Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 731 ราชินีกระหายเลือด
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 731 ราชินีกระหายเลือด
ท่าทีเด็ดเดี่ยวของจ่างซุนเลี่ยทำหลินสวินไหวหวั่น ในใจปรากฏกระแสความอบอุ่น
ตั้งแต่ก้าวสู่จักรวรรดิจวบจนปัจจุบัน ตลอดทางเขาไม่เคยขาดอริศัตรู แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่เคยขาดสหาย เฉกเช่นครูฝึกเสี่ยวเคอ พญาแร้ง จูเหล่าซาน หนิงเหมิง สืออวี่…
หรืออย่างเจ้าคางคก จ้าวไท่ไหล เสิ่นทั่ว…
และตอนนี้ที่สมรภูมิกระหายเลือด บางทีจ่างซุนเลี่ยอาจเคยตวาดอบรมเขาไม่ใช่แค่คราเดียว แต่หลินสวินรู้ว่าแม่ทัพผู้นี้ไม่เคยเห็นตนเป็นคนนอก!
เหมือนอย่างศึกใหญ่ในวันนี้ หากเปลี่ยนเป็นคนใหญ่คนโตเห็นแก่ตัวคนอื่นสักคน เกรงว่าคงล้วนมองส่วนรวมเป็นสำคัญ ยอม ‘สละ’ ตนทิ้ง
แต่จ่างซุนเลี่ยไม่เป็นเช่นนั้น!
ก็เหมือนการเผชิญหน้ากับฉินฉู่ที่เสแสร้งแกล้งทำเวลานี้ จ่างซุนเลี่ยสามารถเฝ้ามองอย่างนิ่งดูดายได้ แต่เขาหาได้ทำเช่นนั้นไม่!
นี่จะไม่ให้หลินสวินไหวหวั่นได้อย่างไร
และเรื่องนี้ทำให้สีหน้าฉินฉู่อึมครึมไม่แน่วนิ่ง เขาเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นพลันกล่าวเรียบๆ “พี่จ่างซุน หนึ่งศรวันนี้ผลาญพลังกายเจ้าไปมากโข หากตอนนี้เลือกลงมือเกรงว่าเจ้าคงไม่อาจหยุดข้าได้”
“หากใช้ชีวิตเป็นเดิมพันล่ะจะว่าอย่างไร” จ่างซุนเลี่ยกล่าวเสียงเย็นชา
ฉินฉู่หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย กล่าวว่า “เจ้าน่าจะเข้าใจดี ข้าทำเช่นนี้เพราะคิดเผื่อผู้ฝึกปราณในค่ายทั้งแปดของจักรวรรดิ ในนั้นยังรวมถึงความปลอดภัยของค่ายหมายเลขเจ็ดของเจ้าด้วย!”
“เจ้าแม่งผายลม!”
จ่างซุนเลี่ยสบถออกมาเต็มคำ “นี่มันเวลาไหนแล้ว เจ้ายังมาเสแสร้งต่อหน้าข้า ต่อให้อยากยืมใช้สมบัติจริง แต่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องฝืนใจคนอื่นเช่นนี้รึ เสียทีที่เจ้าเป็นราชันคนหนึ่ง กลวิธีกลับเลวทรามต่ำช้า หากไม่ใช่อยู่บนสมรภูมิกระหายเลือดข้าคงฆ่าเจ้าไปแล้ว!”
“ตัวข้ามอบความจริงใจให้ แต่พวกเจ้ากลับไร้ซึ่งน้ำใจไม่เห็นคุณค่า”
ฉินฉู่เงียบงันอยู่ครู่ใหญ่ก่อนถอนหายใจ นัยน์ตาเจือแววร้ายกาจสายหนึ่ง “คุณธรรมอยู่เบื้องหน้า พวกเจ้าดื้อดึงไม่ยอมรับ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าหาว่าข้าลงมือไร้ปรานี”
ตูม!
พลานุภาพทั่วร่างเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นข่มขู่ผู้คนหาใดเปรียบ นัยน์ตาเย็นชาจ้องมองจ่างซุนเลี่ยพลางกล่าว “ข้าอยากรู้นัก ตอนนี้เจ้าจ่างซุนเลี่ยจะขวางข้าได้กี่กระบวนท่า!”
ในใจหลินสวินมีความโกรธที่พูดไม่ออกถาโถม ความโลภของฉินฉู่ไม่น่าดูอย่างยิ่ง ท่าทางก็อัปลักษณ์เกินไป เพื่อสิ่งที่เรียกว่า ‘ยืมสมบัติ’ ถึงกับใช้กำลังโดยไม่คำนึง ช่างน่ารังเกียจถึงที่สุด
เพียงแต่จ่างซุนเลี่ยเวลานี้กลับเห็นได้ว่าสงบนิ่งยิ่ง เขามองฉินฉู่เงียบๆ แล้วกล่าว “ฉินฉู่ เจ้าถูกสมบัติล่อลวงจิตวิญญาณ หากกลับตัวตอนนี้ บางทีอาจมีหนทางเยียวยา”
“น่าขัน!”
ฉินฉู่แค่นเสียง “ข้ามีใจคิดเพื่อมวลชน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไยต้องกลับเนื้อกลับตัว”
จ่างซุนเลี่ยทอดถอนใจ คล้ายปลดปลงอยู่บ้าง
ในเวลาเดียวกันนี้กลับมีเสียงปรบมือดังขึ้นจากนอกเรือน เด่นชัดยิ่งภายใต้บรรยากาศตึงเครียดและกดดันนี้
“พ่อฉินฉู่คนดี มีจิตคิดเพื่อมวลชน! หากเหล่าทหารแห่งจักรวรรดิต่างมีความคิดนี้เช่นเจ้า มีหรือจะไม่สามารถกำจัดพ่อมดเถื่อนให้สิ้นซาก”
ที่มาพร้อมกันคือเสียงแหบเนิบเสียงหนึ่ง สตรีงดงามปานล่มเมือง สวมเสื้อคลุมนกกระเรียนสีดำ รูปร่างสูงโปร่งทรงสง่าคนหนึ่งก้าวเข้ามาในเรือน
นางมวยผมสีดำราวน้ำตกทั้งศีรษะเอาไว้ เผยลำคอระหงขาวกระจ่าง ริมฝีปากแดงอวบอิ่ม จมูกโด่งเป็นสัน นัยน์ตาโตมีเสน่ห์ คิ้วทั้งคู่พาดตรงดำสนิท ใบหน้าเย้ายวนชวนตะลึง ประณีตถึงขั้นสมบูรณ์แบบ
แต่เมื่อมองดูโดยละเอียด จะพบว่าในนัยน์ตางามของนางมีลักษณ์ประหลาดอย่างสุริยันจันทราจมดิ่ง สรรพสิ่งดับสูญ คล้ายในนั้นสามารถกลืนกินจิตวิญญาณผู้คน น่าหวาดกลัวหาใดเปรียบ
ไม่จำเป็นต้องสงสัย นี่คือสตรีผู้งดงามยิ่งยวดนางหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นหญิงที่อันตรายถึงขีดสุด!
หลินสวินเองก็ถือว่าพบเจอสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันมาไม่น้อย แต่บนร่างสตรีผู้นี้กลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายชวนประหวั่นลึกล้ำเกินคาดเดาอย่างหนึ่ง
กลิ่นอายนี้เกือบจะใกล้เคียงราชินีแห่งรัตติกาลผู้เป็นปริศนานั่น!
“คารวะท่านแม่ทัพ!”
จ่างซุนเลี่ยในยามนี้เคร่งขรึมยิ่ง ประสานหมัดคารวะอย่างจริงจัง นี่ทำให้หลินสวินสะท้านใจ ในที่สุดก็ตระหนักได้ถึงฐานะของผู้มาเยือน
จ้าวซิงเย่!
แม่ทัพหญิงเพียงหนึ่งเดียวของจักรวรรดิที่ครอบครองพลังระดับราชันในสมรภูมิกระหายเลือด ขณะเดียวกันยังเป็นจอมทัพสูงสุดของค่ายทั้งแปดแห่งจักรวรรดิ!
จ้าวซิงเย่ ชื่อซึ่งไม่คล้ายชื่อหญิงสาว ทว่ากลับมีตำนานอันน่าอัศจรรย์ส่วนหนึ่ง นางยกทัพจับศึกมาจนปัจจุบัน บนหนทางย้อมไปด้วยเลือดไม่มีสิ้นสุด กระดูกขาวกองพะเนิน เมื่อพูดถึงยังทำให้พ่อมดเถื่อนถึงขั้นหน้าเปลี่ยนสี มองนางเป็น ‘ราชินีกระหายเลือด’!
ว่ากันว่าแม่ทัพจ้าวซิงเย่ยังเป็นน้องสาวแท้ๆ ของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันด้วย
หญิงสาวที่มีฐานะสูงส่ง ศักยภาพสะเทือนใต้หล้า ยึดกุมอำนาจล้นฟ้า ทั้งยังงดงามยิ่งยวดคนหนึ่ง ไม่ว่าใครเห็นมีหรือจะไม่เคารพ
ทว่าราตรีนี้นางกลับมาปรากฏตัวที่นี่กะทันหัน ทำให้ทุกคนรวมถึงหลินสวินต่างรู้สึกเกินคาดหมาย
“ท่าน… ทำไมท่านถึงมาได้เล่า” ฉินฉู่หน้าพลันเปลี่ยนสี เสียอาการอยู่บ้าง แม้จ้าวซิงเย่งดงามถึงที่สุด แต่ตอนนี้เขากลับหวาดกลัวอยู่ในใจอย่างสุดซึ้ง
“หากข้าไม่มา แล้วจะรู้ความในใจนั้นของแม่ทัพฉินฉู่ได้อย่างไร”
จ้าวซิงเย่น้ำเสียงแหบเนิบ อากัปกิริยานิ่งสงบและแคล่วคล่อง ราวดอกฝิ่นงามล่มเมืองดอกหนึ่ง บุคลิกโดดเด่นพิเศษไม่เหมือนใคร
ฉินฉู่พลันหน้าเปลี่ยนสี คล้ายเก้กังอยู่บ้าง กล่าวว่า “แม่ทัพจ้าวล้อเล่นแล้ว”
กลับเห็นจ้าวซิงเย่ส่ายศีรษะ “ข้าหาได้ล้อเล่นไม่ ครานี้ศัตรูเคลื่อนทัพขนาดใหญ่มารุกราน สถานการณ์เรียกได้ว่ารุนแรงยิ่ง แม่ทัพฉินฉู่มีใจคิดเพื่อมวลชน ในใจข้าซาบซึ้งยิ่งนัก”
นางยิ่งเกรงใจ กลับทำให้ฉินฉู่รู้สึกไม่ชอบมาพากลยิ่งกว่าเดิม ได้แค่เงียบงันรับมือ
แต่จ่างซุนเลี่ยคล้ายเป่าปากโล่งอก ส่งสายตาอย่างไม่เป็นที่สังเกตไปทางหลินสวิน ให้เขาสังเกตการณ์เงียบๆ ไม่ต้องส่งเสียง
หลินสวินรับรู้แน่ชัดดี เขาเองก็สังเกตได้อย่างฉับไวว่าทันทีที่จ้าวซิงเย่มาถึง บรรยากาศตรงหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขาถึงขั้นแคลงใจว่าจ้าวซิงเย่คงมาถึงนานแล้ว เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเรือนกับตา สาเหตุที่นางปรากฏตัวคงเพราะไม่อาจนั่งดูการปะทะระหว่างจ่างซุนเลี่ยและฉินฉู่ได้
ดังคาด คำพูดต่อมาของจ้าวซิงเย่ตอกย้ำการคาดคะเนของหลินสวิน
“เรื่องเมื่อครู่ข้าล้วนเห็นกับตา การยืมสมบัติเพราะพิจารณาถึงความปลอดภัยของค่ายทั้งแปดแห่งจักรวรรดิของแม่ทัพฉินฉู่ ควรค่าแก่การยกย่อง”
จ้าวซิงเย่นั่งลงอย่างสบายอารมณ์ เอ่ยปากเสียงแผ่วเบา
“ท่านแม่ทัพกล่าวชมเกินไปแล้ว” ฉินฉู่รีบกล่าว
ทว่าไม่รอให้ฉินฉู่โล่งอกก็เห็นจ้าวซิงเย่พูดว่า “แต่ว่า ในเมื่อเป็นการยืมสมบัติ ต้องไม่ฝืนใจผู้อื่นเป็นธรรมดา ไม่อย่างนั้นจะต่างอะไรกับการขโมย”
ฉินฉู่สีหน้าพลันจริงจัง กล่าวอย่างละอาย “ท่านแม่ทัพสอนสั่งถูกต้อง”
เวลานี้เขาไหนเลยจะกล้าแสดงความเห็น เขารู้ดีว่าวิธีการของสตรีเบื้องหน้านี้น่าหวาดกลัวเพียงใด
จ่างซุนเลี่ยและหลินสวินสบตากัน จ้าวซิงเย่คิดทำตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ย คลี่คลายกรณีพิพาทงั้นรึ
แต่เห็นชัดว่าพวกเขาเดาผิด ด้วยเห็นจ้าวซิงเย่ยิ้มน้อยๆ นัยน์ตางามมีเสน่ห์มองไปยังฉินฉู่ พลางว่า “ในเมื่อแม่ทัพฉินฉู่เห็นด้วยกับคำพูดข้า เช่นนั้นอาศัยโอกาสนี้ ข้าเองก็อยากรู้นักว่าคำพูดท่านเมื่อครู่เป็นจริงหรือไม่”
คำพูดอะไร?
ฉินฉู่ชะงัก แต่ว่าเขาไม่กล้าถามออกไป ได้แค่ผงกศีรษะอย่างใจเย็น “ข้าผู้แซ่ฉินไม่กล่าววาจาขัดกับจิตใจ”
จ้าวซิงเย่ลุกขึ้นปรบมือชื่นชมอีกครา “แม่ทัพฉินฉู่มีใจคิดเพื่อมวลชน สมเป็นต้นแบบของพวกเรา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าขอเป็นตัวแทนจักรวรรดิขอบคุณความเอื้อเฟื้อของแม่ทัพฉินฉู่ยิ่งนัก! เชื่อว่าอาณาประชาราษฎร์แห่งจักรวรรดิต้องจดจำความทุ่มเทของท่านแม่ทัพชั่วนิรันดร์!”
พูดพลางนางลุกขึ้นคำนับให้ฉินฉู่ ความจริงจังอาบทั่วใบหน้า
นี่ทำให้ฉินฉู่ตะลึงงันอยู่บ้าง นี่คิดจะทำอะไร เอื้อเฟื้อและทุ่มเทอะไรกัน ทำไมรู้สึกน่ากลัวอยู่บ้างเล่า
เวลานี้จ่างซุนเลี่ยคล้ายเข้าใจแล้ว อดหัวเราะเสียงดังออกมาไม่ได้ กล่าวว่า “เมื่อครู่เป็นข้าเข้าใจแม่ทัพฉินฉู่ผิด น่าละอายเสียนี่กระไร!”
นี่แม่ง… หมายความว่าอย่างไรกันแน่
ฉินฉู่รู้สึกไม่ชอบมาพากลยิ่งกว่าเดิม ครั่นเนื้อครั่นตัว ท้ายที่สุดเขาอดถามออกมาไม่ได้ “แม่ทัพจ้าว เรื่องนี้…”
“อ้อ แม่ทัพฉินไม่ต้องกังวล ความทุ่มเทของตระกูลฉินของพวกเจ้าครานี้ เพียงพอได้รับการยกย่องชื่นชมจากทุกคนในโลก ข้าเองจะขอความชอบต่อจักรวรรดิแก่เจ้า เพื่อเป็นการขอบคุณความใจกว้างของเจ้าและตระกูลฉิน”
จ้าวซิงเย่อมยิ้มกล่าว
ตูม!
ฉินฉู่ราวถูกอสนีบาต ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ในใจสั่นสะท้าน สีหน้าเปลี่ยนเป็นปรวนแปร กล่าวว่า “ท่านแม่ทัพ ทำไมข้า… ออกจะฟังไม่เข้าใจอยู่บ้าง”
หลินสวินที่อยู่ด้านข้างกล่าวอย่างประหลาดใจ “เอ๋ผู้อาวุโส หรือท่านลืมไปแล้ว เมื่อครู่ข้าเพิ่งถามท่านว่า เพื่อผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิซึ่งกรำศึกหลั่งโลหิตในสมรภูมิกระหายเลือดเหล่านี้ ตระกูลฉินของท่านสามารถมอบทรัพย์สินและกำลังทั้งหมดให้ได้หรือไม่ ท่านยังรับรองอย่างหนักแน่นว่า หากจักรวรรดิต้องการ ท่านและตระกูลฉินเบื้องหลังท่านจะไม่ปฏิเสธแน่นอน”
“ข้า…”
ฉินฉู่ตะลึง นิ่งอึ้งโดยสิ้นเชิง สีหน้าเปลี่ยนเป็นหลากสีสันยิ่งยวด นี่เขาก็แค่พูดไปงั้นๆ ใครเล่าจะคาดคิด ว่าจ้าวซิงเย่จะคิดเป็นจริงเป็นจัง…
หลินสวินแทบหัวเราะออกมาอยู่รอมร่อ ไอ้แก่นี่เมื่อครู่ยังทำทีครัดเคร่งคุณธรรม มีใจเสียสละเพื่อจักรวรรดิ ถึงขั้นหมายอาศัยเหตุนี้ลงมือโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด
ตอนนี้ช่างดีนัก จ้าวซิงเย่ใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่งเช่นกัน ทำให้ฉินฉู่อึ้งงันโดยสมบูรณ์
หลินสวินถึงขั้นนึกภาพออกว่า ในใจไอ้แก่นี่ต้องโหมคลั่งตะบึงบอน อัดอั้นจนแทบช้ำในแน่
นี่ก็คือการทำตัวเองโดยแท้!
สะใจ!
สะใจดีจริงๆ!
ในใจหลินสวินเลื่อมใสจ้าวซิงเย่ยิ่งอย่างอดไม่อยู่ ทันทีที่มาถึง ใช้คำพูดไม่กี่ประโยคก็บีบจนฉินฉู่ตกอยู่ในสภาพกระอักกระอ่วน วิธีการช่างร้ายกาจยิ่งจริงๆ
จ่างซุนเลี่ยก็กำลังหัวเราะร่า ท่าทางถูกบีบให้จำนนของฉินฉู่ทำให้เขาโคตรสะใจ
“แม่ทัพจ้าว เรื่องนี้… เรื่องนี้…” ฉินฉู่สูดหายใจลึก แต่กลับพบอย่างน่าอักอ่วนว่าตนไม่รู้จะพลิกสถานการณ์อย่างไร นี่ทำใบหน้าชราของเขาแทบแขวนไว้ไม่อยู่ อัดอั้นจนแทบกระอักเลือด
“แม่ทัพฉินคงไม่มีทางกลับคำ คำพูดเมื่อครู่ข้าบันทึกไว้หมดแล้ว เจ้าเป็นถึงราชันผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของตระกูลฉิน หากแม้แต่คำสัญญาของตนยังทำไม่ได้ มิกลายเป็นว่าทำให้ผู้คนในใต้หล้าหัวเราะเยาะหรอกรึ”
จ้าวซิงเย่พูดพลางนำแผ่นวิญญาณหยกออกมา หลังจากแสงวิญญาณวาบไหว เสียงของฉินฉู่ก็ดังขึ้น ‘หากจักรวรรดิต้องการ ตระกูลฉินของข้ามีหรือจะปฏิเสธ’
น้ำเสียงนั้นเด็ดเดี่ยวมีพลัง กึกก้องสะท้านปฐพี ดูใจกว้างและเผื่อแผ่เหลือจะเอ่ย สะท้อนก้องอยู่ในเรือนเนิ่นนานไม่หยุด
สุดท้ายหลินสวินทนไม่ไหวหัวเราะออกมา จ่างซุนเลี่ยเองก็หัวเราะจนตาปิด ส่วนหลูเหวินถิงยิ่งราวอยากหัวเราะแต่มิกล้า กลั้นขำจนท่าทางพิลึกพิลั่นเหลือทน
แต่สำหรับเจ้าของเรื่องอย่างฉินฉู่ เวลานี้กลับมีท่าทีเป็นอีกอย่าง
เห็นแค่มุมปากเขากระตุก เส้นเลือดตรงหน้าผากปูดนูน หน้าถอดสี ท่าทางจวนจะพังทลาย แทบกระอักเลือดออกมา
……………………