Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 724 ควบรวมพลังจิต
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 724 ควบรวมพลังจิต
หลินสือเอ้อร์!
หลิ่วเหวินประหนึ่งถูกฟ้าผ่า อึ้งงันไปทั้งตัว คิดไม่ถึงสักนิดว่าเพิ่งหนีออกจากป่าต้นหม่อนแดนผีสิงนั่นมา ดันมาเจอกับหลินสือเอ้อร์กะทันหัน
“นายน้อยระวัง!”
หลิ่วเหวินคำราม ในเวลาเช่นนี้ปฏิกิริยาแรกของเขากลับเป็นการเตือนอิ๋งเชวี่ย ไม่อาจไม่พูดถึง เจ้าหมอนี่ช่างมีศักยภาพของผู้ทรยศจริงๆ
ฟุ่บ!
แต่ยามเสียงหลิ่วเหวินเพิ่งดังขึ้น เขาก็เห็นว่าลำคออิ๋งเชวี่ยที่อยู่ข้างกายพลันมีรูโหว่ชุ่มเลือดเพิ่มขึ้นมารูหนึ่ง
เห็นชัดว่าอิ๋งเชวี่ยหาได้ป้องกันแม้แต่น้อย สีหน้าเขายังคงตื่นตระหนก กระทั่งใกล้ตายแล้วยังไม่อาจจินตนาการว่าตนจะประสบเคราะห์กะทันหันเช่นนี้
เขาคือราชนิกุลสายคนเถื่อนมืดเชียวนะ!
เป็นมือสังหารโดยกำเนิด ก้าวเดินในเงามืด ทำให้ผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิหน้าเปลี่ยนสี
แต่ตอนนี้ เขากลับถูกคนจู่โจมสังหารภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันสังเกตเห็นโดยสมบูรณ์…
พรวด!
โลหิตแดงสดสายหนึ่งพุ่งออกจากลำคออิ๋งเชวี่ย สาดพรมทั่วหน้าหลิ่วเหวิน ชวนตระหนกจนเขาเปล่งเสียงหวีดร้อง ขวัญหนีดีฝ่ออย่างอดไม่อยู่
ตายแล้ว?
หลิ่วเหวินรู้สึกแย่ไปทั้งตัว ในใจถูกความหวาดกลัวเข้าครอบงำ
อิ๋งเชวี่ย นี่น่ะเป็นถึงนายน้อยราชนิกุลสายคนเถื่อนมืด เป็นเอกบุคคลรุ่นเยาว์แห่งค่ายทัพพ่อมดเถื่อน ถูกสัตว์ประหลาดเฒ่ามากมายตั้งความหวัง คิดว่าจากนี้เขามีความโอกาสสูงยิ่งที่จะกลายเป็นจักรพรรดิเถื่อนผู้ก้าวสู่มกุฎมรรคา!
แต่ตอนนี้อิ๋งเชวี่ยกลับตายแล้ว…
หลิ่วเหวินไม่ได้โศกเศร้าเพื่ออีกฝ่าย แต่การทรยศของเขาครานี้นำความหวังทั้งหมดฝากไว้กับตัวอิ๋งเชวี่ย ยังมุ่งหวังว่าจากนี้สามารถอาศัยความชอบจากอิ๋งเชวี่ยก้าวย่างอย่างมั่นคงในเผ่าพ่อมดเถื่อน
แต่ตอนนี้ ความหวังทุกอย่างล้วนดับสลายแล้ว!
หลิ่วเหวินรู้สึกราวฟ้าจะถล่ม ตะลึงงันอยู่ตรงนั้นด้วยหวาดผวาและงุนงง
ริมหูยินเสียงโรมรันดุเดือด เสียงร้องทุรนทุรายโหยหวน เสียงปะทะของพลังอันน่าหวาดกลัว…
แต่หลิ่วเหวินกลับประหนึ่งตกตะลึงขวัญหาย ความหวังของเขาจบสิ้นแล้ว ในฐานะที่เป็นผู้ทรยศ เขาไม่อาจหวนคืนค่ายจักรวรรดิได้อีก
และหลังจากการตายของอิ๋งเชวี่ย ทางเผ่าพ่อมดเถื่อนนั่นก็จะไม่มีที่ของเขาอีก หลิ่วเหวินสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังเหลือจะเอ่ยอย่างหนึ่ง
“เป็นเจ้าจัดการตัว หรือจะให้ข้าลงมือ?”
น้ำเสียงหลินสวินดังขึ้นริมหูราวฟ้า ร้องกับเสียงฟ้าผ่า ทำเอาหลิ่วเหวินสะดุ้งตื่นจากความสิ้นหวังไร้สิ้นสุดในฉับพลัน
เมื่อมองออกไปก็เห็นว่าบนพื้นทั่วทิศเต็มไปด้วยซากศพผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อน ส่วนหลินสือเอ้อร์ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น มองมาที่ตนอย่างเงียบๆ
ไกลออกไปอีก ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิส่วนหนึ่งกำลังรุมล้อมส่งเสียงกระซิบกระซาบ แต่ละคนใบหน้าต่างเต็มไปด้วยความสบประมาทและรังเกียจ
จบสิ้นแล้ว!
ฟางเส้นสุดท้ายภายในใจหลิ่วเหวินขาดสิ้น หัวสมองพลันว่างเปล่า
“ข้าแค้นนัก! หากไม่ใช่เจ้าหลินสือเอ้อร์ ข้าไหนเลยจะทรยศจักรวรรดิ ไหนเลยจะตกต่ำถึงทุกวันนี้”
หลิ่วเหวินราวเสียสติโดยสมบูรณ์ สีหน้าบิดเบี้ยวตะโกนลั่น
นัยน์ตาเขาคั่งโลหิตจ้องมองหลินสวินอย่างเหี้ยมเกรียม แทบอยากจะกลืนกินทั้งเป็น “ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า! เป็นความผิดของเจ้า…!”
ระหว่างคำราม เขาก็ถือดาบศึกพุ่งเข้ามา
ฉึบ!
ไม่รอให้เข้าประชิด ลำคอหลิ่วเหวินก็ถูกดาบหักตัดขาด ศีรษะชโลมเลือดกระเด็นขึ้นเหนือฟ้า กระทั่งก่อนตายเขาก็ยังมีท่าทางเหี้ยมโหดผูกพยาบาท
หลินสวินหมุนตัวจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
คนอย่างหลิ่วเหวิน ต่อให้ตายก็ไม่สำนึกเสียใจสักนิด กลับนำความผิดทั้งหมดมาโทษใส่เขา ตายไปก็ไม่น่าเสียดายสักนิด
ก่อนจะจากไป หลินสวินมองกลับมายังป่าต้นหม่อนซึ่งอยู่เบื้องหลังวูบหนึ่ง ที่นั่นหมอกโลหิตแผ่กว้าง เร้นลับไม่อาจรับรู้
แต่หลินสวินแน่ใจว่าส่วนลึกสุดของป่าต้นหม่อนนั่น มีพายุคาวเลือดหนึ่งกำลังเปิดฉาก โอบล้อมตำหนักมรรคปริศนาซึ่งปรากฏออกมา
‘ที่นี่มีอริยะจำศีล ซ่อนความลับมากเหลือเกิน สักวันหนึ่งอาจได้หวนกลับมาเสาะหาอีกครั้ง!’
หลินสวินนึกถึงจักจั่นทองที่เคร่งขรึมมีสง่าตัวนั้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก นึกถึงความฝันที่แทบจะเหมือนไร้สาระเต็มกลืนของมัน…
ฝันว่าสักวันหนึ่ง สรรพชีวิตทั้งมวลบนโลกนี้ล้วนสามารถกลายเป็นอริยะ!
…
ยามสายัณห์วันนี้ก่อนรัตติกาลมาเยือน ในที่สุดหลินสวินก็กลับสู่ค่ายหมายเลขเจ็ด
“เจ้าหนูอย่างเจ้ายังไม่ตายรึ”
เมื่อทราบข่าว หลูเหวินถิงราวกระต่ายเฒ่าผุดกระโดดหน้าตาตื่น
หลายวันนี้ของเขาแทบจะผ่านไปอย่างอกสั่นขวัญแขวน วิตกหวาดกลัว เกรงแต่จะได้ยินข่าวร้ายบางอย่างเกี่ยวกับเด็กหนุ่ม
แต่ตอนนี้เห็นอีกฝ่ายกลับมาอย่างปลอดภัย พาให้เขาเป่าปากโล่งอกเฮือกใหญ่โดยไม่ต้องสงสัย
จากนั้นหลูเหวินถิงก็เริ่มตำหนิและพร่ำบ่น “คนอย่างเจ้านี่ช่างดื้อรั้นซะจริง บอกจะไปก็ไป เจ้าไม่รู้รึว่ามันอันตรายมากแค่ไหน เจ้ารู้ไหมหากเจ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้น ผลที่ตามมาจะร้ายแรงเพียงใด เจ้ารู้ไหมว่า…”
หลินสวินมึนงงไปชั่วขณะ ขณะกำลังหาโอกาสกลับห้องตนเอง เสียงตวาดสนั่นหวั่นไหวดั่งอสนีบาตหนึ่งก็ดังก้องขึ้น…
“เจ้าเด็กนี่ยังมีหน้ากลับมาอีก!”
แม่ทัพใหญ่จ่างซุนเลี่ยเองก็ปรากฏตัวหลังทราบข่าวแล้ว สีหน้าเดือดดาล มาถึงก็ดุว่ายกหนึ่ง เสียงพูดดังจนได้ยินไปทั้งค่าย
หลินสวินรู้ว่าการเคลื่อนไหวครานี้ของตนทำพวกเขากังวลยิ่ง รู้ตัวว่ามีเหตุผลให้โดนดุแล้ว จึงได้แต่ยืนรับการอบรมอยู่ตรงนั้นอย่างเชื่อฟัง
นี่หากให้ยอดบุคคลในป่าต้นหม่อนพวกนั้นเห็นเข้าคงตกใจจนกรามค้าง ใครจะกล้าคิด หลินสือเอ้อร์ที่กร้าวแกร่งดุจเทพมารหนุ่มถึงกับมีช่วงเชื่องเชื่อว่านอนสอนง่ายเช่นนี้?
จ่างซุนเลี่ยระบายเพลิงโทสะยกหนึ่งแล้วจึงปล่อยหลินสวิน แต่ก่อนจากไปยังคงกล่าวเตือน ว่าหากหลินสวินกล้าไม่ฟังคำสั่งแล้วกระทำการคนเดียวอีกจะไม่เอาเขาไว้แน่
กระทั่งรัตติกาลเยื้องกราย หลินสวินจึงได้กลับห้องตนเองในที่สุด
ครืด!
หลินสวินเปิดห่อสัมภาระออก หินแร่ วัตถุดิบวิญญาณแน่นขนัดนานัปการไหลออกมาดั่งกระแสน้ำเต็มพื้น
นอกจากผลึกวิญญาณชั้นสูงส่วนหนึ่งซึ่งเดิมเป็นของเขาเองแล้ว สิ่งอื่นล้วนเป็นทรัพย์หลังศึกที่ได้จากป่าต้นหม่อนทั้งสิ้น
ในนั้นมีวัตถุดิบวิญญาณหายาก และมีหินแร่ลึกลับซึ่งไม่รู้ประโยชน์ใช้สอย แผ่นเหล็กที่แตกหัก หนังและขนเปื้อนเลือดเป็นต้น
สิ่งที่มีเยอะที่สุดคือหินหยกอัศจรรย์ มีถึงห้าหกร้อยก้อน!
หลินสวินคัดกรองครู่หนึ่ง เก็บจัดแยกตามประเภท สมบัติส่วนหนึ่งในนั้นแม้ใช้ไม่ได้ชั่วคราว แต่มูลค่ากลับไม่อาจประเมิน ภายหลังอย่างไรคงมีเวลาที่ได้ใช้
ท้ายที่สุดเขานำดาบหักออกมาเสียบลงในกองหินหยกอัศจรรย์นั่น
“น่าจะพอให้ดาบหักฟื้นฟูและแปรสภาพได้โดยสิ้นเชิงอีกครั้ง…”
หลินสวินจ้องมองดาบหักซึ่งเริ่มดูดซึมพลังชีวิตปริศนา นัยน์ตาฉายแววเฝ้ารอวูบหนึ่ง
ฟู่…
ไม่นานนัก หลินสวินก็นั่งสมาธิบนเตียงเริ่มสงบจิตใจ
ครั้งนี้ในป่าต้นหม่อนเขาเจอทุกขลาภ ได้นั่งสมาธิบนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็งนั้นคืนหนึ่ง ทำให้พลังปราณก้าวกระโดดสู่ขั้นสมบูรณ์ของระดับหยั่งสัจจะขั้นสูง
อีกทั้งการบรรลุเช่นนี้ไม่เพียงสะท้อนให้เห็นบนพลังปราณเท่านั้น แม้แต่พลังจิตวิญญาณเองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินคราหนึ่ง!
และตอนนี้หลินสวินเพิ่งมีเวลาสัมผัสการเปลี่ยนแปลงพวกนี้
ในห้วงนิมิต เคล็ดเวทบริกรรมโคจร ปรากฏจันทราน้ำแข็งดวงหนึ่งชั่วพริบตา ดวงดาวแห่งจิตนับหมื่นพันถูกจุดประกาย ล้อมพิทักษ์โอบรอบจันทร์เพ็ญ แสงศักดิ์สิทธิ์ใสเย็นพลิ้วล่อง
ที่ต่างจากอดีตคือ ปรากฏการณ์ประหลาดทุกอย่างนี้พลันถูกแสงแรงกล้าหาใดเปรียบสายหนึ่งฝังกลบ!
นั่นคือตะวันดวงใหญ่เจิดจรัสหาใดเทียมดวงหนึ่ง เคลื่อนคล้อยลอยเด่นกลางอากาศเหนือห้วงนิมิต รัศมีแสงชัชวาลส่องประกายรุ่งโรจน์ กลายเป็นนายเหนือหัวเพียงหนึ่งเดียวในห้วงนิมิต!
ตึง!
จิตวิญญาณของหลินสวินพลันสั่นสะเทือน เกิดแรงสะท้านอย่างรุนแรง จากนั้นก็ประหนึ่งทลายเครื่องพันธนาการซึ่งปกคลุมจิตวิญญาณชั้นหนึ่งออก มีความรู้สึกเหมือนจะปลดเปลื้องโบยบินอย่างหนึ่ง
ระหว่างที่เคลิ้มลอยหลินสวินประดุจมาอยู่เหนือห้วงฟ้า ยิ่งบินยิ่งสูง ทั้งค่ายหมายเลขเจ็ดล้วนปรากฏเป็นจุดเล็กๆ ให้เห็นในใจ
ทหารยามเฝ้าค่าย ผู้ฝึกปราณที่สำเริงสำราญร่ำสุราในร้านเหล้า หลูเหวินถิงที่กำลังยุ่งอยู่ในกองพลาธิการ รวมถึงเสียงหลอมอาวุธดังตึงตังที่กองยุทโธปกรณ์…
ทุกภาพฉาก ทุกเสียง ราวกระแสน้ำมหาศาลที่ถาโถมสู่ใจหลินสวิน
หมอกฝุ่นบนฟากฟ้า ลมปนกลิ่นคาวเลือดในอากาศ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ ของผู้ฝึกปราณแต่ละคนล้วนถูกหลินสวิน ‘เห็น’ ทั้งหมด
หืม?
เมื่อหลินสวิน ‘มอง’ ไปยังที่พำนักของจ่างซุนเลี่ยซึ่งอยู่ห่างออกไป กลับเห็นแค่แสงศักดิ์สิทธิ์ตรงดิ่งทะลวงเมฆาสายหนึ่ง ผ่าเผยทรงพลัง ประดุจไฟสงครามโหมกระหน่ำ ชวนประหวั่นไร้ขอบเขต
ทุกสิ่งในนั้นไม่อาจถูกรับรู้โดยสิ้นเชิง อีกทั้งยังทำให้หลินสวินสัมผัสถึงความกดดันและหวาดหวั่นซึ่งไม่เคยมีมาก่อนอย่างหนึ่ง
นี่ก็คือพลานุภาพของราชันระดับสังสารวัฏหรือ ไม่อาจถูกสืบเสาะและจับจ้องได้โดยง่าย!
พรึ่บ!
เวลาถัดมา หลินสวินก็เก็บพลังจิตวิญญาณของตนกลับคื
“หืม?” แทบจะในเวลาเดียวกัน ในห้องจ่างซุนเลี่ยที่อยู่ห่างไกลมีเสียงแผ่วเบาดังขึ้น “พลังจิตวิญญาณของเจ้าเด็กนั่นแข็งแกร่งยิ่งนัก นี่คือพลังจิตที่ควบรวมออกมางั้นรึ”
เขาพลันผุดลุกขึ้น นัยน์ตาทอแสงยากคาดเดา “นึกไม่ถึงว่าจะเป็นจริง เจ้าสัตว์ประหลาดน้อยนี่ถึงกับทำได้ล่วงหน้าหนึ่งก้าว แม่งช่างเย้ยฟ้าซะจริง!”
……
‘เคล็ดเวทบริกรรมระดับสาม ‘ตะวันจรัสแสง’!’
ในห้องพักหลินสวินเกิดความรู้แจ้งในใจ “อีกทั้งจิตวิญญาณได้ควบรวม ‘พลังจิต’ ออกมาแล้ว ทุกอย่างที่เห็นเมื่อครู่คือความอัศจรรย์ของห้วงคำนึงแห่งพลังจิต”
‘นี่แหละคือจิตรับรู้!’
‘พลังซึ่งมีเพียงผู้ฝึกปราณที่ควบรวมพลังจิตออกมาได้จึงจะได้ครอบครอง เมื่อถึงขั้นนี้สามารถใช้จิตรับรู้มาต่อสู้! ขอแค่พลังจิตไม่ดับมอดก็ไม่มีทางถูกฆ่าตาย!’
‘เพียงแต่…’
หลินสวินนึกถึงตรงนี้ กลับมีความรู้สึกงุนงงอย่างหนึ่ง
พลังจิตและจิตรับรู้ นี่คือพลังที่มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติเท่านั้นจึงจะมีได้ แต่ตอนนี้กลับถูกเขายึดกุมล่วงหน้า!
จิตวิญญาณ เกี่ยวเนื่องกับการหยั่งรู้และสติปัญญาของผู้ฝึกปราณคนหนึ่ง วิเศษอัศจรรย์ไม่อาจจินตนาการที่สุด จิตวิญญาณยิ่งแข็งแกร่ง คุณประโยชน์ซึ่งนำมาขณะฝึกปราณก็ยิ่งมาก
นี่เป็นเรื่องที่คนในโลกแห่งการฝึกปราณต่างรับรู้!
และเมื่อครองพลังจิตก็สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณมีกลวิธีพิศวงอย่าง ‘หนึ่งใจหลายกระทำ’ ‘จิตขับเคลื่อนพิฆาตศัตรู’ ‘อนุมานโชคเคราะห์’ เป็นต้น
‘หยั่งสัจจะขั้นสูงระดับสมบูรณ์ พลังแห่งจิตวิญญาณควบรวมพลังจิตออกมา ขาดแค่การเคี่ยวกรำวิชายุทธ์และขอบเขตการหยั่งรู้แล้ว…’
หลินสวินนั่งสมาธิพลางครุ่นคิด
ที่เขาแสวงหาคือมกุฎมรรคาซึ่งแข็งแกร่งที่สุด คือมหามรรคที่สมบูรณ์ไร้บกพร่อง ด้วยเหตุนี้เมื่อฝึกปราณถึงระดับหยั่งสัจจะขั้นสูงสมบูรณ์ จึงไม่อาจไม่เริ่มคิดใคร่ครวญถึงการเลื่อนไประดับกระบวนแปรจุติ!
และการทะลวงระดับสำหรับหลินสวินอาจไม่ถึงขั้นยุ่งยากนัก แต่หากเขาคิดจะก้าวเดินไปในมกุฎมรรคาแห่งตนต่อไป จำเป็นต้องให้พลังทั้งมวลเคี่ยวกรำถึงขั้นสมบูรณ์ก่อนการบรรลุระดับ!
เวลานั้นจึงจะเรียกได้ว่าบริบูรณ์อย่างแท้จริง!
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
หลินสวินซึ่งกำลังนั่งสมาธิถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงใสกังวานกะทันหัน เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาอดเผยความประหลาดใจวูบหนึ่งไม่ได้
เกือบจะเวลาเดียวกัน ในค่ายหมายเลขเจ็ดของจักรวรรดิ มีข่าวใหม่ล่าสุดเกี่ยวกับป่าต้นหม่อนส่งมาจากแนวหน้า พลันจุดชนวนความปั่นป่วนโกลาหลฉากหนึ่งขึ้นทันที
………………