Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 693 ยั่วยุไม่ว่างเว้น
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 693 ยั่วยุไม่ว่างเว้น
หนึ่งชั่วยามให้หลัง
ยานสมบัติโรยตัวลงบนพื้นดิน ภายใต้การนำของหูทง ทุกคนเดินเรียงแถวออกมา
ในขณะเดียวกัน สมาชิกหยาดน้ำค้างดาราคนหนึ่งที่ล่ำสันปานภูผาซ่อนยานสมบัติในโกรกธารบริเวณนั้นอย่างคล่องไม้คล่องมือ
ภายในโกรกธารมีโขดหินและซากศพเน่าเปื่อยสะสมอยู่จำนวนมาก ยานสมบัติถูกซ่อนอยู่ในนั้น ดูแล้วเหมือนของเล่นหักพังที่ถูกทิ้งลำหนึ่ง ไม่สะดุดตาเอาเสียเลย
“มุ่งหน้าไปอีกหน่อนยก็ถึงพื้นที่อันตรายแล้ว อาจพบกับกองกำลังที่พวกเศษสวะเผ่าพ่อมดเถื่อนส่งออกมา ไม่เหมาะจะโดยสารนั่งยานสมบัติเหาะเหินแล้ว”
อาปี้อธิบายง่ายๆ
หลินสวินมองไปรอบบริเวณ ฟ้าดินมืดครึ้ม ปกคลุมด้วยฝุ่นควัน แทบไม่ต้องจดจ่อก็สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเหม็นฉุนคาวเลือดที่พัดเข้ามา พาให้ผู้คนกดดัน
แนวเขาเวิ้งว้าง รกร้างวังเวง ทุกหัวระแหงไร้หย่อมหญ้า ผืนดินคละคลุ้งด้วยฝุ่นควัน บนเวิ้งนภามีหมอกฝุ่นหนาแน่น ราวกับดินแดนที่ถูกทิ้งร้างจากสงคราม
ไม่มีการพูดมากความ ภายใต้การนำของหูทง ทุกคนพลันพุ่งปราดมุ่งหน้าไปตลอดทาง
หลินสวินสังเกตเห็นว่าสมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราเหล่านี้ ต่างก็เปลี่ยนท่าทีเป็นตื่นตัวและระวังระไว แต่ละคนดุจดั่งนักล่าหลักแหลมหฤโหด
บ้างก็สำรวจเส้นทางอยู่เบื้องหน้า บ้างก็สังเกตภูมิประเทศวิเคราะห์เส้นทาง ต่างฝ่ายต่างปฏิบัติหน้าที่ ร่วมมือกันอย่างสมัครสมานถึงที่สุด
แม้แต่หลิ่วเหวินที่เห็นว่าหลินสวินขัดตามาโดยตลอดก็ยังรักษาความนิ่งขรึม มือถือดาบคู่สีชาด ทั่วร่างเปี่ยมด้วยกลิ่นอายเคร่งครัด ราวกับธนูที่ขึงตึง พร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ
“หืม?”
ขณะที่สายตาของหลินสวินสังเกตเห็นอาวุธในมือของอาปี้ ก็อดอึ้งงันไม่ได้
นั่นคือค้อนยักษ์ที่อัปลักษณ์ผิดปกติ มีสีเทาเข้ม รอยสลักวิญญาณหนาแน่นไหววูบอยู่บนนั้น ปลดปล่อยกลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้นออกมา
ค้อนยักษ์เช่นนี้ ถูกผู้หญิงคนหนึ่งอย่างอาปี้ถือไว้ในมือราวกับถือเข็มเย็บปัก ให้ความขัดแย้งอย่างรุนแรงแก่ผู้พบเห็น
แต่สิ่งที่หลินสวินให้ความสนใจไม่เรื่องพวกนี้ ในฐานะเด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณผู้มีชื่อก้องจักรวรรดิ เขาแทบจะมองออกในแวบแรกว่าค้อนยักษ์ในมืออาปี้ชำรุดเสียหายมานานแล้ว กระบวนรอยสลักวิญญาณแน่นขนัดบนนั้นซีดจางพร่าเลือน พลังอำนาจลดทอนลงอย่างน้อยสี่ส่วน
“เป็นอะไรไป” อาปี้สังเกตเห็นสายตาของหลินสวิน
“ทำไมไม่เปลี่ยนอาวุธสักอันเล่า” หลินสวินถาม
ครั้นประโยคนี้เอ่ยออกมา พลันมีเสียงเหยียดหยามเสียงหนึ่งดังขึ้น “คุณชายนี่ก็ยังเป็นคุณชายอยู่ดี ไม่รู้ถึงความแร้นแค้นของชาวบ้าน เจ้าคิดว่าอาปี้ไม่อยากเปลี่ยนรึ เจ้าไม่เข้าใจเลยต่างหาก ในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ ผู้ฝึกปราณอิสระอย่างพวกเราอยากเปลี่ยนอาวุธที่ถนัดมือสักชิ้น ต้องใช้เหรียญกล้าหาญเป็นอักโข ไม่ใช่ว่าใครอยากเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้!”
ผู้พูดคือหยางสยง เป็นสมาชิกกลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราเช่นเดียวกัน เขามีรูปร่างล่ำสัน ผิวสีทองแดงเข้ม ที่ปลายคิ้วมีรอยดาบพาดลึกรอยหนึ่ง บุคลิกเหมือนอินทรี ดุกร้าวน่าสะพรึง
คนอื่นที่อยู่ใกล้ๆ ต่างก็เหยียดหยามและเยาะหยัน การแสดงออกเช่นนี้ของหลินสวินทำให้พวกเขายิ่งมั่นใจ ว่านี่คือพวกคุณชายลูกผู้ดีที่ถูกเลี้ยงมาอย่างประคบประหงม กินดีอยู่ดี ไม่ประสีประสาอะไรเลย
หลินสวินไม่ได้สนใจพวกเขา กล่าวกับอาปี้ว่า “สมบัติชิ้นนี้ของเจ้าใช้งานได้ไม่นานเดี๋ยวก็พังหมดแล้ว ถ้าเจ้าเชื่อข้า รอกลับถึงค่ายข้าจะช่วยเจ้าซ่อมแซมมันเอง”
“เจ้า?” อาปี้อึ้งงัน
คนอื่นๆ ได้ยินเข้าก็ไม่อาจหัวเราะเยาะได้แล้ว ทีท่าพลันเปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้นมา
ในตอนนี้พวกเขาตระหนักโดยฉับพลันว่าต่อให้คุณชายหลินคนนี้ไม่รู้อะไรเลย แต่อาศัยแค่ฐานะของเขา ขอเพียงอ้าปากก็สามารถได้รับการปฏิบัติสุดพิเศษอย่างที่พวกเขาไม่มีทางได้รับ!
เรื่องนี้สามารถดูออกไปจากท่าทีของหลูเหวินถิงแห่งกองพลาธิการ
คุณชายประเภทที่ทำให้หลูเหวินถิงยังต้องดูแลเอาใจใส่เช่นนี้ อย่าว่าแต่ช่วยอาปี้ซ่อมแซมสมบัติเลย ต่อให้ช่วยอาปี้เปลี่ยนสมบัติชิ้นใหม่ สำหรับเขาแล้ว ดูเหมือนจะไม่ใช่ปัญหาอะไรสักนิด!
“อาปี้ เจ้าไม่ได้ยินหรือ คุณชายหลินท่านนี้เอ่ยประโยคเดียว ก็สามารถทำให้นักสลักวิญญาณในกองยุทโธปกรณ์ช่วยเจ้าซ่อมอาวุธในมือได้อย่างสมบูรณ์”
หยางสยงกล่าวเหน็บแนม
คนอื่นๆ ต่างนิ่งเงียบ ความรู้สึกยิ่งซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งอิจฉาและจนปัญญา
ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ช่างไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เลยจริงๆ
คุณชายหลินคนนี้อาจไม่เอาไหน ไม่มีข้อดีสักจุด แต่เจ้าตัวมีฐานะพิเศษ เอ่ยหนึ่งประโยคตามอำเภอใจก็สามารถทำเรื่องที่พวกเขาพยายามสุดแรงเกิดยังทำไม่ได้ให้สำเร็จขึ้นมา
สิ่งนี้ทำให้ผู้คนเศร้าสลดและหดหู่ยิ่งนัก แต่ช่วยไม่ได้ นี่ก็คือสัจธรรม
เพียงแต่พวกเขาเข้าใจผิดแล้ว หลินสวินปฐมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่ง มีหรือจะต้องให้ผู้อื่นไปช่วยอาปี้ซ่อมแซมสมบัติ
นี่ไม่ใช่ว่าตบหน้าตัวเองอยู่หรือ
แต่หลินสวินก็ไม่ได้อธิบาย และเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายให้คนที่กีดกันและตั้งตนเป็นศัตรูพวกนี้ฟังด้วย แบบนั้นต่างอะไรกับการลดเกียรติตัวเอง
ไม่รออาปี้เอ่ยปาก หลิ่วเหวินพลันประชิดเข้ามาทันใด กล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม “ไม่จำเป็น รอกลับไปคราวนี้ ข้าจะช่วยอาปี้แลกอาวุธถมัดมือสักชิ้นเอง ไม่รบกวนคุณชายหลินอย่างเจ้าต้องกังวลใจไปหรอก!”
กล่าวเสร็จเขายังใช้สายตาเย็นยะเยือกจ้องหลินสวิน นี่คือคำเตือนและข่มขู่อันไร้เสียงอย่างหนึ่ง คล้ายกำลังบอกว่า หากเจ้ายังกล้ายุ่งกับอาปี้ ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!
หลินสวินหรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยคำ
อาปี้กลับมุ่นคิ้ว กล่าวอย่างเย็นชา “หลิ่วเหวิน ข้าเคยบอกตั้งกี่ครั้งแล้ว เรื่องของข้า ข้าจะเป็นคนจัดการเอง ไม่ต้องให้เจ้าก้าวก่าย!”
ประโยคเดียวทำให้ดวงหน้าหล่อเหลาของหลิ่วเหวินแดงซ่านขึ้นในบัดดล ดูอักอ่วนเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด ภายในใจคุด้วยไฟโกรธ เขาช่วยเหลือด้วยเจตนาดี กลับถูกอาปี้ปฏิเสธต่อหน้าธารกำนัล แทบจะเชิดหน้าไว้ไม่อยู่ในบัดดล
เพียงแต่เขาไม่กล้าบันดาลโทสะใส่อาปี้ จึงหันไประบายไฟโกรธใส่หลินสวินแทน และยิ่งเกลียดชังหลินสวินขึ้นทุกที
ในมุมมองของเขา ท่าทีที่อาปี้มีต่อตนเปลี่ยนไป ล้วนเป็นเพราะเจ้าหน้ามนลูกผู้ดีไม่เอาไหน ที่พาให้คนชิงชังคนนี้!
หลิ่วเหวินแค่นเสียงเย็นชา หมุนกายจากไป ก่อนจะไปยังใช้สายตาเย็นเยียบกวาดมองหวินสวินปราดหนึ่ง คล้ายกำลังบอกว่า ‘เจ้าคอยดูเถอะ!’
หลินสวินยิ้มน้อยๆ สีหน้าราบเรียบ เพียงแต่ในนัยน์ตาดำคู่นั้นของเขากลับลุ่มลึกเย็นชา ถูกยั่วยุหลายต่อหลายครั้ง คิดว่าเขาหลินสวินเป็นมะพลับนิ่มที่บีบกำได้ตามอำเภอใจจริงๆ หรือ
เช่นนั้นก็…
คอยดูต่อไปเถอะ!
“โกรธแล้วหรือ” อาปี้คล้ายสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
“โกรธคนที่ไม่สมควรโกรธหรือ ไม่คุ้มหรอก” หลินสวินกล่าวอย่างสบายๆ
“ทั้งที่โกรธอยู่แท้ๆ ยังปากแข็ง ข้าเคยบอกแล้วว่าจะคุ้มครองเจ้า จะไม่ยอมให้เจ้าถูกรังแกเป็นแน่ เจ้าวางใจเถอะ”
อาปี้ตบไหล่หลินสวิน ดูเหมือนกับพี่สาวกำลังปลอบขวัญน้องชายตัวเล็กไม่มีผิด ทำให้หลินสวินเป็นใบ้ในบัดดล
ฮูกๆ~
เสียงร้องแปลกประหลาดที่ดูลนลานระลอกหนึ่งดังขึ้นจากระยะไกล คล้ายกับเสียงร้องของนกฮูก
หูทงที่เป็นผู้นำพลันชะงักฝีเท้า นัยน์ตาฉายแววสังหาร “หนึ่งร้อยสามสิบหกลี้ข้างหน้า พบกองกำลังของพวกเศษสวะเผ่าพ่อมดเถื่อนหนึ่งขบวน มีสิบเก้าคน จอมพลังสิบสองคน จอมเวทหกคน มหาเวทหนึ่งคน!”
“อาปี้ เจ้าดูแลคุณชายหลินให้ดี คนอื่นตามข้ามาลงมือด้วยกัน เมื่อรวบตัวพวกมันได้ ก็จะได้รับเหรียญกล้าหาญชั้นสามเพิ่มอีกสี่อันด้วย!”
น้ำเสียงมุ่งพิฆาตมาดมั่น ทรงพลังก้องกังวาน
เห็นชัดว่าเสียงร้องแปลกๆ นั่นเป็นสัญญาณอย่างหนึ่ง ส่งออกมาจากสายสืบที่ส่งไปแนวหน้า
สวบๆๆ!
ฉับพลันนั้นทหารรับจ้างทั้งกลุ่มต่างรับคำสั่งอย่างเคร่งครัด ท่ามกลางความนิ่งเงียบมีจิตสังหารไร้รูปสายหนึ่ง ต่างพุ่งปราดไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว
ขบวนของพวกเขาเป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อเคลื่อนไหวก็ช่ำชองอย่างยิ่ง สามารถใช้คำว่า ‘ห้ำหั่นดุจสายลม รุกรานดั่งเปลวเพลิง’ มาสาธยาย
แม้แต่หลินสวินก็ยังมองตาค้าง ต่อให้ท่าทีที่คนพวกนี้ปฏิบัติต่อตนแสนย่ำแย่ แต่ยามตั้งใจสู้รบจริงจัง แต่ละคนล้วนเรียกได้ว่าเป็นพวกหลักแหลมชั้นยอด สัญชาตญาณต่อสู้แสนหฤโหดเช่นนั้น บางทีคงมีแต่ในสมรภูมิกระหายเลือดเท่านั้นจึงจะสามารถเคี่ยวกรำออกมาได้
“เจ้ารีบร้อนอะไร
เห็นหลินสวินคิดจะตามไปข้างหน้าเช่นกัน อาปี้พลันกลอกตา “หรือเจ้าคิดจะไปเข่นฆ่าด้วยตัวเองจริงๆ ไม่ได้ยินที่หัวหน้าพูดหรือไร อยู่ข้างๆ ข้าอย่างว่าง่ายก็พอแล้ว!”
หลินสวินลูบจมูก จนปัญญาเล็กน้อย พวกเขาคิดจะเอื้อความสบายให้ตนขึ้นมาจริงๆ หรือ
“เฮ้อ ยังไม่สำนักอีก เพื่อปกป้องเจ้าแล้ว แม้แต่ข้ายังไม่มีโอกาสไปฆ่าพวกเศษสวะเผ่าพ่อมดเถื่อนพวกนั้นด้วยตัวเอง ข้ายังไม่โกรธเลย เจ้าก็รู้จักพอเสียบ้าง”
อาปี้กล่าวพลางคว้าหมับเข้าที่แขนของหลินสวิน รั้งอยู่ด้านหลังขบวนห่างๆ
การต่อสู้ปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว
ดุเดือดยิ่งนัก ไม่มีพูดพล่ามเลยแม้แต่น้อย ทันทีที่ทั้งสองฝ่ายพบกัน การต่อสู้นองเลือดและเข้มขนฉากหนึ่งก็เปิดฉากขึ้นในทันที
สิ่งที่น่าเสียดายคือหลินสวินถูกปกป้องเอาไว้ ถูกอาปี้ลากมาซ่อนตัวอยู่ห่างๆ ได้แต่ชมการต่อสู้เท่านั้น
แต่หลินสวินกลับผ่อนคลาย สิ่งนี้ทำให้เขาสามารถสังเกตการเปลี่ยนแปลงของสนามรบทั้งหมดได้อย่างครอบคลุม
รายละเอียดการต่อสู้ของสมาชิกกลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราของพวกหูทง ก็ถูกหลินสวินจับจ้องเอาไว้โดยไม่พลาดแม้เพียงเสี้ยว
เยี่ยมยอด!
เพียงครู่เดียวเท่านั้น หลินสวินก็ได้ข้อสรุปออกมา
พวกหูทงเป็นกองกำลังเยี่ยมยอดขบวนหนึ่งอย่างแท้จริง ร่วมมือกันอย่างสมัครสมาน ฝีมือการต่อสู้หฤโหด แต่ละคนล้วนเรียกได้ว่าเป็นพวกมือฉมังเหี้ยมโหด
โดยเฉพาะหูทง ในฐานะมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง ความแข็งแกร่งในพลังต่อสู้ เมื่อเทียบกับพวกฉินเสวียนตู้ จั่วเป่าอิ๋งแล้ว แข็งแกร่งกว่าไม่ใช่แค่เพียงเล็กน้อย
สิ่งเดียวที่เทียบพวกฉินเสวียนตู้ไม่ติด บางทีอาจเป็นอาวุธในมือและอุปกรณ์บนตัวเท่านั้น เพราะเป็นเพียงสินค้าธรรมดาทั่วไป แทบไม่สามารถทำให้หูทงปลดปล่อยศักยภาพทั้งหมดของเขาออกมาได้
สิ่งนี้ก็เข้าใจได้ง่ายมาก พวกฉินเสวียนตู้ถือกำเนิดในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง ไม่ขาดแคลนสมบัติและทรัพยากรชั้นเลิศราคาแพงแม้แต่น้อย
แต่หูทงนั้นทำไม่ได้ เขาเป็นเพียงแค่ผู้นำกลุ่มทหารรับจ้างขบวนหนึ่งเท่านั้น ทั้งยังอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือด เส้นสนกลในและทุนทรัพย์ที่ครอบครองอยู่ล้วนมีจำกัด ไม่อาจเทียบเส้นสนกลในและทุนทรัพย์ของผู้ฝึกปราณในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงได้เลย
“หัวหน้าหูทงเป็นยอดฝีมือที่น่าทึ่งคนหนึ่ง” หลินสวินเอ่ยทอดถอนใจ เขานึกถึงจูเหล่าซานขึ้นมา พบว่าทั้งสองคนมีความคล้ายคลึงกันอย่างน่าประหลาด
เพียงแต่จูเหล่าซานเป็นคนนิ่งขรึมเกินไป ส่วนหูทงนั้นมีศักยภาพอย่างหนึ่งที่ผู้นำพึงมี
“หัวหน้าย่อมน่าทึ่งมากอยู่แล้ว ช่วงสี่ปีที่ข้าอยู่ในสมรภูมิกระหายเลือด เกือบจะสิ้นชีพไปตั้งเจ็ดครั้ง สุดท้ายล้วนถูกหัวหน้าช่วยชีวิตได้ทันท่วงที อีกอย่างไม่เพียงแต่ข้า คนอื่นๆ ในกลุ่มต่างได้รับการช่วยเหลือจากหัวหน้าไม่มากก็น้อยกันทั้งนั้น”
บนใบหน้าอาปี้ปรากฏแววชื่นชมจากก้นบึ้งหัวใจ
หลินสวินแย้มยิ้ม เขาเห็นท่าทางชื่นชมแบบนี้มามากแล้ว เพียงแต่ล้วนเป็นเขาถูกผู้อื่นชื่นชมก็เท่านั้น
ไม่นานการต่อสู้ก็สิ้นสุดลง พวกหูทงพิชิตชัยได้อย่างสมบูรณ์ มีสมาชิกไม่กี่คนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกันแล้ว ผลกำไรที่พวกเขาได้รับนั้นไม่เลวทีเดียว
หลังล้างบางศัตรู ทรัพย์หลังศึกที่ริบมาได้นั้นสามารถแลกเปลี่ยนเป็นเหรียญกล้าหาญชั้นสามได้สี่ชิ้น
“ครั้งนี้โชดดีใช้ได้เลย”
หยางสยง หลิ่วเหวินและคนอื่นๆ ต่างฉายแววปลื้มปิติ
เพียงแต่ในตอนนี้มีคนกล่าวถามขึ้นกะทันหัน “หัวหน้า เหรียญกล้าหาญของพวกเราในครั้งนี้ ต้องแบ่งให้คุณชายหลินคนนั้นส่วนหนึ่งด้วยหรือไม่”
ประโยคเดียวทำให้บรรยากาศแห่งความปลื้มปิติในคราแรกพลันอันตรธานลับไปในบัดดล ท่าทีของสมาชิกหยาดน้ำค้างดาราเหล่านั้นต่างแปรเปลี่ยนเป็นอึมครึม ทอดสายตามองไปทางหูทง
——