Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 703 ตื่นตระหนกชั่วขณะ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 703 ตื่นตระหนกชั่วขณะ
ค่ายหมายเลขเจ็ด
หลูเหวินถิงสีหน้าถมึงทึง ดวงตาทั้งสองดุจเปลวเพลิงร้อนระอุ คำราม “คนล่ะ แม่งเอ๊ย! ก่อนหน้านี้ข้าบอกว่าอย่างไร ไม่ว่าอย่างไรให้พวกเจ้าคุ้มครองคุณชายหลินให้ดี แต่ตอนนี้พวกเจ้ากลับหนีเอาตัวรอด! คิดว่าข้าหลูเหวินถิงไม่กล้าฆ่าคนจริงๆ หรือ”
น้ำเสียงราวฟ้าร้องกัมปนาทแทบพลิกตลบหลังคา ทหารยามทั้งหมดนอกห้องตกใจจนสั่นเทาไม่หยุด พวกเขาเพิ่งเคยเห็นหลูเหวินถิงมีโทสะถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก
ภายในห้องพวกหูทงสีหน้ากระอักกระอ่วนก้มหัว บนใบหน้าเจือแววละอาย
“หูทง เจ้าอยู่ก่อน คนอื่นไสหัวไปให้หมด!”
หลูเหวินถิงรู้ว่ามัวแต่โกรธเช่นนี้หาใช่หนทางไม่ เรื่องเร่งด่วนคือต้องรีบเข้าใจสถานการณ์แล้วกู้คืนแก้ไข
หลังพวกอาปี้และหยางสยงจากไป หูทงสูดหายใจลึกบอกเล่าเรื่องราวยามไปทำภารกิจที่หุบเขาพยัคฆ์ออกมาทั้งหมด
เฮือก!
เมื่อได้ยินว่าหลินสวินใช้ธนูยักษ์โจมตีผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทหลายคนบาดเจ็บสาหัสติดต่อกัน อานุภาพยิ่งใหญ่สะท้านขวัญ หลูเหวินถิงก็อดสูดหายใจเย็นเยียบไม่ได้
และเมื่อรู้ว่าเพื่อให้พวกหูทงมีเวลาหนี หลินสวินเลือกจะอยู่ต่อเพียงลำพัง สกัดกั้นผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนซึ่งไล่สังหารพวกนั้น หลูเหวินถิงก็หน้าเปลี่ยนสีไปอีกครา ใจพลันกระตุกวูบ
“มิน่าล่ะพวกเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ยังสามารถวิ่งกลับมาถึงค่ายได้…”
หลูเหวินถิงเหล่มองหูทงปราดหนึ่ง ก่อนหน้านี้เขาก็เห็นแล้วว่ายามพวกหูทงหวนกลับมา แต่ละคนล้วนบาดเจ็บหนักแทบทั้งสิ้น ทั่วร่างอาบโลหิต ที่สามารถมีชีวิตรอดกลับมายังค่ายได้ช่างเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง
แต่หลังทราบสาเหตุของเรื่องนี้ หลูเหวินถิงถึงตระหนักได้ว่าที่พวกหูทงสามารถหอบชีวิตกลับมาได้ เป็นเพราะมีหลินสวินสกัดกั้นศัตรูบนสมรภูมิให้ทั้งสิ้น!
หูทงสูดหายใจลึก กัดฟันคุกเข่าลงกับพื้นพลางกล่าว “ชีวิตนี้ของข้าเป็นคุณชายหลินมอบให้ กลับมาครานี้คิดขอความช่วยเหลือจากใต้เท้าหลู ขอท่านส่งตัวยอดฝีมือไปช่วยคุณชายหลิน หากเขาตายในสมรภูมิ ข้าคงอยู่ในความเสียใจละอายทรมานชั่วชีวิต!”
“พูดเรื่องซังกะบ๊วยพวกนี้ให้น้อยหน่อย ครั้งนี้หากคุณชายหลินเกิดเรื่อง อย่าว่าแต่เจ้ากับข้า แม้แต่แม่ทัพจ่างซุนล้วนต้องติดร่างแห!”
หลูเหวินถิงแค่นเสียงหนึ่งก่อนรีบเร่งจากไป
เขาร้อนใจดั่งเพลิงผลาญ รู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจล่าช้าเด็ดขาด หากว่าเจ้าหนูนั่นเกิดพลาดพลั้งอะไรขึ้น ด่านใต้เท้าราชันกระหายเลือดนั่นคงผ่านได้ยากแล้ว…
“แม้แต่แม่ทัพจ่างซุนล้วนพลอยติดร่างแห?”
หูทงหวาดผวา เพิ่งตระหนักว่าที่มาของคุณชายหลินนั่นดูเหมือนจะน่ากลัวยิ่งกว่าที่เขาจินตนาการ
หลังจากนั้นไม่นาน ในกระโจมแม่ทัพขั้นสูงสุดแห่งค่ายหมายเลขเจ็ดมีเสียงคำรามดั่งอสนีพิโรธดังออกมา “หลูเหวินถิง เจ้าเด็กนั่นมาวันแรก เจ้าก็หาเรื่องใหญ่มาให้ข้าแล้ว! เจ้านี่มันเป็นหัวหน้ากองพลาธิการจนปัญญาอ่อนแล้วรึ ใครใช้ให้เจ้าส่งเด็กนั่นไปโรมรันกลางสมรภูมิ! หา!”
ทั้งอาณาบริเวณทั่วค่ายหมายเลขเจ็ด ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดินับไม่ถ้วนต่างหยุดกระทำการในมือ ใจสั่นสะท้านอยู่บ้าง แม่ทัพจ่างซุนเป็นอะไรไป ทำไมถึงส่งเสียงโกรธแค้นราวอสนีบาตเช่นนี้
“ทหาร! ระดมพลขึ้นเรือรบดำเกิงเหินลำหนึ่งมุ่งหน้าไปหุบเขาพยัคฆ์พร้อมข้า! ใครแม่งกล้าล่าช้าเสียเวลา ข้าจะปลิดชีพพวกมัน!”
ไม่นานนักตามหลังเสียงคำรามสะท้านฟ้า เงาร่างสูงสง่าผ่าเผยของจ่างซุนเลี่ยทะลวงขึ้นเหนือเมฆ ราวควันสงคราม แผ้วพานวายุเมฆา
ทันใดนั้นทั้งค่ายต่างอึกทึกครึกโครม ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิมากมายถูกเรียกระดมพลอย่างรวดเร็ว ก้าวขึ้นเรือรบดำเกิงเหินขนาดใหญ่ของจักรวรรดิพร้อมจ่างซุนเลี่ย ไอสังหารพุ่งทะยานแผ่ซ่านทั้งค่าย
ผู้ฝึกปราณมากมายเห็นเหตุการณ์นี้กับตาตนเองล้วนตกตะลึงอ้าปากค้าง เป็นคนใหญ่คนโตที่ไหนกันแน่ ถึงกับทำแม่ทัพจ่างซุนรีบเร่งกระวนกระวายเช่นนี้
…
หุบเขาพยัคฆ์ ปลายสุดของอุโมงค์ใต้ดิน
“ศรนภาคราม…”
ยามหลินสวินใช้ศรเทพสีดำซึ่งหยั่งถึงในมือ จิตวิญญาณพลันสั่นสะท้านครู่หนึ่ง เกิดอาการเจ็บแปลบราวดาบระเบิด
ขณะเดียวกันภาพอันน่าหวาดกลัวหนึ่งปรากฏขึ้นในสมอง
ส่วนลึกของหมู่ดาวอันกว้างใหญ่ไพศาล ศรเทพสีดำดอกหนึ่งวาบกะพริบส่งเสียงตูม พลันมีดาวดวงหนึ่งแตกสลายกลายเป็นฝุ่นผง
พลังทำลายล้างชั่วพริบตานั้นทำเอาหลินสวินมือเท้าเย็นเยียบ หนังหัวชาไปหมด
ยิงดาวแตกระเบิด?
เกรงว่าคงมีแต่อริยะอุบัติบนโลก จึงจะสามารถครองพลานุภาพล้นฟ้าเช่นนี้กระมัง
ไม่รอหลินสวินได้ตอบสนอง ภาพประหลาดสะเทือนใต้หล้าอีกภาพหนึ่งปรากฏขึ้นอีก ก็เห็นส่วนลึกของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ปรากฏสัตว์ปีศาจใหญ่มหึมาที่แบกตำหนักสำริดตัวหนึ่ง
สัตว์ปีศาจข้ามผ่านห้วงอากาศพุ่งแหวกหมู่ดาว ตำหนักสำริดบนหลังมันอบอวลไอคลุมครือ มองเห็นไม่ชัดเจน
แต่แค่เพียงภาพนี้ก็ทำให้หลินสวินหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูกแล้ว นี่ช่างเหมือนตำนานเทพในสมัยบรรพกาล คาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง
ท้องฟ้าดารายิ่งใหญ่ไพศาลระดับใด กวาดมองตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ใครเล่าจะสามารถปีนขึ้นฟ้าเหนืออวกาศได้
แต่บัดนี้กลับมีสัตว์ปีศาจแบกตำหนักสำริดเดินทะลวงผ่านอยู่ภายใน ไอคลุมครือไร้ขอบเขต ไม่รู้ทิศทางไปและหนทางกลับของมัน!
ตูม!
ศรเทพสีดำนั้นพลันปรากฏอีกครั้ง คล้ายหมายจู่โจมทำลายตำหนักสำริดบนหลังสัตว์ปีศาจนั่น
แต่ท้ายที่สุดกลับถูกคทาหยกสมปรารถนาลึกลับเจิดจรัสด้ามหนึ่งสกัดกั้นอย่างแรง ชั่วขณะพลันระเบิดเป็นแสงศักดิ์สิทธิ์ชวนประหวั่นไร้ขอบเขต ซัดดวงดาวที่อยู่ใกล้เคียงให้ดับสลายโดยพร้อมเพรียง!
ภาพเหตุการณ์มาถึงตรงนี้ก็พลันเลือนหายไป
แต่หลินสวินกลับเหงื่อกาฬไหลอาบทั่วร่าง หวั่นหวาดอยู่ในใจ นั่นต้องมีพลังระดับใดจึงสามารถทำได้ถึงขั้นนี้?
คทาหยกสมปรารถนาลึกลับเจิดจรัสนั่นออกมาจากมือผู้ใด
ตำหนักสำริดซึ่งอบอวลไอคลุมครือจะถูกจู่โจมสลายหรือไม่
หลินสวินไม่รู้ ที่รู้เพียงอย่างเดียวคือ ศรเทพสีดำที่แข็งแกร่งไร้ผู้ต่อต้านซึ่งพุ่งทะลวงท้องฟ้าดาราประดุจไม่มีสิ่งใดทำลายไม่ได้นั้น บัดนี้กำลังอยู่ในมือตน
มันมีนามว่า ‘นภาคราม’!
เพียงแต่เทียบกับศรเทพสีดำซึ่งอยู่ในภาพนิมิตแล้ว ศรนภาครามเวลานี้กลับเห็นดูเรียบง่ายไม่หรูหรา มีกลิ่นอายสงบนิ่งประการหนึ่ง
“ธนูวิญญาณไร้แก่นสาร ศรนภาคราม ระหว่างสองสิ่งต้องมีความสัมพันธ์บางอย่าง มิฉะนั้นก่อนหน้าคงไม่มีทางเกิดการตอบสนองอย่างตื่นตัวและขานรับกันเช่นนั้น…”
หลินสวินพึมพำ
ธนูวิญญาณไร้แก่นสารทั้งคันสร้างจากโครงกระดูกขาว สายธนูแดงก่ำดั่งโลหิต ส่วนศรนภาครามดอกนี้กลับดำสนิทดุจรัตติกาล มีเพียงขนลูกศรและปลายศรที่เจือสีแดงคล้ำ เรียบง่ายและไม่หรูหรา
หนึ่งขาวหนึ่งดำล้วนแต้มแต่งสีโลหิตอยู่ภายใน เห็นได้ว่าแปลกประหลาดและเร้นลับ
ก่อนหน้านี้ตอนได้รับธนูวิญญาณไร้แก่นสาร หลินสวินก็สงสัยว่าธนูนี้น่าจะมีลูกศรเข้าชุดกัน บางทีอาจสามารถสำแดงอานุภาพของมันออกมาถึงขีดสุด
และบัดนี้ศรนภาครามปรากฏ ทำให้หลินสวินแน่ใจการคาดเดาของตน ตอนนี้เขาถึงขั้นร้อนอกร้อนใจอยากลองอยู่บ้าง ว่าเมื่อใช้ธนูวิญญาณไร้แก่นสารกับศรนภาครามแล้ว จะสำแดงพลานุภาพน่าหวาดกลัวระดับใด
ท้ายที่สุดหลินสวินยังคงยับยั้งแรงกระตุ้นเช่นนี้ หากเขาคำนวณไม่ผิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหุบเขาพยัคฆ์คงดึงดูดผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนมากมายให้รีบรุดมา ตอนนี้เป็นเวลาเร่งด่วน ไม่สามารถล่าช้าอีกต่อไป
หลินสวินหวนกลับเส้นทางเดิม และดึงดาบหักที่เสียบบนผนังหินตรงกลางทาง
ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ดาบหักได้สูบพลังเหล็กดาราจรัสสลายซึ่งอยู่บนผนังหินใกล้เคียงจนแห้งเกือบหมด
เพียงแต่ที่ทำให้หลินสวินผิดหวังอยู่บ้างคือ ดาบหักไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน อย่างมากก็แค่เพิ่มความรู้สึกของ ‘ความสะอาดผุดผ่อง’ ที่ดูเป็นจริงกว่าแต่ก่อน ประกายดาราที่อบอวลออกมาบริสุทธิ์กว่าเดิมบ้างเล็กน้อย
ที่ควรค่าให้เรียกว่าน่าแปลกใจหนึ่งเดียว อาจเป็นบนพื้นผิวของดาบหักปรากฏลายมรรคปริศนาเลือนรางส่วนหนึ่งต่อเนื่องเป็นสาย คล้ายมีคล้ายไม่มี ซ่อนอยู่อย่างเลือนราง หากไม่สังเกตโดยละเอียดยากที่จะสังเกตเห็น
แต่เมื่อหลินสวินลองใช้พลังจิตวิญญาณหยั่งรู้ลายมรรคปริศนาเหล่านั้น กลับไม่สามารถใช้การได้เช่นเดียวกัน มันเลือนรางซ่อนเร้นเกินไป ทำให้เขาไม่อาจหยั่งรู้ได้
‘หากรอให้ดาบหักสูบพลังจนเพียงพอ บางทีทั้งหมดนี้อาจเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมกระมัง…’
หลินสวินคล้ายขบคิดใคร่ครวญ
…
ขณะที่หลินสวินถือห่อสัมภาระที่มีทรัพย์หลังศึกเต็มแน่นสามใบ สะพายธนูวิญญาณไร้แก่นสาร มือถือศรนภาครามหวนกลับไปตามทางเข้าเหมือง ทันใดนั้นนัยน์ตาพลันหรี่ลง
พริบตาเดียวเขาสังเกตเห็นกลิ่นอายทรงพลังมากมายกำลังมุ่งหน้ามาทางหุบเขาพยัคฆ์จากทั่วทุกสารทิศ ไม่ปิดบังอำพรางแม้แต่น้อย ไม่ต้องสัมผัสอย่างถ้วนถี่ก็สามารถสังเกตเห็นได้อย่างสิ้นเชิง
สวบ!
หลินสวินเงาร่างวาบไหว เท้าใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็ง ทั้งตัวเสมือนเงาวูบหนึ่งพลันหายไปจากจุดเดิม พุ่งทะยานไปนอกหุบเขาพยัคฆ์
“เร็ว!”
“เจ้าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นั่นช่างเป็นสุนัขกล้าคับฟ้า ถึงกับกล้ากลับมา ครั้งนี้ไม่เอามันไว้แน่!”
“น่าแค้นนัก! ก่อนหน้านี้อีกนิดเดียวก็สามารถฆ่าผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิพวกนั้นได้ กลับถูกเหตุไม่คาดฝันเช่นนี้มารบกวน ไม่อาจไม่เร่งกลับมา หากไอ้เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นั่นถูกข้าพบ จะต้องถลกหนังมันแน่!”
เสียงด่าทอเป็นพรวนดังกึกก้องตรงทางเข้าหุบเขาพยัคฆ์ ไม่ช้าเงาร่างมากมายก็พุ่งเข้ามาในค่ายกลรอยวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อน
ในนั้นมีจินอู้และเฟิงคุนผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสองคน ข้างกายพวกเขายังติดตามมาด้วยผู้แข็งแกร่งอื่นส่วนหนึ่ง พลังต่างไม่ด้อยไปกว่าพวกเขาทั้งสอง
เห็นชัดว่าล้วนเป็นบุคคลผู้แข็งแกร่งที่มาสนับสนุน!
ยามพวกเขาก้าวเข้ามาในหุบเขาพยัคฆ์ก็เห็นว่าบนพื้นทั่วทุกที่ล้วนเกลื่อนกลาด เต็มไปด้วยซากศพและแอ่งโลหิต ภาพอันน่าอเนจอนาถนั้นกระตุ้นจนพวกเขาต่างบันดาลโทสะก่นด่าสาบแช่งไม่หยุด
เพียงแต่พวกเขาไม่สังเกตสักนิด ว่าขณะที่พวกเขาเข้าสู่หุบเขาพยัคฆ์ มีเงาร่างประหนึ่งว่างเปล่าเงาหนึ่งวูบไหวแผ่วเบา ออกไปจากค่ายกลรอยวิญญาณพ่อมดโลหิตเถื่อน มุ่งไปนอกหุบเขาพยัคฆ์
เงาร่างนั้นคือหลินสวิน
‘อันตรายนัก! อีกนิดเดียวคงถูกขังอยู่ด้านในแล้ว’ หลินสวินลอบเป่าปากโล่งอก
ทว่าไม่ทันที่เขาจะหนีไปสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาไม่สนใจสิ่งอื่นใด เงาร่างพลันวูบไหวซุกซ่อนในเงามืดใต้เนินเขาเตี้ยลูกหนึ่งในละแวกใกล้เคียง โคจร ‘ไอซวนหนี’ เต็มกำลัง กลิ่นอายทั่วสรรพางค์กายรวมถึงห่อสัมภาระต่างถูกปิดกั้นในพริบตา เสมือนอยู่ดีๆ ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
สวบ!
เกือบจะเวลาเดียวกัน เงามืดหนึ่งวาบปรากฏ ร่างชราผอมบางผิวดำเสมือนภูตผีคนหนึ่งปรากฏตัวยังตำแหน่งที่หลินสวินเคยอยู่
‘เป็นเขา!’
นัยน์ตาหลินสวินพลันหดรัด เขาจำฐานะของฝ่ายตรงข้ามได้
เมื่อวานยามมาถึงสมรภูมิกระหายเลือด เขาเคยเกือบสังหาร ‘ชายเงาสีเทา’ ราชนิกุลคนเถื่อนมืดคนหนึ่ง แต่ในตอนท้ายกลับถูกพลังน่าหวาดกลัวสายหนึ่งมาขัดขวาง
และบัดนี้ หลินสวินสัมผัสได้ถึงพลังน่าหวาดกลัวเช่นนี้อีกครั้งจากร่างชายชราที่มาเยือนกะทันหันคนนี้!
‘ผู้อยู่ในระดับกึ่งราชันคนหนึ่ง… ดูท่าเผ่าพ่อมดเถื่อนคงเอาจริงแล้ว น่าเสียดาย พวกเขาทุ่มเทสุดแรงกายแรงใจหมายชิงศรนภาคราม ซึ่งบัดนี้ได้ตกอยู่ในมือข้าแล้ว…’
หลินสวินพยายามทำตนเองให้นิ่งสงบ เขารู้ว่าวิกฤติยังไม่คลี่คลาย
“หืม?”
ชายชราร่างผอมยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม คล้ายกังขาอยู่บ้าง สายตากวาดมองโดยรอบครู่หนึ่ง เขาราวสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
ทว่าท้ายที่สุดเขาพลันส่ายหัว มุ่งตรงเข้าสู่หุบเขาพยัคฆ์
…………