Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 669 เลือดหลั่งราวพิรุณ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 669 เลือดหลั่งราวพิรุณ
เหนือเวิ้งฟ้า การต่อสู้ดุเดือดกำลังเข้มข้น!
ในแต่ละที่ของนครต้องห้าม ไม่รู้ว่ามีสายตามากมายเพียงใดกำลังจับตาดูที่นี่ ด้วยถูกการประลองชั้นยอดดึงดูด
ชิ้ง!
คมทวนแกว่งไกว พลังมหาศาลพวยพุ่ง ตัวทวนสีเทาเข้มเคลื่อนไหวอย่างสง่างามราวมังกร ปราดเปรียวราวสายฟ้าฟาด ถูกหลินสวินโบกสะบัดอย่างอหังการ
แม้ถูกมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติหกคนล้อมโจมตี หลินสวินก็ไม่สะทกสะท้าน
ดวงตาสีดำของเขาสุขุมลุ่มลึกราวหุบเหว จิตต่อสู้ที่ประหนึ่งหินหนืดพลุ่งพล่านกำลังลุกโชนรางๆ อยู่ในส่วนลึกของนัยน์ตา
เหนือน่านฟ้า ก้าวย่างชือน้ำแข็งเสมือนภาพมายา ทำให้เงาร่างของเขาลอยละล่องตัดขาดจากธุลี ท่าทางเกรียงไกรราวขุนเขาธารา ความยโสโอหังแผ่พุ่งทั่วฟ้าดิน
วิชาอริยะยุทธ์และชุดศึกสลักวิญญาณหลอมรวมกับมกุฎมรรคาของหลินสวินอย่างสมบูรณ์ เวลานี้ถ้ำสวรรค์ในกายเขาส่งเสียงพวยพุ่งด้วยเมฆหมอก แสงมงคลราวพิรุณ แท่นมรรคเก่าแก่เรียบง่ายแท่นหนึ่งตั้งตระหง่าน โอบล้อมไปด้วยแสงสมบัติมหามรรค
แม้อยู่ในการต่อสู้ดุเดือด ทุกการเคลื่อนไหวของเขากลับประหนึ่งเต็มไปด้วยมรรค หมื่นลักษณ์ไร้รูป ประหนึ่งเซียนจุติ สง่างามเกินใครในโลกา
คู่ต่อสู้ของเขาพากันหน้าเปลี่ยนสีซ้ำแล้วซ้ำเล่า สีหน้ายิ่งหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ ยามต่อสู้กับหลินสวินเข้าจริงๆ พวกเขาถึงได้รับรู้ถึงความน่ากลัวของอีกฝ่าย!
พวกเขาล้วนไม่อาจจินตนาการได้ว่า เพียงแค่เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง เหตุใดจึงครอบครองพลังเย้ยฟ้าเช่นนี้
“ฆ่า!”
ฉินเสวียนตู้ไม่มีท่าทางสง่างามราวเซียนอีกแม้แต่นิดเดียว สีหน้าเขาบูดบึ้ง ดวงตามีไฟโทสะ เทหมดหน้าตักเพื่อต่อสู้
อีกด้านหนึ่งจั่วเป่าอิ๋งเหยียบย่างอากาศ เสียงดังครั่นครืนราวฟ้าผ่า เงาร่างที่ดูอ้อนแอ้นระเบิดพลังแข็งแกร่งสะเทือนเลือนลั่นออกมา
นอกจากนี้ มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติอีกสี่คนก็ล้วนต่อสู้เต็มกำลัง ไม่มีใครกล้าออมมือ ทั้งไม่มีใครกล้าชะล่าใจสักคน
โครม!
ท้องฟ้าแถบนั้นราวถูกทำลาย เกิดเสียงกัมปนาทจนหูแทบดับ ทั้งคล้ายภูเขาใหญ่ลูกแล้วลูกเล่ากำลังชนกัน พาให้ฟ้าดินสั่นสะท้าน
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว! ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ใครเคยเห็นสัตว์ประหลาดเย้ยฟ้าเช่นเจ้ากล้าหลินบ้าง ตัวคนเดียวนะ แต่กลับสามารถข้ามระดับห้ำหั่นกับมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติหกคนได้!
“เรื่องนี้หากแพร่ออกไป แม้ว่าเจ้ากล้าหลินจะพ่ายแพ้ในที่สุด แต่อาศัยศึกนี้ก็สามารถทำให้เขาเป็นราชันในหมู่คนรุ่นเยาว์ เป็นยอดสุดแห่งรุ่น เหยียดหยันทุกคนในระดับปราณเดียวกัน!”
“มิน่าวันนี้เขาถึงกล้าท้าทายสองตระกูลฉินและจั่วอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ที่แท้เขาไม่ได้จองหอง แต่ไม่หวาดหวั่นเพราะมีของ!”
ในมุมมืด สายสืบที่มาจากขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ ล้วนหวาดกลัว อารมณ์หวั่นไหว ไม่อาจสงบใจได้
ความสามารถที่หลินสวินแสดงออกมาทำให้พวกเขาล้วนรู้สึกทั้งสะพรึงกลัวและเลื่อมใส เย้ยฟ้าเกินไปแล้ว เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่หายากมาตั้งแต่โบราณกาล!
ฉินจื่อหมิงยิ่งขมขื่น หวาดผวาเสียขวัญ หรือว่าขนาดตระกูลจั่วและฉินร่วมมือกันยังทำอะไรเจ้าเด็กนี่ไม่ได้
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ภรรยาของเขาจ้าวอวิ๋นจือฟื้นจากการหมดสติ เพียงแต่เมื่อนางลุกขึ้น ก็ถูกอวิ๋นยงอ๋องจ้าวซวี่ตบจนสลบอีกครั้ง
ช่วยไม่ได้ จ้าวซวี่ไม่อยากให้บุตรสาวของตนก่อเรื่องวุ่นวายอีกแล้ว ตบให้นางสลบไปก็เป็นการปกป้องอย่างหนึ่ง…
“จูเหล่าซาน เจ้าคิดว่าตัวเจ้าเทียบกับนายน้อยแล้วจะเป็นอย่างไร” หลินจงพลันถาม
“สู้สักตาก็ได้อยู่ แต่ไม่มีโอกาสชนะ” จูเหล่าซานนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ถึงค่อยตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำหนาหยาบ
คำตอนนี้ทำให้หลินจง เสี่ยวเคอและหลินไหวหย่วนต่างรับรู้ได้ว่า บนภูเขาชำระจิตแต่ก่อน หากพูดถึงพลังต่อสู้ จูเหล่าซานอาจจะถือเป็นที่สุด กระทั่งหลินจง เสี่ยวเคอ หลินไหวหย่วนยังแข็งแกร่งกว่าหลินสวินอยู่บ้าง
แต่ตอนนี้ ทุกอย่างนี้ล้วนเปลี่ยนไปแล้ว!
บนภูเขาชำระจิตในภายหน้า เมื่อพูดถึงพลังการต่อสู้ หลินสวินถือเป็นที่สุด!
นี่ย่อมทำให้ผู้อื่นทอดถอนใจ ในช่วงครึ่งปีที่หลินสวินหายตัวไป ได้พบกับประสบการณ์พิเศษอย่างไรกันแน่ ถึงได้เปลี่ยนแปลงราวพลิกฟ้าพลิกดินเช่นนี้
“ไม่แน่บางทีอาจมีเพียงคนเช่นนี้ถึงเข้าตาจิ่งเซวียนกระมัง…” จ้าวไท่ไหลพึมพำ เอ่ยวาจาประหลาดออกมา
แต่ประโยคนี้กลับถูกอวิ๋นยงอ๋องจ้าวซวี่ที่อยู่ข้างๆ ได้ยินอย่างไม่ตกหล่นสักนิด ทำเอาเขาพลันสะดุ้ง ความคิดมากมายไหลหลั่งเข้ามาไม่หยุด หรือว่าองค์หญิงจิ่งเซวียนถูกใจเจ้าหนูนี่หรือ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จ้าวซวี่ก็ปวดหัวแล้ว!
จ้าวจิ่งเซวียน ฐานะในราชวงศ์เหนือธรรมดายิ่ง เป็นผู้กล้าหญิงที่สถานะไม่เป็นสองรองใคร ต่อให้เป็นจ้าวซวี่ได้พบนาง ก็ไม่กล้าอ้างความอาวุโส!
‘หากนี่เป็นเรื่องจริง ตระกูลจั่ว ตระกูลฉิน… คราวนี้ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว…’ เขาตกอยู่ในภวังค์
ตูม!
ทันใดนั้นเหนือเวิ้งนภาเกิดคลื่นพลังน่าหวาดหวั่นขึ้น พลันดึงดูดความสนใจของทุกคนในที่นั้น
ก็เห็นว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่จั่วเป่าอิ๋งเรียกร่มหยกขาวบริสุทธิ์คันหนึ่งออกมาเขย่าเบาๆ สาดซัดเมฆหมอกราวเส้นไหมพันพัวนับไม่ถ้วนออกมา เหมือนหมอกฝนหนาแน่น
ชั่วขณะนั้น รอบกายหลินสวินหลายจั้งล้วนถูกเส้นไหมนับไม่ถ้วนปิดผนึก เส้นไหมเหล่านี้เปล่งประกายโปร่งแสง ขาวสะอาดคลุมเครือ ดูเหมือนสลัดพ้นได้ง่าย แต่เมื่อขาดแล้วก็จะก่อตัวเป็นรูปร่างใหม่ รัดพันไม่สิ้นสุด ไหลออกมาไม่ขาดสาย
ไม่ว่าเจ้าจะมีพลังมากมายเพียงไหนก็จะถูกผูกมัดอยู่ในนั้น!
นี่เป็นสมบัติโบราณที่ลี้ลับเหนือธรรมดาชิ้นหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นอาวุธสำคัญชิ้นหนึ่งของตระกูลจั่ว มีชื่อเสียงยิ่งนักในนครต้องห้าม ไม่เอามาใช้ง่ายๆ ตามอำเภอใจ
แต่ใครก็ไม่คาดว่าสมบัตินี้กลับถูกจั่วเป่าอิ๋งเรียกออกมา อีกทั้งยังเพื่อใช้ต่อกรกับหลินสวิน!
ชั่วขณะทั้งที่นั้นล้วนตาเบิกกว้าง หลินสวินจะต่อต้านสมบัตินี้อย่างไร
สวบ!
ก็ในตอนนี้เอง เหนือศีรษะของหลินสวินปรากฎเจดีย์สมบัติสีทองเจิดจ้าองค์หนึ่ง เมื่อหมุนคว้างก็เปล่งแสงสีทองออกมา
ฮูม!
พื้นที่ในรัศมีหลายจั้ง เส้นไหมเต็มฟ้าที่พัวพันราวไม่มีที่สิ้นสุดพวกนั้น พลันถูกแสงทองกวาดจนสิ้นในครั้งเดียว ม้วนกลืนจนว่างเปล่า
ภาพนั้นก็เหมือนวาฬกลืนน้ำ ง่ายดายเป็นธรรมชาติ
ถูกทำลายเช่นนี้หรือ
ทั้งที่นั้นตื่นตะลึง
ขนาดจั่วเป่าอิ๋งยังหน้าเปลี่ยนสีเกือบร้องเสียงหลง เป็นไปได้อย่างไร เจดีย์สมบัติองค์นั้นมีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่ ถึงได้น่ากลัวปานนี้
ฟุ่บ!
น่าเสียดาย ทุกคนยังไม่ทันได้ตรวจสอบ หลินสวินก็เก็บเจดีย์สมบัติเข้าไปก่อนแล้ว จากนั้นก็สะบัดทวนยาวเข้าสังหาร
“แย่ล่ะ!”
จั่วเป่าอิ๋งกำลังจิตใจหวาดหวั่น จะไปคิดได้อย่างไรว่าหลินสวินเข้าโจมตีแล้ว พลันรับรู้ได้ว่าไม่เข้าที รีบร้อนหลบหนี
ฉึก!
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ไหล่นางก็ยังถูกแทงทะลุดังเดิม กล้ามเนื้อและกระดูกแหลกสลาย ทำให้นางร้องเสียงแหลมด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าพริ้งเพราเหยเก
เพียงแต่แม้หลบออกไปได้ แต่ยังไม่ทันที่นางจะยืนอย่างมั่นคง ก็รู้สึกแข็งทื่อไปทั้งตัวประหนึ่งถูกพลังไร้รูปผนึก เงาร่างเชื่องช้าลง ทำให้นางถึงกับไม่มีแรงสลัดพ้น
โครม!
แทบจะในเวลาเดียวกัน รอยฝ่ามือโบราณเจิดจ้ารอยหนึ่งกดลงมาจากเหนือศีรษะ บังเกิดเงามายาปี้อั้น ในช่วงที่จั่วเป่าอิ๋งไม่ทันตั้งรับก็กดทับลงบนร่างของนาง
ชั่วพริบตา ภายใต้สายตาตื่นตะลึงมากมาย ร่างของจั่วเป่าอิ๋งระเบิดกระจุย เลือดเนื้อปลิวว่อนร่วงหล่น ย้อมห้วงอากาศให้เป็นสีแดงฉานบาดตา นองเลือดถึงที่สุด
มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติผู้หนึ่ง กลับถูกประทับฝ่ามือหนึ่งตบจนแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่ว่าใครได้เห็น เกรงแต่ว่าจะหวาดกลัวจนขนหัวลุก
นี่ก็คืออานุภาพอันน่าพรั่นพรึงที่เกิดขึ้นจากการผสานรวมระหว่างร่างที่สี่ ‘ผนึกป้าเซี่ย’ และร่างที่สาม ‘ประทับปี้อั้น’ ของมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร หลินสวินคว้าโอกาสนี้โจมตีปลิดชีพจั่วเป่าอิ๋ง สร้างแรงสะเทือนขวัญไปทั่วบริเวณ!
“ไม่…!”
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้”
“ไอ้สารเลว!”
ฉินเสวียนตู้และเหล่ามหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติคนอื่นล้วนได้รับการกระทบกระเทือนจนหน้าเปลี่ยนสียิ่ง คำรามกึกก้องด้วยความโกรธระคนตื่นตระหนก สะเทือนฟ้าดิน
ภายใต้การล้อมโจมตี หลินสวินยังสามารถโจมตีสังหารได้หนึ่งคน นี่ทำให้พวกเขาไม่อาจยอมรับได้!
แต่สำหรับหลินสวินแล้ว ความตายของจั่วเป่าอิ๋งเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
วันนี้ เขาจะใช้ชีวิตของมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติหกคน ประกาศแก่ใต้หล้าว่าตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตของเขา ไม่อาจล่วงเกินได้โดยง่าย!
ฆ่า!
บนเวิ้งฟ้า การต่อสู้ดุเดือดยิ่งโหดเหี้ยมขึ้นแล้ว
……
สายสืบในมุมมืดต่างอึ้งงันแล้ว หลินสวินสามารถต่อต้านมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติหกคนด้วยตัวคนเดียว ก็ทำให้พวกเขาแทบยากยอมรับ
แต่ตอนนี้ หลินสวินสังหารไปหนึ่งคนอย่างแข็งกร้าวระหว่างถูกล้อมโจมตี นี่ยิ่งน่าตกใจเมื่อได้ยินเข้าไปอีก
ไม่น่าเชื่อเกินไปแล้ว!
ฝีมือของหลินสวิน ล้มล้างความรู้ทั้งหมดในอดีตของพวกเขาโดยสิ้นเชิง
“นายน้อย… นายน้อยท่าน… แข็งแกร่งนัก!”
หลินจงเก็บกลั้นอารมณ์อยู่นาน ถึงได้พูดแต่ละคำออกมาอย่างติดๆ ขัดๆ แต่ความหวั่นไหวของเขาไม่อาจปิดบังได้ หรือควรพูดว่า เขาหวั่นไหวจนหาถ้อยคำที่มากมายกว่านี้มาบรรยายไม่ได้แล้ว
พวกเสี่ยวเคอ จูเหล่าซานที่อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน หลินสวินในตอนนี้ช่างเหมือนเทพมารที่ไม่มีศึกใดไม่กำชัย!
มีเพียงจ้าวไท่ไหลที่เลิกคิ้วแล้วพึมพำว่า “ก็ไม่รู้ว่าหากไม่มีชุดศึกสลักวิญญาณช่วยเสริม เจ้าหนูนี่จะปลิดชีพผู้หญิงคนนั้นอย่างง่ายดายได้หรือไม่…”
‘หากเด็กนี่ไม่ตาย การที่ตระกูลหลินจะกลับขึ้นมาอยู่ในหมู่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอีกครั้ง ก็นับวันรอได้เลย!’ อวิ๋นยงอ๋องจ้าวซวี่ทอดถอนใจ ความรู้สึกยิ่งซับซ้อนขึ้นแล้ว
ตุ้บ! ฉินจื่อหมิงที่อยู่อีกด้านคุกเข่ากับพื้น เหม่อลอยเป็นรูปปั้นดินเหนียว ท่าทางเศร้าศร้อยเหมือนสูญเสียบิดามารดา ถูกกระทบกระเทือนอย่างยิ่ง ขวัญเสียไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
……
เหนือเวิ้งฟ้า ฝนโลหิตซัดสาด เสียงคำรามเดือดดาลไม่ว่างเว้น เสียงร้องโหยหวนเจ็บปวดก็ดังขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า
ที่นั่นประหนึ่งกลายเป็นเวทีสังหารของหลินสวินเพียงผู้เดียว เขาหนึ่งคนหนึ่งทวนเคลื่อนกายไปทั่ว เข้าต่อสู้อย่างดุดัน
ฉัวะ!
ไม่นานนัก มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติอีกคนหนึ่งก็พบเคราะห์ ถูกทวนตัดศีรษะปลิวลอย ศพไร้หัวตกจากเวิ้งฟ้ากระแทกลงพื้น สภาพการตายน่าหดหู่
โครม!
ไม่นานนัก เสียงกระแทกครึกโครมน่าหวาดหวั่นระลอกหนึ่งก็ดังขึ้น
คราวนี้หลินสวินถูกประกบโจมตี แผ่นหลังถูกฟันออกเป็นรอยแผลเลือดไหลรินแผลหนึ่ง เกือบบาดเจ็บถึงอวัยวะภายใน
แต่ในเวลาเดียวกันมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติสองคนที่ประกบโจมตีเขา ก็ถูกทวนที่เขาวาดออกไปตามแนวราบตัดเอวขาด ตายอนาถกลางอากาศ
ทั่วบริเวณเงียบเชียบไร้เสียงนานแล้ว หวาดหวั่นจนไร้คำพูด เพียงเหม่อมองที่เวิ้งฟ้า มองดูเด็กหนุ่มที่โรมรันอาบเลือดราวเทพมารผู้นั้น
ทวนในมือเขาเล่มนั้น ไม่เพียงดื่มเลือด ยังปลิดชีพด้วย!
เวลานี้ ความหวาดหวั่นและถ้อยคำมากมายกว่านี้ก็ล้วนดูซีดจางแล้ว เพราะการสังหารหมู่ยังดำเนินต่อไป ภาพโหดเหี้ยมและนองเลือดได้ฉายมาถึงช่วงเวลาที่ใกล้จะรู้ผลแพ้ชนะแล้ว
ฉึก!
มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติอีกคนตายแล้ว เดิมเขากำลังจะหนี เห็นได้ชัดว่ารู้สึกกลัวแล้ว ไม่กล้าสู้ต่อแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังถูกหลินสวินใช้ทวนแทงทะลุหน้าผาก คับแค้นใจอยู่ระหว่างทางหนีตายที่ห่างออกไปหลายพันจั้ง
ต่อให้เขาไวกว่านี้ แต่จะเร็วกว่าก้าวย่างชือน้ำแข็งได้อย่างไร
อีกทั้ง วันนี้หลินสวินก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ให้ใครได้หนีไป!
เวลานี้ก็เหลือเพียงฉินเสวียนตู้
มหายุทธ์ที่สง่างามราวเซียน โดดเด่นเหนือฝูงชนผู้นี้ เวลานี้กลับมีท่าทางหวั่นวิตกไม่มีทางสู้ ขุ่นเคืองโกรธแค้น
ไม่เหลือสง่าราศี!
เขาไม่กล้าหนี เพราะเขารู้ว่าหนีไปก็ไร้ประโยชน์ แต่หากไม่หนี เขาก็รู้ว่าตนเพียงคนเดียวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินสวินแม้แน้อย
สถานการณ์สิ้นหวังไร้ทางสู้เช่นนี้ บีบคั้นจนเขาแทบเสียสติ!
——