Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 687 การตรวจสอบที่ละโมบ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 687 การตรวจสอบที่ละโมบ
ความหนังเหนียวในพลังชีวิตของชายเงาสีเทาผิดมนุษย์มนาถึงขีดสุดจริงๆ อีกทั้งเขายังสันทัดวิชาลับอัศจรรย์มากมาย พลังต่อสู้ก็ดุร้ายและน่าขนลุกเหนือธรรมดา
บุคคลระดับนี้ทำให้หลินสวินยากจะฆ่าเขาในทันที เพียงจินตนาการก็รู้ได้ว่าคนผู้นี้จะต้องมีฐานะทรงเกียรติเพียงใดในเผ่าพ่อมดเถื่อน
และในสมรภูมิกระหายเลือดนี้ หากปล่อยให้เขารอดชีวิต เช่นนั้นรังแต่จะนำพาภัยเงียบที่ไม่อาจคาดเดาได้มาสู่ฝั่งจักรวรรดิ
เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงนักลอบสังหารแต่กำเนิดที่สันทัดการลอบฆ่าผู้หนึ่ง!
หลินสวินใช้กำลังออกไปอย่างสิ้นเชิง ต่อให้รู้ว่าบนสมรภูมิกระหายเลือดที่เสี่ยงอันตรายหาที่เปรียบไม่ได้แห่งนี้ การสิ้นเปลืองพลังกายอย่างต่อเนื่องจะเป็นข้อเสียเปรียบต่อสถานการณ์ของตน เขาก็ไม่นึกเสียดาย
ฟุ่บ!
ศรวิญญาณดอกหนึ่งยิงออกไปอีกครั้ง ราวกับสายรุ้งศักดิ์สิทธิ์อันไกลโพ้นที่กักขังวิญญาณ เบาหวิวมิอาจคาดเดาได้ ในพริบตาร่างครึ่งหนึ่งของอีกฝ่ายพลันระเบิดออก เลือดสดซ่านกระเซ็น
ชายเงาสีเทาร้องโหยหวน เจ็บจนภาพเบื้องหน้าเป็นสีดำ เกือบหมดสติไป
นับตั้งแต่เริ่มต้นบนมรรคา เขาไม่เคยถูกคนไล่สังหารเช่นนี้มาก่อน และไม่เคยสัมผัสกับประสบการณ์น่าอับอายและอันตรายร้ายกาจเช่นนี้มาก่อน
สิ่งนี้ทำให้เขาโกรธจนบ้าคลั่ง ทั้งหวาดกลัวจนตัวสั่นเทิ้ม เวลานี้ถึงได้ตระหนักอย่างลึกซึ้งถึงความน่ากลัวของสิ่งที่เรียกว่ามรรคาที่แข็งแกร่งที่สุด
แม้ว่าเขาเองก็เจียนจะสัมผัสขอบเขตนั้นได้แล้วเช่นกัน ทว่าอย่างไรเสียก็ยังไม่เคยบรรลุถึง และก็เพราะเช่นนี้ ทำให้ก่อนหน้านี้เขาประเมินความน่ากลัวของอีกฝ่ายต่ำไป
สวบ!
เงาร่างของหลินสวินไหววูบ พุ่งไปด้านหน้าอย่างบ้าคลั่ง อีกฝ่ายจวนจะล้มทั้งยืน ใกล้ยืนหยัดไม่ไหวแล้ว เวลานี้เป็นช่วงเวลาดีที่สุดที่จะจู่โจมสังหาร
ทว่าระหว่างทาง หลินสวินกลับต้องชะงักเท้ากะทันหัน นัยน์ตาดำสนิทจับจ้องไปยังระยะไกลด้วยความสงสัยเล็กน้อย
“ระยำ!”
ท้ายที่สุดหลินสวินก็กลั้นคำด่าเอาไว้ไม่ได้ จากนั้นเขาก็ล่าถอยโดยไม่ลังเลสักนิด หลบหนีไปในทิศทางตรงกันข้าม ความเร็วนั้นไวยิ่งกว่าเมื่อครู่ถึงสามส่วน!
ตูม!
และขณะที่หลินสวินเพิ่งจากไป กลิ่นอายน่ากลัวหาใดปรียบสายหนึ่งพลันมาเยือนพื้นที่แห่งนี้ ราวกับผู้เป็นนายห้อทะยานมาเยือน ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี บังเกิดลมกระโชกน่ากลัว
“นายน้อย!”
เสียงร้องอุทานเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมปรากฏร่างชายชราผอมซูบ ผิวดำเกรียม ทั่วสรรพางค์กายคละคลุ้งด้วยไอสีเทาหม่น
มองดูชายเงาสีเทาที่ร่างครึ่งซีกถูกระเบิด ดูน่าสังเวชหาใดเปรียบ ใบหน้าของชายชราพลันเขียวคล้ำ กลางนัยน์ตาสาดลำแสงน่าสยดสยองออกมา
“นายน้อยอดทนไว้ บ่าวจะไปฆ่าเจ้าโจรผู้นั้นก่อน!”
ชั่วขณะ ภายใต้การกวาดสายตาอันแสนน่ากลัวของชายชรา ก็พลันพบหลินสวินที่หนีห่างออกไปไกล
“อย่าไป!”
เพียงแต่ยามที่ชายชรากำลังจะลงมือ ชายเงาสีเทากลับร้องตะโกนห้ามปราม
“นายน้อย โอกาสกำลังหลุดลอยไปนะ!”
ชายชรากระวนกระวายยิ่ง
“ข้าบอกว่าอย่าไป!”
ชายเงาสีเทาตวาด สีหน้าแปลกประหลาดหาใดเปรียบ
เขาอ้าปากกลืนลูกกลอนโอสถลงไปหนึ่งเม็ด บัดนั้นทั่วสรรพางค์กายมีเลือดลมพวยพุ่งออกมา ร่างครึ่งซีกที่เดิมทีผุพัง ถึงกับฟื้นตัวคืนมาในพริบตา
เพียงแต่สีหน้าของเขากลับขาวซีดหาที่เปรียบไม่ได้ จวนเจียนโปร่งใส ลมหายใจก็รวยรินประหนึ่งแสงตะเกียงริบหรี่ ราวกับสามารถล้มครืนลงไปเมื่อไรก็ได้
“เจ้านั่นเป็นเหยื่อของข้า นอกจากข้า ใครก็ห้ามแตะต้องเขา!”
ชายเงาสีเทากัดฟัน นัยน์ตาฉายแววโหดเหี้ยม
ความพ่ายแพ้ในวันนี้ เขามองว่าเป็นความอัปยศใหญ่หลวง ภายในใจมีเพลิงโทสะคุกรุ่นอยู่
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ เขาฝึกปราณจนป่านนี้ ในที่สุดก็ได้เห็นมรรคาที่แข็งแกร่งที่สุดในตำนานเป็นครั้งแรก กระทั่งสัมผัสได้ว่าหากตนหมายจะเหยียบอยู่ในขอบเขตนี้ การฆ่าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้นก็คือวิธีที่ได้ผลที่สุด!
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาขวางชายชราคนนั้นเอาไว้
“นายน้อย เมื่อครู่เป็นใครกันแน่ ถึงกับทำร้ายท่านได้เลยเชียว”
ชายชรารู้ดีว่าเวลานี้เสียโอกาสในการสังหารศัตรูไปแล้ว เพียงแต่เขาไม่เข้าใจยิ่งนัก ในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ ถึงกับยังมีคนสามารถเอาชนะนายน้อยได้
นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
แต่เขารู้ดีว่า นายน้อยที่เป็นองค์ชายแห่งสายคนเถื่อนมืด มีพรสวรรค์บันลือโลกเพียงใด เป็นอันดับหนึ่งในชนรุ่นเยาว์แห่งสายคนเถื่อนมืดอย่างไร้ข้อกังขา
ถึงขั้นที่แม้แต่ราชันแห่งสายคนเถื่อนมืดยังเคยกล่าวว่า อาศัยเพียงบุคลิกของนายน้อย ก็เพียงพอจะตั้งตนเป็นใหญ่ยามมหาสงครามมาเยือนแล้ว!
ทว่าตอนนี้นายน้อยกลับพ่ายแพ้ แพ้อย่างน่าสังเวชเช่นนี้ เกือบมีอันตรายถึงแก่ชีวิต สิ่งนี้จะไม่ทำให้ชายชราตกใจได้อย่างไร
เรื่องพรรค์นี้หากแพร่กลับไปยังสายคนเถื่อนมืด จะต้องเกิดแรงสะเทือนยกใหญ่ครั้งหนึ่งเป็นแน่!
แม้จะเป็นการถูกสายเผ่าอื่นอีกแปดสายของเผ่าพ่อมดเถื่อนรู้เข้า ก็คงจะสั่นสะเทือนเลือนลั่นเช่นเดียวกัน!
พวกเขาสายคนเถื่อนมืด เป็นถึงสายที่ลึกลับและโดดเด่นที่สุดในบรรดาเก้าสาย ทว่าตอนนี้องค์ชายผู้มากพรสวรรค์ที่สุดแห่งสายคนเถื่อนมืดของพวกเขากลับเกือบจะถูกฆ่าตาย ใครเล่าจะไม่สั่นสะท้าน
เมื่อนึกถึงว่าหากครั้งนี้ตนมาช้าไปอีกนิด ชายชราก็หวาดหวั่นจนเหงื่อโซมกาย สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของเขายิ่งเหยเกมากขึ้นเรื่อยๆ แทบอดรนทนไม่ไหว อยากพุ่งเข้าไปฆ่าศัตรูคนนั้นโดยพลัน
“หมานจิ่ว เจ้ารู้ว่าจุดประสงค์ที่ข้ามาเคี่ยวกรำในสมรภูมิกระหายเลือดมานานหลายปี ไม่มีอะไรมากไปกว่าคิดอาศัยการเข่นฆ่า เหยียบย่างลงบนมกุฎมรรคาอย่างแท้จริง”
ชายเงาสีเทาสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เอ่ยวาจาเนิบนาบ “และในวันนี้ ข้าก็ได้เห็นแล้ว! ข้าได้สัมผัสความร้ายกาจของมกุฎมรรคาด้วยตัวเอง พลังระดับนั้น… อยู่เหนือจินตนาการอย่างสิ้นเชิง ดุจดั่งราชันแห่งระดับ ไร้ศัตรูในระดับเดียวกัน!”
กล่าวถึงตอนท้าย นัยน์ตาของเขาฉายแววลุกโชนออกมา “และสิ่งที่ข้าต้องการ ก็คือคู่ต่อสู้เช่นนี้ มีเพียงสังหารเขา จึงจะทำให้ข้าได้โอกาสเหยียบย่างบนปลายยอด!”
คู่ต่อสู้คนนั้นเป็นถึงมกุฎราชันแห่งระดับหยั่งสัจจะของเผ่ามนุษย์ผู้หนึ่งเชียว!
ชายชราเองก็ลอบสูดหายใจเย็นเยียบ เขาค่อนข้างตกใจ กี่ปีมาแล้วล้วนไม่เคยได้ยินว่าผู้แข็งแกร่งระดับนี้ถือกำเนิดในจักรวรรดิมาก่อน
ไฉนจู่ๆ วันนี้จึงโผล่ขึ้นมาคนหนึ่ง
ทันใดนั้นหัวใจของชายชราพลันบังเกิดความเสียใจอย่างรุนแรงวูบหนึ่ง หากรู้ก่อนแต่แรก เขายิ่งควรลงมือสังหารอีกฝ่ายโดยพลัน!
คนเช่นนี้หากผงาดขึ้นมา สำหรับทั้งเผ่าพ่อมดเถื่อนของพวกเขาแล้ว ย่อมเป็นหายนะยิ่งใหญ่อย่างที่สุด!
“หมานจิ่ว ข้าต้องการให้เจ้าทำสิ่งหนึ่ง”
ทันใดนั้นชายเงาสีเทาพลันเอ่ยปาก “ช่วยสืบข่าวคราวคนผู้นี้มาสักหน่อย ต้องละเอียดที่สุด ข้าจำเป็นต้องทำความเข้าใจคู่ต่อสู้คนนี้ให้รอบด้าน!”
ชายชราที่ถูกเรียกว่าหมานจิ่วกล่าวถาม “นายน้อย คนผู้นี้มีรูปร่างเป็นอย่างไร อายุเท่าใด มีลักษณะเฉพาะเจาะจงหรือไม่”
ชายเงาสีเทาครุ่นคิด อธิบายรูปลักษณ์ของหลินสวินหนึ่งรอบ จากนั้นจึงกล่าวว่า “น่าจะหาเขาพบได้ง่าย เพราะอายุของเขาจะต้องไม่เกินยี่สิบปีเป็นแน่ ยังเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง! หากคาดไม่ผิด เขาน่าจะเพิ่งมาถึงสมรภูมิกระหายเลือด”
เด็กหนุ่ม!
เหยียบย่างบนมกุฎมรรคาแห่งระดับหยั่งสัจจะ?
หัวใจของหมานจิ่วพลันไหวระริก สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อ่อนวัยเช่นนี้ ก็เหยียบย่างขอบเขตแห่งราชันเสียแล้ว สิ่งนี้เห็นได้ชัดว่าน่ากลัวยิ่งนัก!
“จำไว้ เจ้ามีหน้าที่แค่สืบหาข่าวสาร หากกล้าลงมือกับเขา ทำข้าเสียการใหญ่ ข้าจะไม่เอาเจ้าไว้แน่!”
ชายเงาสีเทาเอ่ยปากอย่างเย็นเยียบ สายตาจ้องหมานจิ่วเขม็ง มีกลิ่นอายที่มิอาจฝ่าฝืนประการหนึ่ง
เขารู้ถึงศักยภาพของหมานจิ่ว ขาข้างหนึ่งเหยียบย่างบนระดับ ‘ราชันเถื่อน’ แล้ว เรียกได้ว่าเป็นราชันเถื่อนครึ่งก้าวแล้ว ถ้าหากลงมือด้วยตัวเอง จะต้องสังหารเด็กหนุ่มคนนั้นได้อย่างแน่นอน
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ!
“บ่าวเข้าใจแล้ว”
หมานจิ่วรับบัญชา ต่อให้เขาไม่เห็นด้วย ก็ต้องทำตามอยู่ดี
การที่สามารถทำให้ราชันเถื่อนครึ่งก้าวอย่างเขาเป็นเช่นนี้ได้ แค่คิดก็รู้ได้ว่า ฐานะในสายคนเถื่อนมืดของชายเงาสีเทาคนนี้ทรงเกียรติและน่ายำเกรงเพียงใด
“โอกาสมาแล้ว… ครั้งนี้ ข้าต้องคว้าเอาไว้ให้ได้!”
ชายเงาสีเทาพึมพำ กลางนัยน์ตามีแววมุ่งมั่นวาบผ่านไป
……
ห่างออกไปหลายร้อยลี้
หลินสวินสีหน้าอึมครึม ภายในอกมีความไม่เต็มใจอย่างรุนแรง
ขาดเพียงก้าวเดียวก็จะฆ่าชายเงาสีเทาผู้นั้นได้แล้ว ทว่ากลับมีบุคคลน่ากลัวที่มาเยือนปุบปับทำเสียเรื่อง สิ่งนี้ทำให้หลินสวินอยากแช่งชักหักกระดูกอยู่บ้าง
‘กลิ่นอายน่าสะพรึงนั่นถึงจะอ่อนกว่าราชันระดับสังสารวัฏที่แท้จริง ทว่าก็ห่างกันไม่เท่าไร บุคคลเช่นนี้ กลัวแต่ว่าขาข้างหนึ่งจะเหยียบย่างบนระดับราชันแล้ว…’
หลินสวินเริ่มระวังตัวขึ้นอีก ในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ ยังมีบุคคลยิ่งใหญ่ที่เป็นรองเพียงราชันระดับสังสารวัฏดำรงอยู่ สิ่งนี้ยิ่งแสดงให้เห็นถึงอันตรายอย่างชัดแจ้ง
แต่หลินสวินเองก็รู้ดีว่า ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป บุคคลระดับนี้คงไม่ลงมืออย่างง่ายดาย ต่อให้ลงมือ คนที่จะต่อกรก็คงมีแต่บุคคลในระดับเดียวกับพวกเขาเท่านั้น
‘ฟ้าใกล้มืดแล้ว…’
ภายในใจของหลินสวินรู้สึกลนลานขึ้นมา ไม่กล้าคิดมาก รีบเร่งความเร็วมุ่งไปยังที่ตั้งของค่ายจักรวรรดิ
เมื่อรัตติกาลมาเยือน สมรภูมิกระหายเลือดจะน่ากลัวยิ่งกว่าตอนกลางวันเป็นสิบเป็นร้อยเท่า อาจมีอันตรายและเคราะห์สังหารซึ่งคาดเดาไม่ได้เป็นอักโข ไม่ว่าจะกองทัพศัตรู หรือผู้ฝึกปราณของทางฝั่งจักรวรรดิ ภายใต้สถานการณ์ทั่วไปนั้น น้อยครั้งมากที่เลือกลงมือในยามกลางคืน
นี่คือสิ่งที่จ้าวไท่ไหลกำชับมาเป็นพิเศษ
สวบ!
เงาร่างของหลินสวินไหววูบรุดหน้า ในมือจะเกิดเสียงดังครืดคราดออกมาเป็นครั้งคราว นั่นคือเสียงผลึกวิญญาณระดับสูงที่แตกเป็นผุยผงหลังจากที่พลังของพวกมันถูกดูดกลืนไป
การต่อสู้ดุเดือดเมื่อครู่ทำให้หลินสวินสิ้นเปลืองพลังกายไปมาก จำเป็นต้องเสริมบำรุงอย่างเร่งด่วน
เวลานี้ความเลวร้ายของสมรภูมิกระหายเลือดปรากฏออกมาแล้ว ไม่มีพลังวิญญาณเลยแม้แต่น้อย ได้แต่อาศัยผลึกวิญญาณและโอสถวิญญาณมาเสริมบำรุงเท่านั้น
สิ่งที่คอขาดบาดตายมากที่สุดคือ การฝึกปราณของหลินสวินนั้นทรงพลังแกร่งกล้าหาที่เปรียบไม่ได้ อาจสามารถทำให้เขาต่อสู้ได้ติดต่อกันเนิ่นนาน แต่ในขณะเดียวกัน หากหมายจะฟื้นฟูพลัง จำนวนผลึกวิญญาณที่เขาจำเป็นต้องเสียไปนั้น ก็เป็นสิ่งที่น่าตกใจมากด้วยเช่นกัน
อิงจากการคาดคะเนของหลินสวิน ผลึกวิญญาณระดับสูงที่เขาพกมาด้วย อย่างมากก็พอให้เขาใช้ได้เจ็ดวัน ถ้าหากเจอศึกเลวร้าย การเผาผลาญก็รังแต่จะไวยิ่งขึ้น
สิ่งเดียวที่ทำให้หลินสวินวางใจคือ ในค่ายของจักรวรรดิสามารถใช้ความดีความชอบทางทหารไปรับเอาวัตถุดิบที่สอดคล้องกันมาเสริมบำรุงได้
หนึ่งในนั้นก็รวมถึงผลึกวิญญาณและโอสถวิญญาณด้วย
ตลอดทาง ร่องรอยศัตรูที่พบเริ่มหายากขึ้นทุกที นี่มีนัยว่าห่างจากค่ายจักรวรรดิไม่ไกลแล้ว
ถึงเป็นดังนี้ก็ยังมีการต่อสู้เกิดขึ้นมากกว่าสิบครั้งระหว่างทาง แต่ล้วนเป็นสายลับและทหารแนวหน้าฝั่งเผ่าพ่อมดเถื่อน ไม่ได้มีบุคคลเก่งกาจอะไร ถูกหลินสวินเขี่ยทิ้งตลอดทาง ได้รับทรัพย์หลังศึกจำนวนไม่น้อยแบบเกินคาดทีเดียว
ไม่นานนักในที่สุดม่านรัตติกาลก็มาเยือน ระหว่างฟ้าดินพลันปกคลุมด้วยกลิ่นอายวังเวงที่กดดันผู้คนเอาไว้หนึ่งชั้น
เสียงลมต่างหยุดชะงัก กลิ่นเหม็นฉุนคาวเลือดกลางอากาศก็ราวกับควบแน่นและแข็งตัว มีความวิเวกวังเวงที่พาให้ผู้คนขนพองสยองเกล้าประการหนึ่ง น่ากลัวอย่างเงียบงัน
หลินสวินหมุนกายหันขวับ ภายใต้พลังจิตวิญญาณกว้างใหญ่ ทำให้เขาสัมผัสได้ว่ากลางฟ้าดินอันกว้างใหญ่ไพศาลที่อยู่ด้านหลังนั้น คล้ายจะปรากฏ ‘ความน่ากลัว’ ที่ไม่สามารถสอดส่องได้จำนวนมาก
‘ดังคาด สมรภูมิกระหายเลือด ยามกลางคืนถึงจะน่ากลัวที่สุดจริงๆ ด้วย…’
หลินสวินเองก็ใจสั่นระรัว เขาไม่มีลังเล สาวเท้าว่องไวเร่งรุดไปเบื้องหน้า
ด้านหน้ามีหอสังเกตการณ์หนึ่งหลัง ความสูงพันจั้ง บนนั้นมีคบเพลิงลุกโชนอยู่ ราวกับแสงไฟชั่วนิรันดร์ ภายใต้ความมืดมิดดูสะดุดตามากเป็นพิเศษ
มุ่งหน้าไกลต่อไปอีกหน่อยก็มองเห็นชัดเจน แสงไฟที่เรียงรายสลับฟันปลาดุจดั่งมังกรเพลิง ขดม้วนเป็นชั้นๆ อยู่บนแนวเขาทั้งแถบ ส่องสว่างท้องนภายามราตรี
ธงลายดอกจื่อเย่าแขวนบนหอสังเกตการณ์ ถูกแสงไฟส่องเจิดจ้า ดอกไม้แต่ละดอกประหนึ่งเคยผ่านการอาบเลือด เบ่งบานในยามราตรี มีกลิ่นอายแห่งความขึงขังอย่างหนึ่ง
ที่นี่… ก็คือค่ายของจักรวรรดิ!
แนวป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิ ในนั้นมีบุคคลชั้นยอดของจักรวรรดิประจำการอยู่ และยังมีกองกำลังผู้ฝึกปราณกระจายกันอยู่เป็นจำนวนมากอีกด้วย
พวกเขาถูกส่งมาประจำการที่นี่ ปกป้องแนวชายแดนจักรวรรดิที่อยู่เบื้องหลัง กรำศึกอยู่ที่นี่ เติบโตอยู่ในที่แห่งนี้
เมื่อมองเห็นคบเพลิง มองเห็นธงผืนนั้น มองเห็นกลุ่มอาคารสิ่งก่อสร้างในค่ายทหารที่ละลานตาเหมือนมังกรเพลิงนั่นแล้ว ภายในใจของหลินสวินก็หวนนึกถึงประโยคนั้นขึ้นมาอีกครา…
‘ดอกจื่อเย่าด้วยกระหายเลือดจึงมิพ่าย จักรวรรดิด้วยกรำศึกจึงอยู่ตราบนิรันดร์’!
……
“ผู้มาเยือนเป็นใคร!”
ระยะห่างยังคงไกลถึงพันจั้ง เสียงร้องตวาดเสียงหนึ่งดังก้องขึ้น ในขณะเดียวกันแสงสว่างสายหนึ่งพลันกวาดมา ส่องเงาร่างของหลินสวินท่ามกลางม่านรัตติกาล
หลินสวินหรี่ตาลงน้อยๆ ค้นพบทันทีว่ารอบหอสังเกตการณ์มีกองกำลังกระจายตัวคุ้มกันอย่างแน่นหนา ล้วนแข็งกร้าว มีกลิ่นอายดุดันและเข้มงวด
“เอ๋ เด็กหนุ่มคนหนึ่ง? ใครเป็นคนพาเจ้ามา ผู้ปกครองบ้านเจ้าอยู่ไหน ไฉนค่ำมืดป่านนี้แล้วเพิ่งมาถึงค่ายกัน” ทหารยามคนหนึ่งโผล่หน้าออกมาจากหอสังเกตการณ์ เอ่ยถามเสียงดัง
แต่ไม่นานสายตาของเขาพลันแข็งทื่อ สังเกตเห็นว่าบนแผ่นหลังของหลินสวินมีห่อสัมภาระขนาดมหึมาราวกับเนินเขาลูกหนึ่ง พาให้สั่นสะท้าน
“ลูกพี่ ในสัมภาระใบนั้นดูเหมือนล้วนเป็น…” ใครบางคนกระซิบ
“สวรรค์ ข้าได้กลิ่นคาวเลือดของพวกเศษเดนพ่อมดเถื่อน ข้าถึงขั้นสามารถจำแนกได้ว่ามีฟันของพวกเศษเดนสายคนเถื่อนทองคำ เนื้อหน้าอกของพวกเศษเดนสายคนเถื่อนอัคคี หัวไหล่ของพวกเศษเดนสายคนเถื่อนพสุธา… เต็มไปหมด!”
เสียงกระซิบกระซาบพึมพำระลอกหนึ่งดังลอยมาจากบริเวณใกล้เคียงหอสังเกตการณ์
แทบจะในเวลาเดียวกัน หลินสวินตระหนักได้อย่างว่องไวว่ามีสายตามากมายจับจ้องตนเองอย่างดุเดือดเลือดพล่าน โดยเฉพาะตอนที่ตระหนักถึงห่อสัมภาระบนแผ่นหลังของตน ต่างเจือความละโมบอยู่ไม่มากก็น้อยวูบหนึ่ง
“เจ้าหนู วางห่อสัมภาระบนหลังของเจ้าลง พวกเราจำเป็นต้องตรวจสอบเสียหน่อย มิเช่นนั้นก็ไม่สามารถปล่อยเจ้าเข้าไปในค่ายทหารได้”
บนหอสังเกตการณ์ หัวหน้าทหารยามคนนั้นเอ่ยปากเอ่ย
ในดวงตาของหลินสวินฉายแววเย็นเยียบวูบหนึ่ง บนหน้าปรากฏไอสังหารที่ยากสังเกตเห็นเสี้ยวหนึ่ง
สถานที่อันเป็นที่ตั้งประจำการของค่ายจักรวรรดิ เรียกได้ว่ามั่นคงแข็งแรง กองกำลังคุ้มกันแน่นหนา เพียงแต่สิ่งที่พวกเขาต้องระวังตัวคือเผ่าพ่อมดเถื่อน หาใช่ผู้ฝึกปราณในจักรวรรดิเช่นเขาไม่
และเช่นกัน หลินสวินเองก็ไม่เคยได้ยินว่า แม้แต่การผ่านประตูใหญ่ของค่ายก็ต้องตรวจสอบทรัพย์สินติดตัวด้วยเช่นกัน
แต่ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าทหารยามคนนั้น หรือทหารยามรอบข้าง ต่างเห็นชัดเจนว่าจงใจหาเรื่อง และความละโมบในแววตาของพวกเขาก็ทำให้หลินสวินตระหนักว่า อีกฝ่ายทำเช่นนี้ น่ากลัวว่าคงไม่มีเจตนาดีอะไร
นับตั้งแต่เข้าสู่สมรภูมิกระหายเลือดจนถึงตอนนี้ หลินสวินแทบจะเข่นฆ่ามาตลอดทาง เดิมทีคิดว่าเมื่อถึงค่ายแล้วจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ใครเลยจะคิด ดันเจอเข้ากับเรื่องพรรค์นี้เสียได้
สิ่งนี้ทำให้อารมณ์ของเขาชักเริ่มเลวร้ายในบัดดล
เขาไม่กลัวการสังหารศัตรู แต่กลับเดียดฉันท์การหาเรื่องและยั่วยุระหว่างผู้ฝึกปราณในค่ายเดียวกันอย่างที่สุด
หลินสวินยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงนั้น สิ่งนี้ทำให้หัวหน้าทหารยามคนนั้นไม่พอใจยิ่งนัก เด็กหนุ่มที่ขนยังไม่งอกเต็มที่คนหนึ่ง ทั้งยังตัวคนเดียว กลับกล้าไม่ฟังคำสั่ง สิ่งนี้ทำให้เขามีสีหน้าขรึมลง ถุยน้ำลายข้นออกมาหนึ่งคำ ตวาดว่า “ไอ้หนุ่ม ไฉนเจ้าไม่ฟังคำสั่ง มีเจตนาชั่วร้ายแอบแฝงใช่หรือไม่ ในยามวิกาล มีเพียงเจ้าตัวคนเดียวที่เอ้อระเหยลอยชายมาสาย เท่านี้ก็เห็นชัดว่ามันทะแม่งเกินไปแล้ว”
เขากล่าวพลางโบกมือเต็มแรง ออกคำสั่งว่า “ใครก็ได้ ไปพาเขาเข้ามา ข้ามีเหตุผลที่จะสงสัยเจ้าเด็กคนนี้ว่าเป็นสายลับที่พวกเศษเดนพ่อมดเถื่อนส่งมา จำเป็นต้องตรวจสอบโดยละเอียด!”
——