Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 709 โดนดูถูกเข้าแล้ว
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 709 โดนดูถูกเข้าแล้ว
“อยากให้เจ้าหนูนี่เป็นผู้ช่วยของข้าหรือ? เหอะๆ เป็นไปไม่ได้!”
ครั้งแรกที่หลินสวินมารายงานตัวที่กองยุทโธปกรณ์ก็ถูกคัดค้านทันที
คนพูดคือปรมาจารย์อิง เป็นบุคคลที่มีบารมีสูงส่งในค่ายหมายเลขเจ็ด คำพูดมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือมาก กลุ่มนักสลักวิญญาณของกองยุทโธปกรณ์ล้วนฟังคำสั่งของปรมาจารย์อิง
พร้อมกันนั้นเขาก็เป็นผู้รับผิดชอบกองยุทโธปกรณ์
ตอนนี้ปรมาจารย์อิงนั่งอยู่หลังโต๊ะ ดวงตาทั้งคู่หรี่ลงเล็กน้อย อ่านม้วนตำราในมือด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ไม่เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ คร้านจะสนใจหลินสวินที่ยืนอยู่
กลุ่มนักสลักวิญญาณที่อยู่บริเวณนั้นต่างกอดอกดูความครึกครื้น มองหลินสวินด้วยสีหน้านึกสนุกราวกับเป็นการเย้ยหยัน
และนอกกองยุทโธปกรณ์ ผู้ฝึกปราณที่ได้ยินข่าวแล้วตามมาต่างก็อึ้งไม่หยุด ปรมาจารย์อิงไม่ไว้หน้ากันเกินไปแล้ว ปฏิเสธตรงๆ โดยไม่อ้อมค้อมเลยสักนิด
คุณชายหลินนั่นเป็นเด็กหนุ่มผู้กล้าที่ฆ่าราชันกึ่งระดับด้วยธนูเดียวเชียวนะ แต่กลับถูกปรมาจารย์อิงปฏิเสธ ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงแน่
ทว่าพอลองคิดดูให้ละเอียดผู้ฝึกปราณเหล่านี้ก็เข้าใจ ปรมาจารย์อิงเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณมากประสบการณ์คนหนึ่ง ประจำการอยู่ที่ค่ายหมายเลขเจ็ดมานานปี หลายปีมานี้ช่วยซ่อมอาวุธและอุปกรณ์ในมือผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ได้รับความเคารพนับถือและสนับสนุนอย่างมาก
ด้วยฐานะและตำแหน่งของปรมาจารย์อิง ก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าคุณชายหลินจริงๆ
บรรยากาศชะงักงันไปชั่วขณะ
หลูเหวินถิงที่พาหลินสวินมาตอนนี้ดูอึดอัดมาก เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าปรมาจารย์อิงจะปฏิเสธอย่างง่ายๆ และหยาบคายขนาดนี้ ทำให้เขาวางหน้าไม่ถูกอยู่บ้าง
หลูเหวินถิงกระแอมทีหนึ่งแล้วพูดว่า “ปรมาจารย์อิง แค่ตำแหน่งผู้ช่วยเท่านั้น ข้ารับรองว่าด้วยความสามารถของคุณชายหลินต้องสามารถทำได้แน่ และจะไม่รบกวนระบบการทำงานตามปกติของกองยุทโธปกรณ์เด็ดขาด”
“หึ!” ปรมาจารย์อิงแค่นเสียงขึ้นจมูก คร้านจะเงยหน้าสนใจ
สายตามากมายขนาดนี้จ้องมองอยู่แต่กลับถูกคนชักสีหน้าใส่ ทำให้หลูเหวินถิงก็อายจนเคืองไม่น้อย ใบหน้าร้อนผ่าว
แต่หลินสวินกลับนิ่งสงบเอามือไพล่หลัง มองสภาพแวดล้อมรอบๆ กองยุทโธปกรณ์อย่างสนใจ เหมือนทุกอย่างไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา ดูสงบเยือกเย็นและผ่อนคลายอย่างที่สุด
เพียงแต่บรรยากาศกลับดูอึดอัดและแข็งทื่อมาก
นอกกองยุทโธปกรณ์ ผู้ฝึกปราณที่ได้ยินข่าวแล้วตามมามากขึ้นเรื่อยๆ ต่างสงสัยว่าเหตุใดเด็กหนุ่มผู้กล้าคนนี้ถึงได้มารับตำแหน่งที่กองยุทโธปกรณ์ อีกทั้งยังมาเป็นผู้ช่วยของปรมาจารย์อิง เรื่องนี้ดูเหลวไหลอย่างไม่ต้องสงสัย และดึงดูดความอยากรู้ของผู้คนอย่างยิ่ง
แต่พอเห็นว่าทันทีที่เขามาถึง ก็ถูกปฏิเสธหน้าหงายไม่ให้เข้าประตู ผู้ฝึกปราณเหล่านี้ต่างก็อดยิ้มเยาะไม่ได้
ในค่ายหมายเลขเจ็ด เกรงว่าคงมีแค่ผู้อาวุโสบารมีสูงส่งอย่างปรมาจารย์อิงเท่านั้นที่ไม่เกรงกลัวอะไรเลยเช่นนี้
นี่ก็คือความมั่นใจ ไม่จำนนและไม่ทำตาม
“อิงสิงคง!”
หลูเหวินถิงเหมือนโมโหแล้ว เรียกชื่ออีกฝ่ายตรงๆ “เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญและได้รับการอนุมัติจากแม่ทัพจ่างซุนด้วยตัวเอง เจ้าทำเช่นนี้จะดื้อรั้นไปหน่อยหรือเปล่า”
ปรมาจารย์อิงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น จ้องหลูเหวินถิงด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ข้าดื้อรั้นงั้นหรือ เจ้าให้เด็กที่ขนยังขึ้นไม่ครบด้วยซ้ำมาเป็นผู้ช่วยของข้า ก็เป็นการหาเรื่องให้ข้าไม่ใช่หรือ”
“หาเรื่องอะไรกัน” หลูเหวินถิงร้อนรนเคืองโกรธ รู้สึกว่าตาเฒ่านี่ช่างไม่ยอมฟังใครเลยจริงๆ หัวแข็งอย่างกับลา
ปรมาจารย์อิงพูดอย่างราบเรียบ “อย่าเพ้อเจ้อ อยากให้ข้าตอบตกลงก็ได้ เช่นนั้นก็ให้เขามาเป็นผู้ช่วยของเขา ส่วนข้าจะออกจากกองยุทโธปกรณ์เอง!”
นักสลักวิญญาณคนอื่นๆ ในที่นั้นตกใจจนหน้าซีด หากกองยุทโธปกรณ์ขาดปรมาจารย์อิงก็เท่ากับสูญเสียจิตวิญญาณ!
“ไม่ได้เด็ดขาด!” พวกเขาต่างห้าม
แม้แต่กลุ่มผู้ฝึกปราณที่ดูความครึกครื้นอยู่หน้าประตูยังแตกตื่นไม่น้อย ถ้าปรมาจารย์อิงจากไป ต่อไปใครจะช่วยซ่อมอาวุธและอุปกรณ์ให้ผู้ฝึกปราณอย่างพวกเขาเล่า
คราวนี้หลูเหวินถิงเองก็ลังเลขึ้นมาแล้ว สีหน้าอึมครึมสับสน ความจริงทีแรกเขาก็คัดค้านการมารับตำแหน่งที่กองยุทโธปกรณ์ของคุณชายหลินอย่างมาก
เพียงแต่ตอนนี้เขารับปากไปแล้ว แต่กลับถูกปรมาจารย์อิงปฏิเสธต่อหน้า นี่ทำให้เขาหงุดหงิดและอับอายอยู่บ้าง
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาพยายามอย่างมากที่จะคว้าโอกาสให้เด็กหนุ่ม เพียงแต่หลังจากปรมาจารย์อิงแสดงท่าทีปฏิเสธขนาดนี้ หลูเหวินถิงเองก็อยากยอมแพ้ขึ้นมาทันที
หากเพียงเพื่อเด็กหนุ่มคนเดียว ต้องบีบให้ปรมาจารย์อิงต้องจากไป นั่นก็ถือว่าได้ไม่คุ้มเสีย
“ไม่งั้น… พวกเราเปลี่ยนตำแหน่งสักหน่อย?” หลูเหวินถิงถามเด็กหนุ่มข้างกาย
แต่กลับเห็นอีกฝ่ายยิ้ม “ไม่เปลี่ยน ถ้าแม้แต่ตำแหน่งผู้ช่วยนักสลักวิญญาณคนหนึ่งยังเป็นไม่ได้ เช่นนั้นต่อไปข้าคงไม่มีหน้ากลับจักรวรรดิแล้ว”
ล้อเล่นหรือเปล่า เขาเป็นถึงปฐมาจารย์สลักวิญญาณที่อายุน้อยที่สุดในจักรวรรดิ ทั้งยังเคยหลอมชุดศึกสลักวิญญาณที่แท้จริงมาแล้ว ถ้ามีใครรู้ว่าเขาถูกปฏิเสธไม่ให้แม้แต่ตำแหน่งผู้ช่วยนักสลักวิญญาณ คงกลายเป็นเรื่องน่าขันนัก
เพียงแต่คำพูดนี้ของเขาเมื่อเข้าหูคนอื่นๆ แล้วกลับดูเย่อหยิ่งและเสียดหูมาก พลันมีนักสลักวิญญาณจำนวนไม่น้อยแค่นเสียงอย่างเย้ยหยัน
“เหอะๆ เจ้าคิดว่าฆ่าราชันกึ่งระดับคนหนึ่งได้แล้วจะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจจริงๆ หรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่ารอยสลักวิญญาณคืออะไร”
“พ่อหนุ่ม พลังต่อสู้ของเจ้าอาจจะน่าทึ่ง พรสวรรค์ไร้เทียมทาน แต่ใช่ว่าเจ้าจะสามารถดำรงตำแหน่งนี้ได้ สำรวมตนหน่อยเถอะ!”
“หากจะดื้อดึงไม่ยอมรับฟังก็รีบออกไปเถอะ”
เหล่าผู้ฝึกปราณนอกกองยุทโธปกรณ์เองก็ทนไม่ไหวต่างเปิดปากตะโกนว่า “คุณชายหลิน ไม่ได้ก็ช่างเถอะ สิ่งที่ท่านถนัดที่สุดคือการต่อสู้และฆ่าศัตรู ไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้จริงๆ”
ส่วนปรมาจารย์อิงหรี่ตาอ่านม้วนตำราในมือ ท่าทางดูผ่อนคลายคร้านจะสนใจหลินสวิน
ความรู้สึกแปลกประหลาดและไม่เข้าท่าพลุ่งพล่านขึ้นในใจหลินสวิน ถ้าภาพนี้ถูกเหล่านักสลักวิญญาณในจักรวรรดิเห็นเข้า พวกเขาจะคิดอย่างไร
และหากวันนี้ตนจากไปเช่นนี้ ต่อไปเมื่อเรื่องนี้แพร่ออกไป ก็จะกลายเป็นจุดด่างพร้อยที่ลบไม่ออก
“อาปี้ เอาอาวุธในมือเจ้ามาให้ข้า” หลินสวินเหลือบตามองพร้อมกวักมือให้อาปี้ที่อยู่นอกกองยุทโธปกรณ์
“หา?”
อาปี้งุนงงเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าเด็กหนุ่มจะทำอะไร ทว่าด้วยความรู้สึกสนับสนุนสหาย หลังจากนิ่งอึ้งไปนางก็ยื่นกระบี่เหล็กนิลในมือให้
หลินสวินเองก็อึ้งอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะนึกขึ้นได้ว่า ค้อนยักษ์ที่อาปี้มีในตอนแรกถูกทำลายไปยามต่อสู้ในหุบเขาพยัคฆ์แล้ว
“ช่างเถอะ ข้าช่วยเจ้าหลอมกระบี่นี่ซ้ำอีกครั้งแล้วกัน”
หลินสวินถือกระบี่เหล็กนิลขึ้นมาดูคร่าวๆ ก็มีเค้าร่างในใจแล้ว
“อะไรนะ เจ้า… เจ้าบอกว่าจะหลอมกระบี่ซ้ำอีกครั้งหรือ” นักสลักวิญญาณคนหนึ่งร้องออกมา แทบจะคิดว่าหูฟาดไปแล้ว
คนอื่นๆ เองก็ตะลึง หลอมสมบัติซ้ำอีกครั้งหรือ สำหรับนักสลักวิญญาณเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง
ถึงอย่างไรสมบัติก็เป็นรูปเป็นร่างมาแล้ว กระบวนรอยสลักวิญญาณภายในก็มั่นคงอย่างสิ้นเชิงแล้ว ถ้าอยากหลอมซ้ำอีกครั้ง จะต้องเสียแรงกายแรงใจไปมาก ถึงขั้นที่ลำบากกว่าการหลอมสมบัติชิ้นหนึ่งด้วยซ้ำ
นี่คือความรู้ทั่วไปที่คนในวงการสลักวิญญาณรู้โดยทั่วกัน
ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหลินสวิน ปฏิกิริยาของนักสลักวิญญาณเหล่านั้นจึงตะลึงเช่นนี้ เกือบคิดว่าหลินสวินบ้าไปแล้ว
“คุณชายหลิน เรื่อง… เรื่องแบบนี้จะฝืนกันได้อย่างไร ข้ารู้ว่าท่านไม่พอใจ แต่… เฮ้อ เราช่างมันเถอะ”
หลูเหวินถิงเองยังตกใจ รีบร้อนห้ามปราม ด้วยคิดว่านี่เป็นการกระทำที่เกิดจากความอับอายจนกลายเป็นโกรธของเจ้าตัว เป็นความดื้อดึง ถ้าให้เขาทำแบบนั้นจริงๆ จะต้องกลายเป็นเรื่องตลกของทุกคน ซึ่งจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของเขาแน่นอน
“หึๆ ไม่มีความสามารถยังคิดจะทำอะไรเกินตัวหรือ วัยรุ่นเลือดร้อนจริงๆ ทนแรงกระตุ้นไม่ได้” มีนักสลักวิญญาณหัวเราะเยาะ
หลินสวินยิ้ม ท่าทางเรื่อยเฉื่อย “พูดอย่างไม่เกรงใจแล้วกัน ต่อให้ปรมาจารย์สลักวิญญาณมาขอเป็นผู้ช่วยของข้า ข้ายังต้องพิจารณาความสามารถของเขา ดูว่าเขามีคุณสมบัติหรือไม่ แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าต้องไม่เชื่อ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็วัดกันที่ฝีมือที่แท้จริง ดูซิว่าข้าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง หรือเป็นพวกเจ้ามีตาหามีแววไม่”
คำพูดเหล่านี้ก็ไม่ได้กังวานและเดือดดาลแต่อย่างไร ราบเรียบมาก แต่กลับเป็นหินก้อนเดียวกระตุ้นคลื่นนับพัน ทำให้ทุกคนฮือฮาขึ้นมา
อวดดี!
อวดดีเกินไปแล้ว!
ในบรรดาคนที่นั่งอยู่มีเพียงปรมาจารย์อิงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณมากประสบการณ์ แต่เจ้าหมอนี่กลับบอกว่าแม้แต่การเป็นผู้ช่วยของเขายังไม่มีคุณสมบัติมากพอ นี่เห็นจะทะนงตนเกินไปแล้ว
แม้แต่ปรมาจารย์อิงยามนี้ก็สีหน้ามืดทะมึน ไม่สามารถรักษาความสงบอย่างเดิมได้ ทิ้งม้วนตำราในมือลง มองไปทางหลินสวินพร้อมสายตาเย็นเยียบ “เจ้าหนุ่ม ศาสตร์การสลักวิญญาณและศาสตร์การยุทธ์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เจ้าพูดเช่นนี้เท่ากับกำลังท้าทาย!”
“คุณชายหลินอย่าวู่วาม!” หลูเหวินถิงลนลาน หากทำให้ปรมาจารย์อิงโกรธ แม้แต่แม่ทัพจ่างซุนออกหน้าก็ไม่มีประโยชน์
นี่คือลักษณะเฉพาะของปรมาจารย์สลักวิญญาณ ด้วยความสามารถในการหลอมอาวุธที่พวกเขาครองครอง ทำให้แม้แต่ราชันระดับสังสารวัฏยังต้องยอมถอย
ยิ่งไปกว่านั้นในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ ปรมาจารย์สลักวิญญาณเป็นกลุ่มคนที่หายากที่สุด สถานะจึงพิเศษและเหนือกว่าคนทั่วไป ยิ่งไม่สามารถลบหลู่หรือทำให้ขุ่นเคืองได้
หลินสวินยิ้มน้อยๆ คร้านจะอธิบาย จึงยกเท้าเดินไปในบริเวณกองยุทโธปกรณ์ ที่ตรงนั้นมีเตาหลอมสำริดที่กำลังลุกโชนอย่างรุนแรงพอดี ข้างๆ มีโต๊ะวางอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีด้ามสลัก หมึกวิญญาณรวมทั้งวัตถุดิบวิญญาณต่างๆ วางอยู่
นี่คือที่สำหรับหลอมอาวุธของนักสลักวิญญาณคนหนึ่งในกองยุทโธปกรณ์ เพียงแต่ตอนนี้ว่างอยู่ หลินสวินเองก็ไม่ได้เกรงใจ เข้าไปใช้โดยตรง
“เจ้า…” นักสลักวิญญาณเหล่านั้นหน้าซีด พวกเขาไว้หน้าเจ้าหนุ่มนี่มากพอแล้ว แต่เจ้าหมอนี่กลับดื้อดึงไม่ยอมรับฟัง ยืนยันว่าจะทำเช่นนี้ ทำให้พวกเขาต่างเคืองขึ้นมาแล้ว
คำว่ามองข้ามความหวังดีของผู้อื่นเป็นอย่างไร
ก็เป็นเช่นนี้อย่างไรเล่า
“ใครก็ห้ามไปขัดขวาง ข้าจะดูซิว่าเจ้าหนูอย่างเจ้าจะใช้อุบายอันใด บอกว่าปรมาจารย์สลักวิญญาณยังไม่มีคุณสมบัติพอจะเป็นผู้ช่วยของเจ้างั้นหรือ เหอะๆ นี่เป็นเรื่องตลกที่เหลวไหลที่สุดเท่าที่ข้าได้ยินมาในปีนี้”
ปรมาจารย์อิงเองก็เปิดปาก สีหน้าแฝงรอยยิ้มเย้ยหยัน เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าหลินสวินไม่รู้จักประเมินความสามารถของตน อยากดูว่าเขาจะอับอายครั้งใหญ่ท่ามกลางสายตาของทุกคนอย่างไร!
“เฮ้อ!” หลูเหวินถิงคร่ำครวญในใจ ทีนี้แย่แล้ว สถานการณ์เลวร้ายยากจัดการอีกแล้ว กลัวว่าทางแม่ทัพจ่างซุนต้องเดือดดาลอีกแน่
ทำไมเจ้าหนูนี่ไม่อยู่ในลู่ในทางแบบนี้นะ ไม่ว่าจะไปสนามรบหรือมาที่กองยุทโธปกรณ์ ก็ต้องก่อเรื่องสักหน่อยหรือถึงจะพอใจหรือไร
หลูเหวินถิงปวดหัวขึ้นมาแล้ว
ผู้ฝึกปราณที่ดูอยู่รอบๆ ต่างมองกันไปมา คุณชายหลินคนนี้คิดจะดื้อดึงให้ถึงที่สุดจริงๆ หรือ
เขาไม่กลัวว่าสุดท้ายจะกลายเป็นตัวตลก กลายเป็นเรื่องน่าขันหรือ
ทั้งหมดนี้หลินสวินล้วนไม่สนใจ เขายืนอยู่หน้าโต๊ะ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในใจก็มีแผนภาพคร่าวๆ ก่อนจะเริ่มลงมือในทันที
……………….