Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 718 ผีเสื้อราตรีสีเลือดกับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็ง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 718 ผีเสื้อราตรีสีเลือดกับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็ง
แม้เดือดดาล แต่เมื่อเผชิญหน้ากับศรแห่งนภาครามที่ระเบิดพุ่งออกมา พวกมู่หลิงเฟิงก็ยังตกใจจนสำแดงพลังทั้งหมดเพื่อหลบหนี
โครม!
บริเวณใกล้เคียงพวกเขา พื้นดินถูกเจาะเป็นหลุมใหญ่ที่ลึกจนไม่เห็นก้นหลุมหนึ่ง หินผาแหลกสลายระเบิดกระจุยฝุ่นตลบ ทำให้พวกเขามอมแมมเปื้อนฝุ่น
“น่าชังนัก!”
พวกมู่หลิงเฟิงโกรธจนปอดแทบระเบิด พวกเขาเป็นถึงราชันกึ่งระดับ เคยสะบักสะบอมเช่นนี้เสียที่ไหน
“พวกเดรัจฉานเฒ่า ไม่กลัวตายก็ตามมาสิ!”
เสียงของหลินสวินดังอยู่ไกลออกไป น้ำเสียงท้าทายเต็มที นี่ทำให้พวกมู่หลิงเฟิงโกรธจนแทบคลั่ง
เอาแต่พูดว่าเดรัจฉานเฒ่า คิดว่าพวกเขาไม่กล้าฆ่ามันจริงหรือ
“จะตามไปไหม”
จินตู้เจินสีหน้าคล้ำเขียว ไฟโทสะน่ากลัวพลุ่งพล่านออกมาจากดวงตา
“นี่…”
มู่หลิงเฟิงลังเลอยู่บ้าง ราตรีปกคลุม พวกเขามาถึงส่วนลึกของป่าต้นหม่อนแล้ว ทุกอย่างดูไม่อาจล่วงรู้ได้และอันตราย
“เจ้าเด็กนี่ท้าทายเช่นนี้ หากไม่ถือโอกาสนี้ฆ่ามันให้ตาย พวกเราจะมีหน้าไปพบคนในเผ่าได้อย่างไร”
ชางหลันเสวี่ยก็โกรธจนตัวสั่น ตลอดทางไม่เพียงตามหลินสวินไม่ทัน ถ้วยวารีวินสมบัติชิ้นงามในมือนางกลับถูกทำลาย และตอนนี้ยังถูกหลินสวินท้าทายหลายครั้ง นี่จะให้นางยังทนอยู่ได้อย่างไร
“หือ”
ทันใดนั้นมู่หลิงเฟิงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย “ไม่ดีแล้ว ไกลออกไปมีกลิ่นอายน่าหวาดหวั่นถูกรบกวนให้ตื่นขึ้นมาแล้ว กำลังพุ่งมาทางนี้!”
แทบจะในเวลาเดียวกัน จินตู้เจินกับชางหลันเสวี่ยก็รับรู้ได้ว่ากลิ่นอายนั้นไม่มีปิดบังเลย พลุ่งพล่านทะลุเมฆาท่ามกลางราตรี น่าประหวั่นพรั่นพรึง มีความดุดันลึกลับนัก
เห็นได้ชัดว่าการเคลื่อนไหวจากศรเมื่อครู่ของหลินสวินดึงดูดความสนใจจากสิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวบางตัว!
‘เป้าหมายของศรเมื่อครู่ของเจ้าเด็กนี่ คงไม่ได้คิดจะยืมมือผู้อื่นฆ่าคนกระมัง’
ความคิดเดียวกันบังเกิดขึ้นในใจพวกมู่หลิงเฟิงโดยไม่ได้นัดหมาย
“ตามไป! ถ้าอยู่ที่นี่ต้องได้รับอันตรายแน่ ไม่สู้เสี่ยงดวงออกไปกำจัดไอ้สวะตัวจ้อยสมควรตายนั่นหรอก!”
มู่หลิงเฟิงเข่นเขี้ยวตัดสินใจ
สวบๆๆ!
เงาร่างของพวกเขาวูบไหว ไล่ตามต่อไปในราตรี เพียงแต่แม้จะกราดเกรี้ยวหาใดเทียบ แต่พวกเขากลับระมัดระวังตัวถึงที่สุด
ช่วยไม่ได้ ป่าต้นหม่อนตอนกลางคืนน่ากลัวเกินไปจริงๆ
พวกเขาจากไปได้ไม่นาน ผีเสื้อราตรีสีเลือดตัวหนึ่งก็กระพือปีกปรากฏตัวแช่มช้าในบริเวณนั้น
ทั้งตัวของมันราวสลักขึ้นจากหยกสีเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุด ขนาดเท่าฝ่ามือเท่านั้น สีแดงสดงดงาม มีแสงเลือดล้อมรอบ ท่วงท่าปราดเปรียวพลิ้วไหว แต่ยามมันกระพือปีก ห้วงอากาศบริเวณนั้นกลับยุบลงไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับถูกหลุมดำกลืนกิน
กลิ่นอายดุดันน่าหวาดหวั่นนั้นก็ฟุ้งออกมาจากตัวมัน
แม้เงาร่างเล็กจ้อย แต่อานุภาพของมันช่างไม่เรียบง่าย เมื่อลอยตัวอยู่ตรงนั้น ก็เหมือนดั่งผู้เป็นใหญ่ในฟ้าดินกำลังมองลงมายังทุกสิ่งในโลกอย่างเรียบเฉย
“นภาคราม…”
มันพึมพำเสียงค่อย “ที่แท้มันไม่ได้ถูกทำลาย น่าเสียดาย กลิ่นอายอ่อนแอเกินไปแล้ว มันในตอนนั้นแม้กระทั่ง… ยังยิงสังหารได้…”
“ดูท่ามันคงได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่ก็พลังของมันถูกลบเลือนไประหว่างการไหลเคลื่อนของห้วงเวลาอันยาวนานไร้สิ้นสุดนี้…”
สุดท้ายมันก็นิ่งเงียบครู่หนึ่ง ถึงได้กระพือปีกบินอย่างรวดเร็ว แล้วไล่ตามไปยังทิศทางที่พวกหลินสวินจากไป
…….
หืม?
หลินสวินที่กำลังหลบหนีอยู่รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ เขาหยุดเท้าโดยพลัน ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าเขารุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ประหลาดแห่งหนึ่ง
ที่นี่เงียบสงบเกินไปแล้ว หมอกเลือดพวยพุ่ง ราตรีปกคลุม วังเวงจนน่ากลัว ขนาดเสียงลมสักแอะยังไม่มี
แต่ในพื้นที่อื่นเสียงคำรามน่าตื่นตระหนกต่างๆ ลอยมาแต่ไกล อย่างเสียงคำรามเดือดดาลของเทพมาร หรือเสียงกู่ก้องชวนขนหัวลุกของสัตว์ปีศาจ
ทว่ามีเพียงพื้นที่นี้ที่เงียบเชียบไร้เสียง ดูผิดปกตินัก
หลินสวินระแวดระวังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในทันใด เขาขนหัวลุกอยู่บ้าง รู้สึกได้ว่าในบริเวณนี้ต้องซุกซ่อนความพรั่นพรึงใหญ่หลวงที่ไม่อาจล่วงรู้ได้บางอย่างแน่
ขณะที่เขากำลังลังเลอยู่ว่าจะไปต่อหรือไม่ ด้านหลังก็พอได้ยินเสียงทะลุอากาศระลอกหนึ่งรางๆ แล้ว
‘เดรัจฉานเฒ่าพวกนี้ถึงกับตามมาจริงๆ หรือนี่’
หลินสวินอึ้งเล็กน้อย ที่เขาท้าทายก่อนหน้านี้ เดิมทีก็เป็นการหยั่งเชิงอย่างหนึ่ง เพื่อดูว่าราชันกึ่งระดับเหล่านั้นจะกล้าเคลื่อนไหวต่อในตอนกลางคืนจริงๆ หรือไม่
ไม่เคยคิดว่าพวกเขายังกล้าตามมาจริงๆ
‘เช่นนั้นก็ต้องสู้สักตั้งว่าใครจะดวงแข็งกว่ากันกระมัง!’
หลินสวินกัดฟัน พุ่งไปยังส่วนลึกยิ่งกว่าของพื้นที่แปลกประหลาดนี้โดยไม่สนใจสิ่งอื่น
ในใจเขามีแผนแล้วว่าจะเสี่ยงดวงดู ถ้าประสบอันตรายใหญ่จริงๆ ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือทุกคนล้วนได้รับเคราะห์และตายตกตามกันไปโดยไม่แบ่งเขาแบ่งเรา
อย่างน้อยนี่ก็ยังดีกว่าตายด้วยน้ำมือของศัตรู ปล่อยให้พวกมันจากไปทั้งที่มีชีวิตอยู่
สวบ!
หมอกเลือดหนาแน่น หลินสวินว่องไวถึงที่สุด เพียงแต่ความกระวนกระวายในใจเขายิ่งรุนแรงขึ้น ถึงกับออกจะหวาดระแวง มือเท้าเย็นเฉียบ
ในพื้นที่แปลกประหลาดที่เงียบงันน่ากลัวนี้ ราวกับมีสายตาไร้รูปคู่หนึ่งจับจ้องอยู่ตลอด นี่ทำให้หลินสวินเริ่มจะสติแตก
ความหวาดหวั่นที่ไม่เคยมีมาก่อนนี้ น่ากลัวกว่าการเผชิญหน้ากับราชันระดับสังสารวัฏเสียอีก
แต่เขาไม่สนใจสิ่งเหล่านี้แล้ว
หืม?
แสงสว่างเปล่งประกายราวหิมะน้ำแข็งพลันปรากฏสู่สายตาหลินสวินกะทันหัน แสงนี้ไหววูบอยู่ไกลลิบท่ามกลางหมอกสีเลือด แต่กลับมีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์บอกไม่ถูก
‘นี่คือ?’ เขาเข้าใกล้อย่างระวัง ทันใดนั้นก็มองเห็นภาพที่ยากลืมเลือนไปชั่วชีวิต…
กลางหมอกสีเลือด มีต้นไม้ใหญ่ดั่งแกะสลักขึ้นจากหิมะน้ำแข็งต้นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น ใบดุจพัดใบลาน เปล่งประกายดุจหิมะน้ำแข็ง เป็นพุ่มดกหนาแข็งแรง มีแสงเทพบริสุทธิ์แสงแล้วแสงเล่าลู่ลงมา
ลำต้นของต้นไม้ใหญ่นั้นยิ่งน่าตกตะลึง เปลือกไม้แก่แตกออกราวเกล็ดมังกร โปร่งใสเป็นน้ำแข็งเช่นเดียวกัน พุ่งตรงทะลุเวิ้งฟ้า ไม่อาจประเมินความสูงของมันได้!
ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ศักดิ์สิทธิ์และเจิดจ้า บริสุทธิ์ราวหิมะน้ำแข็ง ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น แต่กลับมีกลิ่นอายยิ่งใหญ่น่าเกรงขามที่พาให้คนรู้สึกเคารพบูชา
แสงเทพสีขาวหิมะหมื่นพันสายไหลลงมาจากกิ่งก้านของต้นไม้ ราวกับฝนแสงม่านน้ำตกกำลังไหลหลั่งพลิ้วไหว ในค่ำคืนที่อบอวลไปด้วยหมอกเลือดนี้ ดูสะดุดตาอย่างประหลาด น่าตื่นตะลึง
หลินสวินอึ้งไป เขารู้สึกได้ถึงพลังชีวิตศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ไพศาลไร้เทียมทานกระจายออกมาจากต้นไม้โบราณหิมะน้ำแข็งนั้น ด้วยถูกกลิ่นอายมหาศาลเช่นนั้นดึงดูด ทำให้พลังชีวิตรอบกายเขาก็พลุ่งพล่านไปด้วย กระชุ่มกระชวยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ชั่วพริบตานั้นเขารู้สึกล่องลอยประหนึ่งสำเร็จมรรคลอยขึ้นสวรรค์!
‘นี่…’
คลื่นแห่งความประหลาดใจซัดสาดในใจหลินสวิน ‘คงไม่ใช่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ในตำนานหรอกกระมัง’
แต่ในเวลาเดียวกันนี้ เขายิ่งรู้สึกกระวนกระวายขึ้นแล้ว เสียวสันหลังวาบ กลิ่นอายอันตรายถึงแก่ชีวิตตีเข้ามาที่ผิวหนังของเขาทุกกระเบียดนิ้วราวกระแสน้ำ ทำให้เขาแทบหุนหันอยากรีบออกจากที่นี่
‘ความประหลาดและเงียบเชียบของที่แห่งนี้เกี่ยวข้องกับต้นไม้นี่!’
หลินสวินชี้ชัด เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ในที่สุดก็กัดฟันเข้าใกล้ไปทีละก้าว กระทั่งยามห่างจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นั้นเพียงสิบจั้ง เขาแทบจะรับกลิ่นอายน่าหวาดหวั่นนั้นไม่อยู่แล้ว
ในที่สุดเขาก็สำแดงไอซวนหนี กำบังร่อยรอยอย่างเงียบเชียบแล้วหลบซ่อนอยู่ตรงนั้น ที่นี่แม้มีอันตรายถึงที่สุด แต่ก็ย่อมทำให้พวกมู่หลิงเฟิงหวาดผวาได้เช่นเดียวกัน!
หลินสวินอยากเห็นเสียจริงว่า เจ้าพวกนี้จะกล้าลงมือที่นี่หรือไม่
……
“พิลึกแล้ว! ที่นี่มีอันตรายใหญ่หลวงซุกซ่อนอยู่”
ไม่นานนักเงาร่างของพวกมู่หลิงเฟิงก็ปรากฏขึ้นใกล้กับพื้นที่ประหลาดนี้ สีหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา
ตัวมีฐานะเป็นราชันกึ่งระดับ ภยันตรายที่พวกเขารับรู้ได้มากยิ่งกว่า รู้สึกได้ว่าในพื้นที่นี้มีอันตรายที่สามารถคุกคามชีวิตของพวกเขาได้
“ยังจะตามไปไหม”
จินตู้เจินกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น ทั้งกายเย็นยะเยือก บริเวณนี้มีกลิ่นอายที่ทำให้เขาหายใจติดขัด
“เจ้าเด็กนี่กล้าเข้าไป ทำไมพวกเราจะไม่กล้าเล่า อีกอย่าง ดูจากกลิ่นอายที่เขาหลงเหลือไว้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ประสบเคราะห์ พวกเราตามมาถึงที่นี่แล้ว ถ้าถอยกลับไปอีกจะไม่ขายหน้าไปหน่อยหรือ”
ชางหลันเสวี่ยเข่นเขี้ยวเอ่ยปาก แม้นางพูดเช่นนี้ แต่ใจจริงกลับกระวนกระวายอยู่บ้าง
“เช่นนั้นก็… ตามไป!”
มู่หลิงเฟิงกัดฟันแล้วพูดว่า “แต่ว่า หากพบว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเข้า พวกเราก็ต้องออกไปทันที จะลังเลไม่ได้เด็ดขาด!”
จินตู้เจินกับชางหลันเสวี่ยพยักหน้า นี่เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
“หืม?”
เดินหน้าอย่างระแวดระวังได้ไม่นานนัก ทันใดนั้นพวกมู่หลิงเฟิงก็พบต้นไม้ใหญ่ศักดิ์สิทธิ์สีขาวหิมะเปล่งประกายต้นนั้น ดวงตาพลันแข็งทื่อ ตื่นตะลึงอยู่ตรงนั้น
“กลิ่นอายอริยมรรค! บนต้นไม้โบราณนี่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายอริยมรรค หรือว่า… หรือว่าข่าวลือจะเป็นความจริง”
พวกมู่หลิงเฟิงตาลุกวาว ตื่นเต้นจนแทบร้องออกมา
“ตำนานกล่าวไว้ ในป่าต้นหม่อนยุคปฐมกาล มีความลับยิ่งใหญ่ของการบรรลุแจ้งเป็นอริยะซ่อนอยู่ ต้นหม่อนต้นหนึ่งเคยได้ล่วงรู้ความลับนี้โดยบังเอิญ สุดท้ายได้เข้าถึงมรรคกลายเป็นอริยะ เย้ยฟ้าเหนือปวงเทพ!”
จินตู้เจินพึมพำ สีหน้ามีแต่ความปรารถนา “เดิมทีข้านึกว่าข่าวลือนี้เกินจริง แต่ตอนนี้ดูท่าอาจจะเป็นความจริง…”
“ดูสิ! บนยอดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นั่นถึงกับมีดอกไม้น้ำแข็งดอกหนึ่งแข็งตัว บนดอกมีผลแข็งตัวอยู่ผลหนึ่ง! เจิดจ้านัก เหมือนดวงอาทิตย์หิมะดวงหนึ่ง!”
ชางหลันเสวี่ยพบอะไรเข้า จู่ๆ ก็ตื่นเต้นจนร้องเสียงหลงออกมา “นะ… นั่นคงไม่ใช่ผลอริยะใช่ไหม”
มู่หลิงเฟิงกับจินตู้เจินทอดสายตาไป ก็เห็นว่าบนยอดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์มีดอกไม้น้ำแข็งขนาดเท่าหินโม่ดอกหนึ่ง กลีบดอกแพรวพราวบานออกเต็มที่ สาดรัศมีเทพนับพันนับหมื่นลงมา
และเหนือดอกไม้น้ำแข็งก็มีผลผลหนึ่งแขวนอยู่ แม้มีขนาดเพียงกำปั้น แต่กลับเจิดจรัสจนไม่อาจจับจ้อง เหมือนดวงระวีหิมะน้ำแข็งดวงน้อย สะดุดตาหาใดเทียบ
“นี่… ก็คือมหาศุภโชคที่ราชันเผ่าข้าหมายจะตามหา! ไม่คิดเลยว่าจะถูกพวกเราพบเข้าโดยบังเอิญแล้ว!”
มู่หลิงเฟิงสูดหายใจลึกพลางเอ่ยปาก
ขณะนี้เขาถึงกับลืมเรื่องตามฆ่าหลินสวินไป เพราะวาสนาตรงหน้านี้น่าตื่นตาและยั่วยวนยิ่งนัก สะกดใจเขาไว้อย่างอยู่หมัด
“พวกเจ้าช่วยคุ้มครองข้าที ข้ายอมเสี่ยงอันตรายเพื่อวาสนานี้สักตั้ง!”
ในที่สุดมู่หลิงเฟิงก็กัดฟัน ตั้งใจไปเด็ดผลลี้ลับที่ห้อยอยู่บนยอดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นั้น!
“ได้!”
จินตู้เจินและชางหลันเสวี่ยกัดฟัน ตัดสินใจมุ่งมั่นเช่นกัน ต่อให้เวลานี้พวกเขารู้สึกได้ถึงความกระวนกระวายและอันตรายใหญ่หลวง แต่เพื่อวาสนาครั้งนี้ ก็ไม่เสียดายอะไรแล้ว
ความมั่งมีต้องเสี่ยงภัยถึงได้มา นับประสาอะไรกับศุภโชคไร้เทียมทานเช่นนี้ สามารถทำให้พวกเขาไปช่วงชิงได้โดยไม่สนว่าจะต้องแลกกับสิ่งใด
และตอนนี้หลินสวินที่หลบซ่อนอยู่ไม่ไกลก็อึ้งไปครู่หนึ่ง เขามาถึงเป็นคนแรกเชียวนะ แต่กลับเพราะตกใจและระวังตัว ถึงได้ไม่เห็นว่ายอดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ยังมีมหาวาสนาเช่นนี้อยู่
ทำอย่างไรดี
หรือว่าจะมองดูศุภโชคครั้งใหญ่นี้ถูกพวกเขาชิงไปต่อหน้าต่อตา?
หลินสวินไม่ยินยอมอยู่บ้าง แต่ฉับพลันเขาก็ใจเย็นลง วาสนาระดับนี้หากได้มาโดยง่ายเช่นนั้น เกรงว่าคงถูกชิงไปก่อนแล้ว จะยังอยู่ถึงตอนนี้ได้อย่างไร
ภายในนั้นต้องมีความลี้ลับ!
พวกมู่หลิงเฟิงดูจุดนี้ไม่ออกหรือ
แน่นอนว่าไม่มีทาง
แต่พวกเขากลับยืนกรานจะไปเสี่ยงภัย เห็นได้ว่ามหาวาสนาครั้งนี้ยั่วยวนพวกเขามากเพียงไหน!
__