Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 698 การตื่นขึ้นของไร้แก่นสาร
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 698 การตื่นขึ้นของไร้แก่นสาร
ค่ายกลวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อน!
ค่ายกลใหญ่ที่ปรมาจารย์รอยสัญลักษณ์สายคนเถื่อนโบราณหลอมขึ้นเองกระบวนหนึ่ง รวบรวมพลังรอยสัญลักษณ์สามสิบหกรอยซึ่งเป็นวิชาตกทอดโบราณของเผ่าพ่อมดเถื่อน ใช้เลือดพิสุทธิ์ของเทพเถื่อนเป็นแหล่งพลังงาน เมื่อวางค่ายกลแล้ว ก็สามารถผนึกฟ้าดิน ตัดขาดกับสรรพสิ่งภายนอกได้
นี่เป็นค่ายกลต้องห้ามที่น่ากลัวอย่างยิ่งยวดกระบวนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ครั้งนี้หากไม่ใช่เพื่อขุดเอาสมบัติลี้ลับชิ้นหนึ่งที่นานๆ ทีจะปรากฏขึ้นในส่วนลึกของเหมืองแร่หุบเขาพยัคฆ์ พวกจวี้สวินก็จะไม่วางค่ายกลนี้ง่ายๆ
“เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเราให้โอกาสพวกเขาหนีแล้ว แต่หากพวกเขาติดอยู่ในค่ายกล… เหอะๆ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงโทษว่าโชคของพวกเขาไม่ดีเอง”
จวี้สวินเอ่ยปากอย่างเย็นชา
ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนอื่นก็เผยยิ้มบางๆ พวกเขาหวาดกลัวธนูวิญญาณไร้แก่นสารที่อยู่ในมือหลินสวินอย่างหาใดเทียบ หากกักขังพวกหลินสวินให้ตายโดยไม่ลงมือได้ พวกเขาย่อมยินดีถึงที่สุด
“คันธนูนั้น…” มีคนถาม
ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนอื่นล้วนสายตาวาวโรจน์ สุดท้ายจวี้สวินก็ยื่นคำขาดว่า “ใครชิงไปได้ก็ตกเป็นของผู้นั้น!”
ประโยคเดียวทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทเหล่านี้ต่างยิ่งอดรนทนไม่ไหวแล้ว
เพียงแต่ภาพที่พวกเขาคาดคิดไว้ไม่ได้ปรากฏขึ้น
ตู้ม!
ก็เห็นว่าพวกหลินสวินมาถึงหน้าค่ายกลใหญ่ที่ทางเข้าหุบเขาพยัคฆ์ ค่ายกลวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อนที่พวกเขาเชื่อมั่นอย่างยิ่งนั้น ถึงกับถูกหลินสวินใช้ฝ่ามือเดียวตบให้เป็นโพรงมหึมาโพรงหนึ่งราวเศษกระดาษ พร้อมกับเสียงโครมครามสั่นสะเทือนจนหูแทบดับระลอกหนึ่ง!
พวกจวี้สวินตกใจจนลูกตาแทบถลนออกมา ริมฝีปากล้วนเกร็งกระตุกอย่างรุนแรง แทบกัดลิ้นของตน
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร” บางคนคำรามเดือดดาล
“นี่เป็นถึงค่ายกลใหญ่ที่ปรมาจารย์รอยสัญลักษณ์สายคนเถื่อนโบราณวางขึ้นเองกับมือ ขนาดผู้แข็งแกร่งระดับราชันเถื่อนยังทลายได้ยาก ขะ เขาๆ… เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งอย่างเขา เหตุใดถึงทำได้ขนาดนี้”
ทุกคนตื่นตะลึงอ้าปากค้าง แทบจะคิดว่าตาฝาดแล้ว
ยอดฝีมือพ่อมดเถื่อนที่อยู่ใกล้กันนั้นก็ล้วนสับสนงงงวยอยู่เช่นนั้น นั่นเป็นถึงค่ายกลวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อนเชียวนะ เหตุใดถึงถูกฝ่ามือเดียวตบจนเป็นรูได้
“ทุกท่าน แล้วพบกันอีกวันหน้า!”
ที่ทางเข้าหุบเขาพยัคฆ์ หลินสวินผินหน้ามายิ้มบางๆ และประสานมือคารวะ จากนั้นก็นวยนาดจากไปพร้อมคนอื่นๆ
ค่ายกลวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อนอะไรกัน แม้รูปแบบพลังจะต่างกับศาสตร์สลักรอยวิญญาณมาก แต่ปริศนาของแก่นแห่งการวางรอยสัญลักษณ์กลับเชื่อมถึงกัน ในสายตาของปฐมาจารย์สลักวิญญาณเช่นหลินสวิน ค่ายกลวิญญาณนี้ช่างมีช่องโหว่มากมาย สามารถทำลายได้โดยง่าย
“น่าชังนัก!”
พวกจวี้สวินโมโหจนเส้นเลือดปูดโปน กระโดดเหยงราวถูกสายฟ้าฟาด ความไม่ยินยอมแรงกล้าบังเกิดขึ้นในจิตใจ ทำให้พวกเขาแทบอยากตามไปฉีกทึ้งหลินสวินทั้งเป็น
เห็นศัตรูจากไปอย่างผ่าเผยกับตา ความรู้สึกเช่นนั้นช่าง…ทรมานนัก!
…….
จนกระทั่งออกจากหุบเขาพยัคฆ์ พวกหูทงยังคงรู้สึกเหม่อลอยตัดขาดจากโลก ทำให้พวกเขารู้สึกเหนือจริง ไม่สงบใจยิ่ง
ส่วนสายตาที่พวกเขามองหลินสวินกลับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ไม่มีความชิงชังดูถูกอย่างแต่ก่อน แต่มีความประหลาดใจและหวั่นเกรงเพิ่มขึ้นมา
พวกเขาย่อมไม่อาจคาดคิดได้ว่า คุณชายที่ถูกพวกเขามองว่าเป็นลูกผู้ดีคนหนึ่ง เหตุใดในชั่วพริบตาเดียวจึงเปลี่ยนเป็นคนละคนได้
เมื่อนึกถึงท่วงท่าองอาจเหนือโลกา ที่หลินสวินอาศัยเพียงธนูคันเดียวก็สร้างความพรั่นพรึงให้กับทั้งหุบเขาได้ด้วยตัวคนเดียว พวกเขาก็จิตใจสั่นระริก เหม่อลอยไม่ว่างเว้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความรับรู้ที่พวกเขามีต่อหลินสวินก่อนหน้านี้ล้วนผิดหมด เจ้าหมอนี่ต่อให้เป็นลูกผู้ดีคนหนึ่ง ก็เป็นลูกผู้ดีที่ครอบครองพลังต่อสู้เย้ยฟ้า ผิดธรรมดาหาใครเปรียบ!
“เจ้า…”
อาปี้ต้องการจะพูดแต่ก็หยุดปากหลายรอบ ในที่สุดเมื่อรวบรวมความกล้ามากพอจะเอ่ยปาก กลับเห็นว่าไม่เหมาะสม แล้วพลันเงียบลง
เห็นได้ชัดว่านางเรียกหลินสวินว่า ‘เจ้าหน้ามน’ อย่างหยอกเย้าเหมือนแต่ก่อนได้ยากแล้ว
หลินสวินยิ้มให้ ไม่ได้พูดอะไรอีก
เวลานี้เขาไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนยามเผชิญหน้ากับกลุ่มศัตรูที่หุบเขาพยัคฆ์ กลับหน้านิ่วคิ้วขมวด สีหน้าออกจะกังวลใจ นำทุกคนวิ่งทะยานออกไปไม่ได้หยุดพักตลอดทาง
“หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าพวกนั้นต้องไม่ยอมรามือแน่ ใช้เวลาไม่นานเกรงว่าจะตามมาไล่ฆ่า” หลินสวินเอ่ยปากในทันใด
พวกหูทงอึ้งไป ทันใดนั้นทั้งร่างก็หวาดหวั่น สีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน
“ไม่ผิด พวกเขาเสียหายขนาดนี้ มีหรือจะกล้ำกลืนความโกรธลงได้ อีกทั้งที่พวกเขารวมตัวในหุบเขาพยัคฆ์ ก็เพื่อขุดเอาสมบัติบางอย่างภายในนั้น ย่อมไม่ยอมปล่อยให้พวกเราแพร่งพรายข่าวออกไป”
หูทงสูดหายใจลึก วิเคราะห์อย่างเยือกเย็น “หากข้าคาดไม่ผิด ในเมื่อพวกเขารวมตัวอยู่ที่หุบเขาพยัคฆ์โดยมีกำลังพลพร้อมสรรพแบบนี้ เช่นนั้นแล้ว เบื้องหลังพวกเขาต้องมีกำลังกองหนุนอยู่แน่! เพื่อฆ่าปิดปาก พวกเขาต้องเรียกรวมไพร่พลมาตามฆ่าพวกเรา”
หูทงเป็นคนที่กรำศึกในสมรภูมิกระหายเลือดนานปี ประสบการณ์มากมายเป็นสิ่งที่หลินสวินไม่อาจเทียบได้ จากการวิเคราะห์ครั้งนี้ของเขา ก็ดูออกถึงความคิดสุขุมรอบคอบของเจ้าตัวได้
คนอื่นๆ ก็ล้วนหน้าเปลี่ยนสี
ที่นี่อยู่ห่างไกลจากค่ายนัก ไม่อาจกลับไปได้ในเวลาอันสั้น หากถูกผู้แข็งแกร่งอย่างสวะพ่อมดเถื่อนตามฆ่า เช่นนั้นผลลัพธ์ก็รุนแรงเกินไป
หูทงนิ่วหน้าทอดถอนใจ “ปัญหาใหญ่เกินไป หุบเขาพยัคฆ์รัศมีราวพันลี้ ไม่มีที่ที่อย่างปลอดภัยเลยสักที่ นอกจากพวกเราจะสามารถพุ่งออกจากอาณาเขตนี้ในเวลาสั้นๆ หาไม่แล้ว…”
ยังไม่ทันพูดจบ แต่ความนัยนั้นเผยออกมาจนหมดสิ้นแล้ว
ทันใดนั้นจิตใจที่ยินดีปรีดาอยู่แต่เดิมของทุกคนก็เจื่อนลงอย่างรวดเร็ว แปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งอีกครั้ง
“ทำอย่างไรดี”
พวกเขาจิตใจสับสนยุ่งเหยิง
แม้กล่าวว่ากลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราผ่านศึกนองเลือดมากมายในสมรภูมิกระหายเลือด แต่นั่นก็เป็นศึกขนาดเล็ก ไม่อาจเทียบได้กับการประจันหน้าที่อันตรายตรงหน้าครั้งนี้
กระทั่งว่า พวกเขาถึงขั้นสงสัยว่ามีเพียงการเคลื่อนกองทัพผู้ฝึกปราณทางการของจักรวรรดิมา จึงอาจจะต้านทานสวะพ่อมดเถื่อนเหล่านั้นอย่างสมน้ำสมเนื้อ
“พวกเจ้าไปก่อน ข้าไปถ่วงพวกมันไว้”
หลินสวินนิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วพลันเอ่ยปากในทันใด ประโยคเดียวก็ทำให้ทุกคนพากันตกใจ
“ไม่ได้! ต้องไปด้วยกัน!”
หูทงพูดขึ้นอย่างไม่ลังเล ระหว่างทางก่อนหน้านี้ พวกเขาล้วนทำเรื่องที่น่าละอายต่ออีกฝ่ายมากมาย แต่ตอนนี้ที่พวกเขาเอาชีวิตรอดจากความตายมาได้ ก็เป็นเพราะเด็กหนุ่มลุกขึ้นมาต่อสู้ในคราววิกฤติเพียงคนเดียว
ในเวลาเช่นนี้ เขาจะให้เด็กหนุ่มเอาชีวิตเข้าแลกอยู่คนเดียวได้อย่างไร
“ใช่แล้ว แม้พลังของพวกเราจะไม่เท่าเจ้า แต่เมื่อต่อสู้ขึ้นมา พวกเราไม่เคยหวั่น!” คนอื่นๆ พากันเอ่ยปาก
ผลการต่อสู้อันแข็งแกร่งของหลินสวินทำให้ได้มาซึ่งความเคารพจากพวกเขา อีกทั้งด้วยความรู้สึกละอายใจ พวกเขาย่อมไม่อาจยอมให้เด็กหนุ่มไปเสี่ยงภัยคนเดียว
มีเพียงหลิ่วเหวินที่นิ่งเงียบชัดแจ้ง หรือควรพูดว่า ตั้งแต่ออกมาจากหุบเขาพยัคฆ์ เขาก็นิ่งเงียบมาตลอดทาง
สาเหตุก็ง่ายดายนัก พลังต่อสู้สะท้านฟ้าที่หลินสวินแสดงออกมากระทบกระเทือนจิตใจเขามากไป ทำให้เขาไม่อาจยอมรับได้จนถึงตอนนี้
สายตาหลินสวินกวาดมองใบหน้าของทุกคนทีละคน ในใจยินดียิ่งนักที่สามารถทำให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงท่าทีที่มีต่อตน ไม่เสียแรงที่ตนช่วยพวกเขาครั้งหนึ่ง
เพียงแต่…
เรื่องนี้เขาตัดสินใจไว้นานแล้ว จะไม่เปลี่ยนความคิดอีก
“ก็เอาตามนี้แหละ ข้าเคลื่อนไหวคนเดียวกลับจะอิสระขึ้นมาหน่อย ที่พวกเจ้าต้องทำก็คือรีบเร่งทำเวลากลับไปยังค่ายให้เร็วที่สุด”
หลินสวินสูดหายใจลึก วาจาเต็มไปด้วยนัยไม่ยอมให้บอกปัดได้ ไม่ว่าหูทงจะปรามอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนใจได้
ในที่สุดพวกเขาก็ทำได้เพียงยอมรับ
“จริงด้วย กลับไปแจ้งใต้เท้าหลูว่ารอข้าได้เหรียญกล้าหาญมากพอ จะกลับไปพบเขาที่ค่ายเอง”
หลินสวินเอ่ยกำชับ ก่อนที่เงาร่างจะหายวับออกไปอย่างรวดเร็ว จากไปอย่างปราดเปรียวว่องไวไม่ร่ำไรเลยสักนิด
……
“พวกเราติดหนี้ชีวิตคุณชายหลินครั้งหนึ่ง!”
หูทงมองหลินสวินจากไป สูดหายใจลึกแล้วพูดอย่างแน่วแน่ว่า “บุญคุณนี้ควรค่าให้พวกเราทดแทนด้วยชีวิต”
คนอื่นๆ ต่างพยักหน้า สีหน้าเคร่งขรึม พวกเขารู้ว่าถ้าวันนี้ไม่มีหลินสวิน พวกเขากลุ่มทหารรับจ้างหยาดน้ำค้างดาราก็คงสูญสิ้นไปแล้ว
มีแต่หลิ่วเหวินที่เห็นต่าง ตลอดทางเขานิ่งเงียบมานานเกินไปแล้ว เวลานี้ยามมองหลินสวินจากไป ในที่สุดก็อดใจไม่ไหวเอ่ยขึ้นว่า “ติดหนี้ชีวิตเขาครั้งหนึ่งหรือ ข้าไม่ได้ขอให้เขาช่วยข้าสักหน่อย!”
ชั่วพริบตาบรรยากาศกลายเป็นเงียบงันอยู่บ้าง หูทงสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาอึมครึมถึงที่สุด ดวงตาแผ่รังสียะเยือกเย็นออกมา จ้องไปที่หลิ่วเหวิน “เจ้ายังไม่ยอมอีกหรือ”
หลิ่วเหวินคอตั้งบ่าเอ่ยว่า “ข้ายอมรับว่าเขาเก่งกาจจริง แต่จะให้เปลี่ยนความคิดที่มีต่อเขาด้วยเรื่องเหล่านี้ ไม่มีทางหรอก!”
หากยังเก็บคนที่ไม่รู้บุญคุณ ไม่รู้ดีชั่ว ทั้งอคติและใจแคบเช่นนี้ไว้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วต้องเป็นภัยแน่!
“หลิ่วเหวิน ขอโทษหัวหน้าเร็วเข้า คำพูดเมื่อกี้ของเจ้าไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง ครั้งนี้ถ้าไม่ได้คุณชายหลิน พวกเราจะยังมีโอกาสรอดชีวิตได้หรือ”
หยางสยงก้าวขึ้นมาเกลี้ยกล่อม “อีกทั้งตอนนี้คุณชายหลินก็กำลังช่วยพวกเราช่วงชิงโอกาสหลบหนี นี่เป็นบุญคุณใหญ่เท่าฟ้าเชียวนะ จะทำเป็นไม่เห็นได้อย่างไร”
“จะขอโทษทำบ้าอะไร! ข้าหลิ่วเหวินคร้านจะไปประจบไอ้คุณชายหลินอะไรนั่น!” หลิ่วเหวินส่งเสียงหึหยัน
“เจ้า…”
หยางสยงโกรธจนหน้าดำหน้าแดง สมาชิกคนอื่นๆ ก็ต่างนิ่วหน้า คิดว่าท่าทีของหลิ่วเหวินออกจะไม่เหมาะและไม่รู้ดีชั่ว
“เฮอะ ตอนนี้ท่าทางหยิ่งผยองจองหองเสียจริง ตอนเผชิญหน้ากับการข่มขู่ของเสอเจิ้นคนนั้นอยู่ในหุบเขาพยัคฆ์ ใครกันที่ตกใจจนหน้าถอดสี แทบจะออกตัวคุกเข่าอยู่แทบเท้าเสอเจิ้นเสียเอง”
ทันใดนั้นอาปี้ร้องเฮอะเย็นชา ตอนนั้นนางเกือบถูกเสอเจิ้นฆ่าตาย และก็ในพริบตานั้นที่นางเห็นว่าหลิ่วเหวินหน้าถอดสี ท่าทางน่าเกลียดเหมือนจะคุกเข่าขอชีวิต
เดิมทีนางยังอดทนไว้ ไม่ต้องการพูดถึงเรื่องน่าเกลียดพรรค์นี้ แต่การแสดงออกของหลิ่วเหวินช่างเลวร้ายและไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ทำให้นางระเบิดแล้ว
ประโยคเดียวทำให้พวกหูทงหน้าเปลี่ยนสี สายตาที่มองไปยังหลิ่วเหวินไม่เหมือนเดิมแล้ว ต่างเจือความเคลือบแคลง
คุกเข่ายอมแพ้ให้เสอเจิ้นหรือ
นี่เท่ากับทรยศจักรวรรดิ ก้มหัวให้กับสวะต่างเผ่าเชียวนะ!
“หยุดพูดจาเหลวไหล! เจ้า… ใส่ร้ายป้ายสี!” หลิ่วเหวินโกรธจัดจนเลือดขึ้นหน้า ตะคอกกัดฟันกรอด
“พอแล้ว! ก่อนกลับไปที่ค่าย เรื่องพวกนี้อย่าได้ยกขึ้นมาอีก!” หูทงตวาด สีหน้าเขียวคล้ำ ทำให้ทุกคนหวาดหวั่นในทันใด
…..
ขณะเดียวกันเงาร่างหลินสวินหายตัวไหววูบ เดินหน้าไปไม่นานเขาก็กวาดสายตาไปรอบทิศ สุดท้ายถึงหยุดลงที่ทิวเขารกร้างแห้งแล้งแห่งหนึ่ง
ยามเพิ่งยืนได้มั่นคง สีหน้าเขาก็ซีดเผือดขึ้นมา หว่างคิ้วปรากฏความอ่อนแอที่ยากสังเกต
“เสี่ยงนัก ครั้งนี้เกือบเอาชีวิตไปทิ้ง…”
พอหลินสวินได้หย่อนก้นลงไปกับพื้น มือทั้งสองก็ถือผลึกวิญญาณชั้นสูงไว้ข้างละก้อน สูดลมหายใจลึก เริ่มหลอมเต็มกำลัง
ที่หุบเขาพยัคฆ์ก่อนหน้านี้ อย่ามองว่าเขามีอานุภาพเกรียงไกร อาศัยธนูคันเดียวก็ทำให้ทั้งหุบเขาหวาดกลัว ทว่ามีเพียงตัวเขาเองที่รู้ดีว่าทุกครั้งที่ยิงธนูออกไป ผลาญพลังของตนจนน่าตกใจขนาดไหน
หาไม่แล้วคงไม่อาจเกิดพลานุภาพที่น่ากริ่งเกรงเช่นนั้นได้!
ถึงขั้นที่ว่าหากตอนนั้นพวกจวี้สวินดื้อดึงกว่านั้นอีกหน่อย อย่างมากที่สุดเขาก็ยิงธนูได้อีกสองดอก ก็จะหมดแรงโดยสิ้นเชิง
แต่ว่า อาศัยอานุภาพของธนูวิญญาณไร้แก่นสาร กอปรกับพลังต่อสู้ของหลินสวินในตอนนี้ แม้จะใช้พลังถึงขีดสุด ก็ไม่น่าจะสามารถสังหารผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทที่กรำศึกมามากคนหนึ่งได้ด้วยธนูดอกเดียว
ทั้งหมดนี้ต้องมีสาเหตุ!
‘ตอนนั้นภายในคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารมีการตื่นขึ้นและมีเสียงสะท้อนบางอย่าง เกิดปรากฏการณ์ประหลาดและพลังที่ไม่เคยมีมาก่อน พลานุภาพแข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนอย่างมาก…’
‘หรือว่าจะเกี่ยวกับสมบัติลี้ลับที่อยู่ในส่วนลึกของหุบเขาพยัคฆ์ชิ้นนั้น’
หลินสวินรีบเสริมพลังกายไปพลาง จมอยู่ในภวังค์ความคิดไปพลาง
__