Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 705 อานุภาพแห่งหนึ่งศร
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 705 อานุภาพแห่งหนึ่งศร
พริบตาที่ศรแห่งนภาครามถูกดึงง้างด้วยธนูวิญญาณไร้แก่นสาร พลังภายในร่างหลินสวินทั้งมวลประดุจวาฬกลืนวารี ถาโถมสู่กลางธนูอย่างบ้าคลั่ง
หลินสวินมีความรู้สึกปานร่างกายถูกทำให้ว่างเปล่าในพริบตา
ในระดับหยั่งสัจจะที่เขาอยู่ หากกล่าวถึงความแข็งแกร่งของพลัง ล้วนเพียงพอให้โดดเด่นในโลกหน้า ถึงขั้นสามารถทำให้มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติอับอายที่ไม่อาจเทียบชั้นได้
แต่บัดนี้แค่ง้างธนูเดียวก็สูบพลังเขาเกือบหมด นี่ทำให้ตัวหลินสวินเองก็อดแปลกใจไม่ได้
ทว่าลูกศรอยู่บนสายแล้ว เหตุใดจึงยังไม่ยิง
หลินสวินแทบจะกัดฟันกรอด ใช้กำลังทุกสัดส่วน ท้ายที่สุดในตอนที่เขาจวนจะยืนหยัดไม่อยู่ ธนูวิญญาณไร้แก่นสารก็ถูกง้างเต็มที่!
ปึง!
ทันทีที่ศรแห่งนภาครามยิงออกมา เสียงหวือดั่งสัทครรลองมหามรรคดังก้องขึ้น กลางฟ้าดินปรากฏลักษณ์ประหลาดชวนประหวั่นที่ธารดาราระเบิดแหลก สรรพสิ่งดับสลาย
และรอบๆ ตัวธนู อาทิตย์จมดิ่ง กาทองร้องร่ำ เป็นภาพอันที่สะเทือนใต้หล้าและพาให้ผู้คนตื่นตระหนก!
ผืนดิน ห้วงอากาศ หินผาละแวกใกล้เคียง… ล้วนจมสู่การทำลายล้างในชั่วพริบตา กลายเป็นเสียงกัมปนาทวุ่นวาย คล้ายหมายดึงทึ้งสรรพสิ่งสู่ความว่างเปล่า ดับสลายให้สิ้นซาก
ภาพนั้นชวนสะพรึงเกินไป
ลูกศรเพียงอันเดียว
ฟ้าดินกลับถูกอานุภาพของมันช่วงชิง!
…
ไม่ดีแน่!
หมานจิ่วซึ่งสังเกตเห็นท่าไม่ดีแต่แรกก็ตระหนกจนหนังหัวแทบระเบิด สัญชาตญาณทำให้เงาร่างของเขาวาบไหว หลบหนีไปจากห้วงอากาศราวกับเงาดำ เพียงพริบตาเดียวก็ห่างไปหลายพันจั้ง เร็วจนไม่อาจคาดคิด
ในฐานะที่เป็นราชันกึ่งระดับคนหนึ่ง สำหรับชายชราที่ฝ่าฝันภยันตรายในภูเขาดาบทะเลเพลิงมาไม่รู้กี่นานเท่าไหร่ หมานจิ่วรู้สึกถึงความอันตรายถึงชีวิตเช่นนี้เป็นครั้งแรก
น่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว!
ทำให้จิตวิญญาณเขาสั่นสะท้าน จิตใจโงนเงนไม่มั่นคง แทบไม่กล้าเชื่อ บนโลกนี้ทำไมมีพลังน่าพรั่นพรึงเช่นนี้
แม้เผชิญหน้าราชันที่แท้จริง หมานจิ่วยังไม่เคยรู้ซึ้งหวาดผวาและกลัวเกรงเช่นนี้มาก่อน
หนี!
ก่อนหน้าเขายังกระสันอยากได้ธนูวิญญาณไร้แก่นสารหาใดเปรียบ หมายไขว่คว้ามาครอบครอง ยามนี้เขาคิดแค่อยากหนีไปให้ไกลเท่าที่ไกลได้!
‘ธนูคันหนึ่ง ศรดอกหนึ่ง แต่ละชิ้นน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ หรือว่านี่คือสมบัติคู่หนึ่งรึ’
‘เด็กนี่ต้องฆ่าให้ได้ ไม่อาจปล่อยไว้เด็ดขาด!’
‘โดยเฉพาะธนูกับศรในมือเขา ยิ่งไม่อาจให้ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิครอบครอง!’
ความคิดของหมานจิ่วเตลิดเปิดเปิง
เพียงแต่เขาพลันรู้สึกไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง ทิวทัศน์เบื้องหน้าจู่ๆ เปลี่ยนเป็นมืดสลัว ขณะเดียวกันเขายังได้ยินคลื่นเสียงสนั่นน่าหวาดกลัวหนึ่ง
ผลัวะ!
ราวกับบางอย่างระเบิดออก ทิวทัศน์ตรงหน้าเปี่ยมแสงโลหิต
ประสบการณ์โรมรันกรำศึกหลายปีทำให้หมานจิ่วตระหนักได้ตั้งแต่แวบแรก ว่านี่คือเสียงเคลื่อนไหวที่ร่างกายถูกจู่โจมสังหารระเบิดแหลก
ทว่า…
ทำไมมันดูแปลกพิกล
ฉับพลันนั้นความเจ็บปวดแสนสาหัสเหลือบรรยายผุดขึ้นในจิตใต้สำนึก ท้ายที่สุดหมานจิ่วถึงพบว่า แท้จริงแล้วทุกอย่างที่สังเกตเห็นเมื่อครู่ล้วนเกิดขึ้นกับตนเอง
ร่างกายของตนถูกจู่โจมสังหารระเบิดแหลก!
หมานจิ่วงุนงงพูดไม่ออกทันที ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ เพราะอะไรความตายถึงจู่โจมฉับพลันเช่นนี้
ผลลัพธ์นี้เป็นสิ่งที่หมานจิ่วไม่เคยคาดการณ์มาก่อน!
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ทันได้ตอบสนอง ไม่ทันได้รับรู้ ไม่ทันได้สังเกตเห็นอะไร ความตายก็มาถึงอย่างกะทันหันเช่นนี้!
‘นี่รึพลังแห่งยอดอาวุธศักดิ์สิทธิ์…’ การรับรู้สุดท้ายของหมานจิ่ว คือมองเห็นลูกศรดอกหนึ่ง
สีดำประดุจรัตติกาล เรียบง่ายและไม่หรูหรา ชั่วพริบตาก็หายไป ดูลึกลับและยากคาดเดาถึงเพียงนั้น…
…
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก
ไกลออกไป ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวททั้งหมดกำลังไล่ตามมาด้วยท่าทีเหิมเกริมน่ากลัว แต่ละคนสีหน้าเปี่ยมความตื่นเต้นดีใจและไอสังหาร
พ่อมดเถื่อนมือฉมังขบวนแล้วขบวนเล่ารอบทิศกำลังพุ่งล้อมมาทางนี้ ราวตาข่ายยักษ์ตีกรอบ เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นเหมือนพรานล่าเหยื่อ
แต่ทว่าพริบตาที่หลินสวินปล่อยศรแห่งนภาครามดอกนั้น การเคลื่อนไหวทั้งมวลของพวกเขาต่างหยุดชะงัก ถูกเสียงชวนประหวั่นนั้นสะเทือนสยบ
จากนั้นภาพที่ทำเอาพวกเขายากลืมเลือนชั่วชีวิตก็ปรากฏในครรลองสายตา…
ศรดอกหนึ่งแหวกห้วงอากาศดุจเคลื่อนย้ายผ่านความว่างเปล่า พุ่งใส่หมานจิ่วผู้มีปราณระดับกึ่งราชันอย่างฉับพลัน!
แค่เพียงศรเดียว!
พริบตานั้นไม่ว่าเฟิงคุน จินอู้ ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนอื่น หรือกำลังพลพ่อมดเถื่อนมือฉมังที่อยู่ใกล้ๆ ต่างตะลึงงันอยู่ตรงนั้น หัวสมองว่างเปล่า
นั่นคือหมานจิ่วเชียวนะ!
บุคคลที่เท้าข้างหนึ่งก้าวเข้าสู่ระดับราชันเถื่อน ในเผ่าพ่อมดเถื่อนล้วนเรียกได้ว่าเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ปลายยอด
แต่เขากลับต้านศรเดียวนี้ไม่อยู่!
ถูกสังหารตายคาที่ ณ ตรงนั้น ร่างกายแตกละเอียดเป็นหยาดโลหิต ย้อมห้วงอากาศเป็นสีชาด น่าสลดจนพาให้คนสิ้นหวัง!
“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้…”
“เป็นลูกศรที่น่ากลัวยิ่งนัก!”
“ไม่…!”
ครู่ใหญ่ บรรยากาศที่กดดันเงียบงันก็ถูกเสียงอื้ออึงอึกทึกเข้ามาแทนที่ บนหน้าผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความตระหนก งุนงง โศกเศร้า และไม่อยากเชื่อ
รวมถึงผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทพวกนั้นด้วยที่สีหน้าสลับเปลี่ยนไปมา ในใจสั่นสะท้าน ทั่วร่างสั่นเทาไม่หยุด
ระดับกึ่งราชันเชียวนะ!
ทั้งยังเป็นผู้อาวุโสชั้นยอดของสายคนเถื่อนมืด มาถูกฆ่าเช่นนี้หรือ
ภาพนี้สะเทือนใต้หล้าเกินไป ไม่ว่าใครที่พบเห็นต่างเกิดความหนาวเยือกในใจ ขวัญหนีดีฝ่อ
ถึงอย่างไรใครเล่าจะคาดคิด ว่ามือสังหารเป็นแค่เพียงเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง รวมถึงใช้แค่ธนูกับลูกศรดอกเดียว
ความกลัวแผ่ขยายออกไปราวกับน้ำหลากไร้รูป ลุกลามทั่วบริเวณ สายตาทั้งหมดที่มองมายังหลินสวินล้วนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เจือความหวาดกลัวอย่างสุดซึ้ง
เด็กหนุ่มคนนี้เคยมือใช้ธนูยักษ์กระดูกขาวนั่นคันเดียว สร้างความสะเทือนให้ทุกผู้คนในหุบเขาพยัคฆ์ด้วยตัวคนเดียว แล้วพาผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิทั้งหมดจากไปอย่างราบรื่น
และเป็นเด็กหนุ่มคนนี้ที่จู่ๆ ก็วกกลับมาหุบเขาพยัคฆ์ เข่นฆ่าผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนไปไม่รู้เท่าไหร่ พาให้ซากศพเกลื่อนพื้น แอ่งเลือดเหลือคณา
และยามนี้ เขาใช้ธนูกับลูกศรดอกเดียวฆ่าราชันกึ่งระดับหมานจิ่วภายใต้สายตาทุกคน!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ใครยังจะไม่หวาดกลัว ไม่หวาดผวา
ภายในใจผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนเหล่านี้ หลินสวินในเวลานี้เสมือนเทพมารหนุ่มเผ่ามนุษย์ที่ชวนให้สั่นสะท้าน
“ทุกคนอย่าตื่นตระหนก!”
ทันใดนั้นเสียงตวาดลุ่มลึกหนึ่งดังขึ้น เป็นเฟิงคุนที่เอ่ยปาก เขาสังเกตเห็นว่ากองกำลังฝ่ายพวกเขากำลังใจลดฮวบถดถอย นี่ไม่ใช่เรื่องดี
“ลูกศรเมื่อครู่นั่นทำให้เด็กนี่สูญเสียพลังทั้งหมดไปแล้ว เขาในเวลานี้เป็นแค่ธนูแกร่งหมดแรงบินเท่านั้น สะกิดนิดเดียวก็ล้ม!”
น้ำเสียงของเฟิงคุนดังก้องไปทั่วบริเวณราวอสนีบาต “ไม่เห็นรึไง ตอนนี้เขาไม่มีแรงจะหนีแล้ว!”
ฉับพลันผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนมากมายได้สติจากความหวาดหวั่น และพบว่าเป็นจริงดังว่า ด้วยเด็กหนุ่มซึ่งอยู่ห่างไปหยุดยืนอยู่กับที่ สีหน้าซีดขาว หากมองอย่างถี่ถ้วนจะเห็นว่าสองมือเขากำลังสั่นเล็กน้อย
หากเขายังมีแรงเหลือ ทำไมถึงละทิ้งโอกาสดีที่สุดในการหลบหนีไปในยามนี้เล่า
เมื่อตระหนักถึงจุดนี้ ความหวาดกลัวในใจผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวททั้งหมดต่างลดน้อยลงไปมาก เมื่อมองไปยังหลินสวินอีกครั้ง สีหน้าก็เจือไอสังหารสายหนึ่ง
เด็กนี่ไม่อาจปล่อยไว้เด็ดขาด!
ไม่ฉวยโอกาสนี้ฆ่าเขาทิ้งซะ ในสมรภูมิกระหายเลือดหลังจากนี้ เกรงว่าคงมีแต่ราชันเถื่อนที่แท้จริงออกโรงจึงจะสามารถฆ่ามันได้
ที่สำคัญที่สุดคือคันธนูและศรดอกนั้นพลิกฟ้าและน่าหวาดกลัวเกินไป หากไม่แย่งชิงกลับมา สำหรับพวกเขาเผ่าพ่อมดเถื่อน คือเรื่องร้ายไม่ใช่เรื่องดีแน่
บรรยากาศเปลี่ยนไปแล้ว!
หลินสวินสังเกตเห็นอย่างแจ่มแจ้ง เขาคาดการณ์อยู่ก่อนแล้ว อาศัยเพียงการโจมตีเมื่อครู่นั่นอาจสามารถสร้างความสั่นสะเทือนให้ศัตรูทั้งหมดได้ แต่ขอแค่อีกฝ่ายใส่ใจหน่อยจะต้องพบว่าสภาพร่างกายของตนถึงขอบเขตที่พลังแห้งเหือดแล้ว
นี่คือสาเหตุที่หลินสวินหยุดยืนอยู่ที่เดิม ไม่หนีจากไป
ช่วยไม่ได้ พลังภายในร่างเขาทั้งหมดถูกลูกศรเมื่อครู่สูบไปจนหมด ไม่มีความสามารถให้หนีแต่แรก
กล่าวได้ว่าสถานการณ์ของเขาตอนนี้ เลวร้ายถึงขั้นที่ไม่อาจย่ำแย่ไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
ทว่าบนใบหน้าหลินสวินในยามนี้ยังคงสุขุมเยือกเย็นยิ่ง เขาเผชิญหน้ากับสายตาหยั่งเชิง เคลือบแคลง และไอสังหารเยียบเย็นสายแล้วสายเล่าจากรอบด้าน ริมฝีปากเพียงพูดออกมาแค่ประโยคเดียว…
“ศรจงมา!”
น้ำเสียงราบเรียบแต่ประหนึ่งเป็นบัญชาที่ไม่อาจขัดขืน ก็ได้ยินเสียงชิ้งหนึ่ง ไกลออกไปแสงทมิฬสายหนึ่งพลันแล่นปราดมาถึง ส่งเสียงวู้มแล้วหมุนลอยอยู่บนฝ่ามือหลินสวิน
นั่นคือศรแห่งนภาคราม สีของมันเข้มลึกราวรัตติกาลนิรันดร์ ปลายศรย้อมแสงโลหิตแดงก่ำ ดูไปแล้วไม่มีอะไรแตกต่าง
แต่แรงกดดันมหาศาลซึ่งแผ่จากตัวศร กลับบีบอัดจนห้วงอากาศเกิดระลอกคลื่นกระเพื่อมไหว
ฉับพลันทุกคนตรงนั้นหน้าเปลี่ยนสี
ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทบางส่วนซึ่งกระเหี้ยนกระหือรือ บัดนี้นัยน์ตาพลันหดรัด เผยความหวาดกลัวและประหลาดใจสงสัยอย่างสุดซึ้ง
หรือเจ้าเด็กนี่ยังเหลือพลังต่อสู้อยู่
ทั่วบริเวณเปลี่ยนเป็นเงียบงันใหม่อีกครั้ง ตื่นตระหนกแล้ว อานุภาพศรแห่งนภาครามเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งถ้วนทั่ว แม้แต่ราชันกึ่งระดับยังหนีไม่พ้น บัดนี้ใครยังจะกล้าไปหยั่งเชิงเป็นคนแรกเล่า
อานุภาพแห่งศรเดียว ยามนี้สำแดงให้เห็นจนถึงแก่น!
แต่แม้หวาดกลัว บรรดาผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อน ณ ที่นั้นกลับไม่มีสักคนที่เลือกถอยร่น เห็นชัดว่าพวกเขาต่างรอคอย อาจพูดว่ากำลังแคลงใจว่าหลินสวินใกล้จะยืนหยัดไม่อยู่แล้วใช่หรือไม่
“ทำไม พวกเจ้าเผ่าพ่อมดเถื่อนต่างเป็นพวกขี้ขลาดตาขาวรึ แม้แต่ความกล้าเข้ามาประลองก็ยังไม่มี?”
หลินสวินเอ่ยเยาะ เสียงไม่ดังแต่กลับทำเอาสีหน้าเหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนตรงนั้นต่างเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้โดยพลัน
“หึ! หากเจ้ามีพลังจะสู้ เหตุใดจึงยืนอยู่ไม่ขยับ” เฟิงคุนแค่นเสียง “หรือควรพูดว่า ตอนนี้เจ้าแค่เสแสร้ง แท้จริงแล้วเกือบยืนไม่อยู่แล้วดีเล่า”
หลินสวินกล่าวอย่างสบายอารมณ์ “พูดมากเช่นนั้นไปทำไม เจ้าก็เข้ามาลองด้วยตัวเองสิ”
เฟิงคุนนัยน์ตาหรี่ลง จู่ๆ ก็สั่งทหารพ่อมดเถื่อนส่วนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ “ไป ฆ่าเจ้าเด็กนี่ซะ มันก็แค่แสร้งทำ ไม่ต้องกังวล”
ทหารพ่อมดเถื่อนพวกนั้นต่างหน้าเปลี่ยนสี ในใจแอบร้องร่ำ พวกเขาถูกทำขวัญเสียอยู่ก่อนแล้ว ไม่คิดอยากไปหยั่งเชิงแต่แรก ผลลัพธ์นั้นย่อมไม่อาจคาดเดา
แต่พวกเขาไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่ง พลันกัดฟันกรอดพุ่งทะยานเข้าหาหลินสวินที่อยู่ห่างไป
ฟุ่บๆๆ!
ทว่าไม่รอให้พวกเขาเข้าใกล้ พลันมีแสงดำราวขนวัวเล็กละเอียดเส้นหนึ่งพุ่งออกจากปลายนิ้วหลินสวิน ทะยานใส่ร่างทหารพ่อมดเถื่อนเหล่านั้นก่อนเลือนหายไป
ต่อมาก็เห็นพวกเขาแต่ละคนเปล่งเสียงร้องทุรนทุราย ล้มลงกับพื้นดังสนั่น เห็นได้อย่างชัดเจนว่ากายหยาบและพลังชีวิตของพวกเขายังคงอยู่ แต่จิตวิญญาณกลับหายไปแล้ว
หนอนกินเทพ!
หนอนประหลาดบรรพกาลซึ่งถูกหลินสวินผนึกไว้ในห้วงนิมิตมาตลอดเหล่านี้ ในที่สุดเวลานี้ก็ถูกส่งลงสมรภูมิ
เฮือก!
ทุกคนตรงนั้นสูดหายใจเย็นเยียบต่อเนื่องเป็นระลอก ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนทั้งหมดตาลีตาลานอย่างสิ้นเชิงแล้ว ผลลัพธ์นี้แสดงออกมาอย่างแจ่มชัดโดยไม่ต้องสงสัย เด็กหนุ่มนั่นคล้ายว่าจะไม่ได้แสร้งทำ แต่เขายังมีพลังต่อสู้อยู่จริงๆ!
………………