสวินหรือ” ฉินเสวียนตู้กวาดสายตาแล้วจ้องมองงที่หลินสวิน
ส่วนจ้าวไท่ไหลก็ถูกเขาเมินไปเลย เขาจำอีกฝ่ายได้ เป็นเพียงเจ้าของสังเวียนสวรรค์ยุทธ์เท่านั้น แม้เป็นราชนิกูลแต่ก็ไม่มีอำนาจเท่าไร
“ใช่แล้ว ข้าเอง” หลินสวินสีหน้าสุขุมเรียบเฉย
“วันนี้เจ้าส่งคนมาฆ่าคนตระกูลฉินของข้ามากมายขนาดนั้น ทั้งยังช่วงชิงกิจการมากมายของตระกูลเราไปอีก เจ้ารู้ความผิดดีใช่ไหม”
ชายชราสีหน้าน่าเกรงขาม ท่าทางโอหัง
หลินสวินพลันยิ้มแล้วพูดว่า “เลิกพูดไร้สาระ หากจะลงมือก็พูดมาเลย แต่หากอาศัยแค่เจ้าคนเดียว เกรงว่าจะยังไม่พอไปสักหน่อย”
สายลับที่ซ่อนอยู่ล้วนใจกระตุกวูบ เจ้ากล้าหลินมันบ้าระห่ำอย่างที่คิดไว้ คร้านจะพูดพร่ำทำเพลง จะเข้าเรื่องเลย อีกทั้งยังกล่าวว่าฉินเสวียนตู้คนเดียวไม่พอ…
ทอดตามองไปทั่วนครต้องห้าม นอกจากราชันระดับสังสารวัฏเหล่านั้นแล้ว ใครจะกล้าท้าทายฉินเสวียนตู้เช่นนี้
กลับเห็นว่าฉินเสวียนตู้ไม่หวั่นไหวสักนิด เอ่ยว่า “พ่อหนุ่ม เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนพวกเรารู้ดี พูดตามจริงข้าก็สงสัย ว่าด้วยพลังปราณระดับหยั่งสัจจะของเจ้านั้นสามารถเอาชนะหลินซีซีได้หรือไม่กันแน่”
“แต่ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ เพื่อเป็นการให้เกียรติเจ้า และเพื่อความปลอดภัย ผู้ลงมือคราวนี้ย่อมไม่ได้มีเพียงข้าคนเดียว”
พูดถึงตรงนี้เขาก็ยิ้มบางๆ ดวงตาฉายสายฟ้าโชติช่วงเย็นเยียบออกมา “สามารถตายไปท่ามกลางความเคารพของพวกเรา เจ้าก็ไม่มีอะไรให้ต้องเสียดายแล้ว”
ภายนอกเขาดูสง่างามราวเซียน แต่เมื่อพูดเช่นนี้ออกมา กลับเผยจิตสังหารออกมาจนสิ้น พลังน่าหวาดหวั่นพุ่งทะลุเมฆา ปั่นป่วนสภาพอากาศ!
ชั่วขณะเดียวในโถงใหญ่เงียบเชียบ บรรยากาศตึงเครียด เต็มไปด้วยแรงกดดันที่ทำให้ผู้อื่นแทบหายใจไม่ออก
“น่ากลัวนัก!” สายลับที่อยู่ในความมืดล้วนลอบตื่นตะลึง
“พูดเช่นนี้ พวกเจ้าตระกูลฉินได้ตัดสินใจแล้วว่าคราวนี้จะฆ่าข้าหรือ” หลินสวินดูสงบนิ่งมาก
“ถ้าเป็นไปได้ ข้าก็พยามยามถึงที่สุดที่จะจับเป็นเจ้า”
ชายชรายิ้มให้ “อย่างไรเสียจะดีจะชั่วเจ้าก็เป็นเด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่ง หากตายไปก็เสียของอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่สู้มาทำงานชดใช้ความผิดที่ตระกูลฉินของข้าตลอดชีวิต อย่างน้อยก็ยังมีคุณค่าบ้าง”
พูดจาส่งเดช เห็นได้ชัดว่ามองว่าหลินสวินเป็นเนื้อบนเขียง
ดวงตาสีดำของหลินสวินหรี่ลงเล็กน้อย เพียงแต่ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก ฉินเสวียนตู้พลันยิ้มเหี้ยมเกรียมพูดว่า “แน่นอนว่าหากตอนนี้เจ้าแปรพักตร์เข้าตระกูลฉินของข้า ข้ารับรองว่าจะให้เจ้าเป็นผู้อาวุโสของตระกูลข้าทันที สถานะและค่าตอบแทนไม่ด้อยไปกว่าข้า ทั้งยังจะคุ้มครองตระกูลหลินของเจ้า ถึงกับสามารถเชิญราชันระดับสังสารวัฏมาชี้แนะเจ้าฝึกปราณด้วยตัวเอง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ภายนอกก็พลันโกลาหล
ตระกูลฉินเป็นถึงตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง ในจักรวรรดิเรียกได้ว่าเป็นยักษ์ใหญ่ ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกปราณชั้นยอดมากมายแค่ไหนที่หมายจะเข้าตระกูลฉิน เป็นผู้อาวุโสผู้หนึ่งที่ทำคุณประโยชน์ให้พวกเขา
แต่ตอนนี้เงื่อนไขที่ชายชราให้หลินสวินก็ยิ่งน่าตกใจ ไม่เพียงสัญญาว่าจะให้ตำแหน่งสูงกับเขา ยังจะคุ้มครองตระกูลหลิน ถึงขั้นยินดีเชิญราชันระดับสังสารวัฏมาชี้แนะเขาเมื่อฝึกปราณ นี่เป็นเงื่อนไขน่าเย้ายวนข้อหนึ่งที่ทำให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนคลั่งไคล้ได้
“ให้ตายสิ เทียบกันแล้วน่าโมโหชะมัด หากเปลี่ยนเป็นข้าคงรับปากไปแล้ว ได้ติดตามตระกูลฉิน ทั้งมีระดับสังสารวัฏมาชี้แนะการฝึกปราณ ภายหลังจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วได้หรือ”
สายลับบางคนตีอกชกหัว อิจฉาตาร้อน
น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ใช่หลินสวิน หลินสวินก็ไม่ใช่พวกเขา เมื่อได้ยินดังนี้เขาก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่แล้ว เอ่ยว่า “ราชันสังสารวัฏชี้แนะหรือ มหามรรคของข้าพวกเขาชี้แนะได้หรือ ถ้าข้าชี้แนะพวกเขายังพอไหว”
ทุกคนล้วนคิดว่าที่หลินสวินพูดเป็นเพราะโกรธ
แต่มีเพียงตัวหลินสวินที่รู้ดีว่า ด้วย ‘วิชาอริยะยุทธ์’ ที่เขาครอบครองกับ ‘เคล็ดวิชาแสงอริยะนพนภา’ ที่สืบทอดมาจากเกาะอริยะปัญจธาตุ หากไปชี้แนะราชันระดับสังสารวัฏ พวกเขาต้องดีใจเหมือนคนบ้าแน่!
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นถึงวิชาตกทอดอริยมรรคเชียวนะ!
อริยมรรค แค่เพียงคำนี้ก็เพียงพอจะทำให้ราชันระดับสังสารวัฏนับถือแล้ว
“เหอะๆ เป็นเด็กน้อยไม่รู้ความตามคาด ช่างเถอะๆๆ ในเมื่อเจ้าโง่เขลา ก็จะโทษว่าพวกเราตระกูลฉินลงมืออย่างไร้ปรานีไม่ได้นะ”
ฉินเสวียนตู้ถอนใจเบาๆ อย่างเสียดาย เหมือนเห็นใจหลินสวิน
“เจ้าดูสิ พูดพล่ามมากมายเช่นนี้ สุดท้ายก็ต้องใช้การต่อสู้มาสะสาง แล้วเหตุใดเมื่อครู่เจ้าต้องพูดจาไร้สาระมากมายขนาดนั้นด้วยเล่า”
หลินสวินยักไหล่ เหมือนเริ่มหมดความอดทนแล้ว “รีบเรียกผู้ช่วยเจ้าออกมาเถอะ เวลามีค่า พวกเรารีบหน่อยดีไหม”
ต่อให้ฉินเสวียนตู้สุขุมและเยือกเย็นแค่ไหน เวลานี้ก็อดหน้าตึงขึ้นมาไม่ได้ ดวงตาฉายรังสีเยียบเย็นน่าหวาดหวั่น
เขาเอ่ยเสียงเย็นว่า “ได้ยินว่าบนภูเขาชำระจิตก็มีมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติ ไม่สู้เรียกออกมาด้วยเล่า”
เห็นได้ชัดว่า เขาคิดว่าที่หลินสวินไม่เกรงกลัวเช่นนี้เพราะมีคนช่วย
“ไม่ต้องหรอก ต่อกรกับพวกเจ้า ข้าคนเดียวก็พอแล้ว” หลินสวินเอ่ย
“ดี! ดีมาก! ด้วยคำพูดนี้ของเจ้า วันนี้ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าบางครั้งกำเริบเสิบสานเกินไป ก็อยู่ไม่ห่างจากความตายนักหรอก!”
ฉินเสวียนตู้ยิ้มหยัน
เวลานี้เสียงหัวเราะแว่วมาจากที่ไกลออกไป “ข้าก็เคยพูดไว้แล้วไงว่าเจ้าเด็กหลินสวินคนนี้กำเริบไม่รู้จักกลัว ไม่ต้องพูดมากความไป จับมันฆ่าทิ้งก็ได้แล้ว”
ตู้ม! ตู้ม!
พร้อมกับเสียงหัวเราะร่า พื้นดินสั่นสะเทือนราวกับมีคชสารมังกรบรรพกาลตัวหนึ่งตะบึงมาแต่ไกล ในจินตการของทุกคน ผู้มาเยือนต้องมีอานุภาพหาใดเทียบ พละกำลังราวบรรพตนที
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้มาเยือนกลับเป็นสตรีนางหนึ่ง นางรูปร่างอ้อนแอ้นอรชรยิ่งยวด ใบหน้างดงามสะดุดตา ทรวดทรงองค์เอวแบบบาง โอบรอบได้ด้วยมือเดียว มีเสน่ห์ถึงที่สุด
แต่ยามเท้าของนางเหยียบย่างลงมา กลับเหมือนมหาบรรพตกระแทกพสุธา เกิดเป็นเสียงระเบิดสะเทือนหูแทบดับ ราวกับภายในร่างแบบบางของนางนั้นเก็บกักพลังน่ากลัวราวภูเขาไฟปะทุไว้อยู่ ทำให้ผู้อื่นรู้สึกขัดแย้งยิ่งนัก
“มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติจั่วเป่าอิ๋ง!”
สายลับที่ซ่อนตัวล้วนสูดหายใจเย็นเยียบ สตรีนางนี้ไม่ด้อยไปกว่าฉินเสวียนตู้ เป็นนางยักษ์ที่มีชื่อ ฆ่าคนมานับไม่ถ้วน สองมือเปื้อนเลือด เป็นตัวร้ายเต็มขั้น
“มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติสองคนเชียวนะ! คราวนี้เจ้าเด็กนั่นยากพ้นเคราะห์แล้ว แต่ว่า สองตระกูลจั่วและฉินก็โหดเหี้ยมจริง ไม่ลงมือยังพอว่า แต่พอลงมือก็ส่งมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติออกมาสองคน เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะให้หลินสวินมีทางรอดแล้ว!”
ผู้คนบ้างสะท้านขวัญ บ้างเร้าใจ บ้างยินดีกับความทุกข์ของผู้อื่น รูปการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้ ขนาดพวกเขายังคิดไม่ถึง
——