Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 728 ปรากฏตัวกะทันหัน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 728 ปรากฏตัวกะทันหัน
“ไอ้สวะพ่อมดเถื่อนบัดซบ ถึงกับร้ายกาจรอบจัดเช่นนี้!” จ่างซุนเลี่ยกัดฟันกรอด นัยน์ตาวาบแสงชวนตระหนก
ฉินฉู่ที่อยู่ด้านข้างหาได้มีท่าทางสง่างามภูมิฐานดังเดิมไม่ เห็นได้ว่าลนลานอยู่บ้าง ก่อนกล่าวอย่างโมโห “เห็นหรือยัง นี่แหละคือความยุ่งยากที่เด็กนั่นก่อ!”
“เจ้ากลัวรึ” จ่างซุนเลี่ยในใจเดือดดาล นี่แม่งเวลาไหนแล้ว เจ้าหมอนี่ยังจะกล่าววาจาเช่นนี้อีก
“นี่ไม่ใช่เรื่องกลัวหรือไม่กลัว แต่เกี่ยวเนื่องกับความเป็นตายของค่ายหนึ่งในจักรวรรดิ!” ฉินฉู่ตวาด
จ่างซุนเลี่ยคร้านจะคิดเล็กคิดน้อยอีก ศึกใหญ่อยู่ตรงหน้า หากยังมาทะเลาะกันด้วยเรื่องพวกนี้อีกต้องเกิดความวุ่นวายกลางกองทัพแน่
“ไม่ถูก! ศัตรู… ศัตรูทางนั้นถึงกับมีราชันสี่คนบัญชาการ!”
ภายในค่าย มีผู้ฝึกปราณตาแหลมสังเกตเห็นแล้วอุทานเสียงหลง
หินก้อนหนึ่งก่อเกิดคลื่นพันชั้น ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิซึ่งเดิมเตรียมพร้อมจู่โจมด้วยท่าทีเหิมเกริมน่ากลัวต่างพลันหยุดหายใจ เกิดสัญญาณโกลาหลฉับพลัน
การค้นพบนี้เสมือนไม้ใหญ่หาดใส่หัวอย่างแท้จริง จู่โจมขวัญกำลังใจของผู้ฝึกปราณของค่ายหมายเลขเจ็ด
ราชันพ่อมดเถื่อนสี่คนออกเคลื่อนไหว พลังเช่นนี้น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว แทบทำให้ผู้คนมองไม่เห็นความหวังที่จะชนะ!
บรรยากาศภายในค่ายประหนึ่งถูกแช่แข็งในพริบตา เปลี่ยนเป็นกดดันหาใดเปรียบ ผู้ฝึกปราณแต่ละคนสีหน้าทะมึนไม่นิ่ง ความรู้สึกภายในใจไหวหวั่น
“กลัวอะไร ค่ายหมายเลขเจ็ดแห่งจักรวรรดิเราตั้งตระหง่านมาจนถึงตอนนี้หลายพันปี ผ่านคลื่นใหญ่ลมแรงมาไม่รู้เท่าไหร่ เรื่องล่อแหลมอันตรายยิ่งกว่าสถานการณ์ตรงหน้าใช่ว่าไม่เคยเกิด!”
จ่างซุนเลี่ยตวาดลั่น เสียงราวฟ้าร้องกัมปนาท “นักสลักวิญญาณกองยุทโธปกรณ์เตรียมตัวให้พร้อม เวลาคับขันให้ใช้ ‘ค่ายอริยะแปดวิทูร’!”
ค่ายอริยะแปดวิทูร!
ทันทีที่วาจานี้เปล่งออกมา ในใจผู้ฝึกปราณรุ่นอาวุโสมากมายพลันผ่อนคลาย
หลายพันปีก่อนเพื่อต่อต้านเผ่าพ่อมดเถื่อน ปฐมจักรพรรดิได้เชิญปฐมาจารย์สลักวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งจากดินแดนรกร้างโบราณมายังสมรภูมิกระหายเลือดโดยเฉพาะ ทำการวางค่ายกลป้องกันแก่ค่ายทั้งแปดแห่งจักรวรรดิ
ค่ายกลใหญ่แต่ละแห่งล้วนประทับรอยสลักลับอริยมรรค มีอานุภาพสะท้านฟ้าสะเทือนดิน เทพผีโศกศัลย์
โดยเฉพาะยามประสบอันตรายยิ่งยวด ระหว่างค่ายกลใหญ่ทั้งแปดจะขานรับซึ่งกันและกัน กลายเป็นกระบวนค่ายกลขนาดใหญ่ แผ่กว้างหาใดเปรียบ!
ทว่าเนื่องจากพลังที่ผลาญไปกับการใช้ค่ายอริยะเช่นนี้มากเหลือเกิน หากไม่ถึงช่วงวิกฤติอย่างที่สุด ทางฝ่ายจักรวรรดิจะไม่เปิดใช้งานโดยง่ายเด็ดขาด
เห็นชัดว่าสถานการณ์ตรงหน้าถึงขั้นอันตรายรุนแรง จ่างซุนเลี่ยนจึงบัญชาการลงมาเช่นนี้
เมื่อทราบสิ่งเหล่านี้ บรรยากาศในค่ายซึ่งเดิมตกประหม่าและกระสับกระส่ายเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายไม่น้อย ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิกลับคืนสู่ความสงบใหม่อีกครั้ง
มีเพียงฉินฉู่ที่คิ้วขมวด กดเสียงต่ำสื่อจิต ‘ปัจจัยวัตถุดิบของเราตอนนี้เพียงพอยืนหยัดแค่การเปิดช่องทางครั้งต่อไป หากเวลานี้เปิดค่ายอริยะแปดวิทูร ของที่เหลืออยู่พวกนี้เกรงว่าไม่เกินสิบวันก็คงถูกผลาญเกลี้ยง! หากวัตถุดิบหมด ความร้ายแรงของผลที่ตามมาเจ้าน่าจะรู้ดีกว่าข้า!’
‘ช่วยไม่ได้ ข้าศึกประชิดค่าย มีเพียงต้องรบ! ยังจะไปพะวงเรื่องหลังจากนี้ได้อย่างไร’
จ่างซุนเลี่ยสูดหายใจลึก ‘แน่นอน ดูตามสถานการณ์เถอะ ข้ากลับอยากเห็นนักว่าพวกสวะพ่อมดเถื่อนนี่จะกล้าเปิดศึกหรือไม่!’
ห่างออกไป ในทัพใหญ่ที่บุกประชิดพรมแดน ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนหนาแน่นดั่งกระแสน้ำ เมื่อมาถึงบริเวณที่ห่างจากค่ายสองสามพันจั้งก็พลันหยุดลง
พวกเขามีไอสังหารแผ่ซ่าน แม้ไม่ประชิดมาเบื้องหน้าแต่ไอสังหารราวทะลวงฟ้า ทำให้เมฆลมเปลี่ยนสี บรรยากาศเปลี่ยนเป็นกดดันหาใดเปรียบ ชวนให้คนหายใจไม่ออก
ท่ามกลางบรรยากาศที่ไอสังหารแผ่พุ่ง จ่างซุนเลี่ยแหงนมองฟ้าหัวเราะร่า เงาร่างเขาก้าวสู่ห้วงนภาอย่างผ่าเผยและหยิ่งผยอง ก่อนตวาดลั่น “ข้านึกว่าเป็นใคร ที่แท้เป็นพวกเฒ่าสวะสี่คนอย่างราชันวิญญาณเร้น ราชันวิญญาณเขียว ราชันยุบบรรพต ราชันมรกตครามนี่เอง! ทำไม ล้วนเบื่อชีวิตอยากรนหาที่ตายกันรึไง”
เสียงราวฟ้าร้องกัมปนาท ปั่นป่วนไปทั่วจตุรทิศ
ทางฝ่ายกองทัพพ่อมดเถื่อน ชายชราคนหนึ่งก้าวออกมา เขาประดุจเงาทมิฬหนึ่ง ทั่วร่างถูกหมอกควันสีเทาปกคลุม เร้นลับราวภูตผีเทวดา
“จ่างซุนเลี่ย ข้าไม่ได้มาประชันฝีปากกับเจ้า คิดว่าเจ้าน่าจะรู้เหตุผลการมาของพวกข้าดี ส่งตัวหลินสือเอ้อร์นั่นออกมา พวกข้าจะหันหลังกลับทันที ไม่รุกล้ำค่ายจักรวรรดิของพวกเจ้าแม้เพียงคืบ ไม่อย่างนั้นอย่ามาโทษพวกข้าที่จะลบผืนดินนี้จนสิ้น!”
ชายชรานั่นคือราชันวิญญาณเร้น น้ำเสียงเขาเย็นชาอึมครึม ลอยล่องระหว่างฟ้าดิน แฝงแววหนาวเหน็บเสียดกระดูก ชวนรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว
เขาคือราชันคนหนึ่ง เป็นราชันผู้ชำนาญวิถีลอบสังหาร ชื่อเสียงโจษจันแพร่สะพัดในสมรภูมิกระหายเลือดมาเนิ่นนานแล้ว
หลินสือเอ้อร์!
จริงดังคาด ศึกใหญ่ที่จวนจะเกิดขึ้นครานี้เป็นเพราะคุณชายหลินสือเอ้อร์!
ในค่ายหมายเลขเจ็ด ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิต่างตระหนักได้โดยพลัน ขณะเดียวกันก็แอบตะลึง คุณชายหลินเพิ่งมาสมรภูมิกระหายเลือดไม่นาน กลับสร้างผลกระทบยิ่งใหญ่ถึงขั้นทำให้ศัตรูเคลื่อนทัพหมายสังหารเขาโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด
“ฮ่าๆๆ พวกเจ้าช่างกำเริบเสิบสานซะจริง คิดหรือว่าให้สี่ราชันลงมือแล้วจะสามารถทำตามอำเภอใจ บีบให้ข้าก้มหัวให้ได้?”
จ่างซุนเลี่ยหัวเราะร่า สีหน้ากลับเยียบเย็นหาใดเปรียบ “ต้องการคน? ฝันไปเถอะ! มีข้าอยู่ อย่าว่าแต่พวกเจ้าไม่กี่คน ถึงแม้กรีธาทัพรอบด้าน หัวคิ้วข้าก็ไม่ขมวด!”
กลับเห็นราชันวิญญาณเร้นไม่สะทกสะท้าน เอ่ยปากเนิบช้า “ข้ายอมรับ มีค่ายอริยะแปดวิทูรอยู่ยากกวาดล้างทุกสิ่ง ณ ที่นี้ ทว่าเท่าที่ข้ารู้ เสบียงและวัตถุดิบที่เหลืออยู่ของพวกเจ้าไม่มากแล้ว หากเปิดค่ายอริยะแปดวิทูรเพียงเพราะเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เกรงว่าพวกเจ้าคงยากยืนหยัดถึงเวลารับเสบียงยุทโธปกรณ์จากจักรวรรดิครั้งหน้า”
ทันทีที่วาจานี้กล่าวออกมา ผู้ฝึกปราณมากมายในค่ายหมายเลขเจ็ดต่างหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
จ่างซุนเลี่ยพลันหรี่ตาลง เขาเพิ่งตระหนักได้ยามนี้ว่าครั้งนี้ศัตรูเตรียมตัวมาอย่างดี!
‘ท่าไม่ดีแล้ว สถานการณ์พวกเราทางนี้ถูกพวกมันคาดการณ์ไว้อย่างชัดเจน’
ฉินฉู่ที่อยู่ด้านข้างสีหน้าอึมครึม แววตาเขาวาบไหวสื่อจิตกล่าว ‘ไม่ได้บอกรึว่าหลินสือเอ้อร์นั่นตอนนี้ไม่อยู่ค่าย มิสู้พวกเราใช้วิธีประนีประนอมบอกสถานการณ์จริงกับพวกมัน ล่อพวกมันไปจัดการหลินสือเอ้อร์ เมื่อเป็นเช่นนี้จะสามารถประวิงเวลาให้พวกเราช่วงหนึ่ง อาศัยเวลานี้ขอความช่วยเหลือจากค่ายอื่นได้!’
“พอแล้ว!” จ่างซุนเลี่ยพลันขุ่นเคือง “ข้าทำเรื่องสกปรกโสมมขี้หมูขี้หมาเช่นนี้ไม่ลงเด็ดขาด!”
“เจ้า…” ฉินฉู่สีหน้าเปลี่ยนเป็นไม่น่าดู
“หากเจ้ากลัวนัก ก็รีบไสหัวไป!”
จ่างซุนเลี่ยตวาดใส่ เขาเห็นฉินฉู่แล้วไม่เจริญตายิ่งกว่าเดิม หากไม่ใช่กองทัพศัตรูประชิดพรมแดน เขาคงลงมือต่อยคนไปแล้ว
แผนประนีประนอมอะไรกัน เห็นชัดว่าหมายเอาทุกอยางไปลงที่หลินสือเอ้อร์คนเดียว! เรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ เขาจ่างซุนเลี่ยทำไม่ลงเด็ดขาด
“ดีๆๆ ข้าอยากดูนักว่าเจ้าจะจัดการสถานการณ์คับขันตรงหน้าอย่างไร!” ฉินฉู่ส่งเสียงเดือดดาล
จ่างซุนเลี่ยแค่นเสียง ไม่ใส่ใจเขาอีก
“จ่างซุนเลี่ย พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร หากพวกเราเปิดศึกครั้งนี้จริง แม้ค่อนข้างเสียหายอยู่บ้างแต่กลับพอสามารถบีบบังคับพวกเจ้าให้ไม่อาจไม่เปิดค่ายอริยะแปดวิทูร ถึงเวลานั้นพวกเราสามารถปลีกตัวถอยร่น แต่หากพวกเจ้าไม่มีเสบียงและวัตถุดิบเพียงพอ เกรงว่า… ผลที่ตามมาคงไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้ารับผิดชอบไหว”
ราชันวิญญาณเร้นเปล่งวาจาอีกครา ท่าทีราวกำชัยไว้แล้ว
ผู้ฝึกปราณทั้งหมดในค่ายหมายเลขเจ็ดมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สีหน้าอึมครึมไม่หยุด สถานการณ์คับขันกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ นอกเหนือความคาดหมายพวกเขาโดยสมบูรณ์ จึงไม่รู้จะรับมือยังไงอยู่บ้าง
“ไม่ต้องคิดแล้ว จะรบก็รบ ไม่รบก็รีบไสหัวไป!”
จ่างซุนเลี่ยตวาด ไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ฮ่าๆๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน แต่พูดตามตรง พวกข้ามาครานี้ก็ไม่ได้มีเมตตาอะไรอยู่แล้ว!”
ราชันวิญญาณเร้นหัวเราะลั่น พลานุภาพทะลวงเมฆา เคร่งขรึมและน่าหวาดกลัว
“บอกแล้วอย่างไร นี่คือจังหวะเหมาะที่ดีที่สุดของการตีกระหน่ำซ้ำเติมพวกหมาตกน้ำ พวกมันขาดแคลนเสบียงวัตถุดิบ ไม่กล้าเปิดศึกใหญ่ที่แท้จริงแต่แรก!”
เงาร่างเขียวประกายหนึ่งปรากฏ ทั่วร่างประทับรอยสักสัญลักษณ์ปริศนา เขาคือราชันวิญญาณเขียวแห่งสายคนเถื่อนพฤกษา
“พูดมากไร้ประโยชน์ ลงมือเถอะ ข้าไม่ได้เห็นอานุภาพของค่ายอริยะแปดวิทูรมาตั้งนาน ครานี้อยากลองดูสักหน่อยว่าค่ายหมายเลขเจ็ดนี่จะสามารถต้านทานพวกเราได้หรือไม่!”
ราชันยุบบรรพตก็ปรากฏตัว รูปร่างดั่งขุนเขาสูงชัน ให้ความรู้สึกสูงตระหง่านข่มผู้คน
“รีบลงมือเถอะ ข้าไม่อยากรอจนผู้แข็งแกร่งแห่งจักรวรรดิค่ายอื่นมาช่วยทัน อาศัยโอกาสนี้ หากสามารถเด็ดหัวจ่างซุนเลี่ยได้ข้าก็พอใจแล้ว”
กลางคลื่นสมุทรหมุนวนก่อรวมเป็นเงาร่างสูงโปร่งร่างหนึ่ง แววตาเป็นสีเขียว สีหน้าเคร่งขรึมและน่าเกรงขาม เป็นราชันมรกตครามแห่งสายคนเถื่อนวารี
“ฆ่า!”
กองทัพพ่อมดเถื่อนซึ่งรอคอยเวลาแผดเสียงตะเบ็งลั่นโดยพร้อมเพรียง สั่นสะเทือนชั้นฟ้าทั่วสารทิศ ไอสังหารชวนประหวั่นปกคลุมอาณาบริเวณนี้ในชั่วพริบตา
ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิในค่ายหมายเลขเจ็ดต่างสีหน้าจริงจังหนักแน่น ประจำการพร้อมรับมือ
แต่สายตานักสลักวิญญาณทั้งหมดกลับมองไปยังจ่างซุนเลี่ยพร้อมกัน เวลานี้ต้องใช้ค่ายอริยะแปดวิทูรหรือไม่
“อย่าลืมล่ะ ผลที่ตามมาร้ายแรงนัก!” แม้แต่ฉินฉู่ที่อยู่ด้านข้างเองยังอดส่งเสียงขึ้นมาไม่ได้
จ่างซุนเลี่ยเงียบขรึมอย่างยากพบเห็น
แต่ท้ายที่สุดเขาพลันกัดฟันกรอด นัยน์ตาฉายแววเด็ดเดี่ยววูบหนึ่ง “วันนี้หากแม้แต่เด็กหนุ่มคนหนึ่งข้ายังปกป้องไม่ได้ มิสู้กระแทกหัวชนฝาตายไปซะดีกว่า!”
น้ำเสียงแข็งกร้าวก้องกังวานอย่างไม่ยอมให้กังขา
“สู้!”
ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิเองก็โลหิตเดือดพล่าน ถูกศัตรูมากลั่นแกล้งถึงหน้าประตู ใครเล่าจะไม่โกรธแค้น
พวกเขาคือชายชาตรีแห่งจักรวรรดิ ไม่เคยหวาดกลัวศึกสงครามมาก่อน!
“งั้นก็สู้!”
จ่างซุนเลี่ยสะบัดมือเตรียมออกคำสั่งใช้ค่ายอริยะแปดวิทูร แต่เวลานี้เอง เงาร่างหนึ่งพลันทะยานมาถึงเบื้องหน้าจ่างซุนเลี่ย
“ข้าขอมอบศรธนูในมือ ช่วยหนุนท่านแม่ทัพ!”
เงาร่างนั้นถึงกับเป็นหลินสวิน ไม่รู้ว่าเขากลับมาค่ายตั้งแต่เมื่อไหร่
เมื่อเห็นหลินสวินผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิต่างไหวหวั่น แต่ฉินฉู่กลับตะลึงงันคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง เจ้าเด็กนี่ถึงกับไม่หลบซ่อนในเวลาล่อแหลมอันตรายเช่นนี้ แต่กลับมาปรากฏตัวด้วยตนเอง!
ทางฝั่งกองทัพพ่อมดเถื่อนนั่น พวกราชันทั้งสี่ต่างเผยไอสังหารโชติช่วง จุดมุ่งหมายการมาของพวกเขาครานี้ ก็เพื่อเจ้าเด็กนี่!
ขณะนี้แม้แต่จ่างซุนเลี่ยยังชะงักไปเล็กน้อย
“ท่านแม่ทัพ รับไว้!”
หลินสวินหยิบธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาครามออกมา ก่อนส่งมอบให้จ่างซุนเลี่ย
วู้ม!
คันธนูวิญญาณไร้แก่นสารซึ่งสร้างจากกระดูกขาวเสมือนสัมผัสได้ถึงไอสังหาร ณ ที่นั้น พลันส่งเสียงหวีดสะท้านปานมุ่งมาดปรารถนา
………….