Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 734 แดนดูดเลือด
ในภูเขาลูกหนึ่ง
หลินสวินกำลังทำแผลให้อาปี้ อาปี้จ้องมองเขาอย่างงุนงง จู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “ทำไมยังจะช่วยข้าอีก ข้าเพียงอยากอธิบายว่า การมีชีวิตอยู่มันเจ็บปวดเกินไป ข้าไม่อยากได้ยินข่าวร้ายของเพื่อนๆ อยู่ตลอดเวลาอีกต่อไป…”
หลินสวินพูดสบายๆ “ไม่ว่าจะแก้แค้นหรือเปลี่ยนแปลงความเจ็บปวดทุกอย่างที่เจ้าแบกรับ การมีชีวิตอยู่จึงจะมีความหวัง”
“ความหวังหรือ”
อาปี้ยิ้มอย่างขมขื่น “หลายพันปีมานี้ จักรวรรดิกับพวกสวะเผ่าพ่อมดเถื่อนเข่นฆ่ากันในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้มาโดยตลอด ใครเล่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างนี้ได้”
“สักวันจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง” หลินสวินพูดอย่างนิ่งสงบ
“เจ้าเชื่อหรือ” อาปี้ถาม
หลินสวินมองตาอาปี้อย่างจริงจังแล้วกล่าว “เจ้าก็รู้ว่าหลายพันปีมานี้ มีผู้ฝึกปราณจักรวรรดิมากมายเคยต่อสู้ที่นี่ หากพวกเขายอมแพ้ตั้งแต่ตอนแรก เจ้าคิดว่าจะมีจักรวรรดิในวันนี้หรือ”
“เหอะๆ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีจิตใจที่รักบ้านเมือง คิดถึงประชาชนของจักรวรรดิ เมื่อก่อนดูถูกปณิธานของเจ้าเกินไปจริงๆ” อาปี้หัวเราะเยาะ
“ข้าไม่ได้มีจิตสำนึกที่สูงส่งขนาดนั้นหรอกนะ”
หลินสวินยักไหล่ ก่อนจะไตร่ตรองแล้วพูดว่า “ข้าก็แค่เหมือนเจ้า ที่ไม่อยากเห็นเรื่องเจ็บปวดที่เจ้าประสบเกิดขึ้นอีก…”
พูดถึงตอนท้าย เขาถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง “เจ้าเจ็บปวดมาก เหล่าทหารหาญของจักรวรรดิคนอื่นๆ ก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ แต่ใครจะกล้ายอมแพ้ง่ายๆ เจ้ายังจำประโยคนั้นได้หรือไม่ ดอกจื่อเย่าด้วยกระหายเลือดจึงมิพ่าย จักรวรรดิด้วยกรำศึกจึงอยู่ตราบนิรันดร์!”
อาปี้เงียบไปครู่หนึ่งแล้วปัดก้นลุกขึ้นยืน ใบหน้างดงามที่เต็มไปด้วยความดุดันแฝงยิ้มขื่น “เจ้าไม่ใช่นักเจรจาที่ดีเอาเสียเลย พูดเรื่องบ้านเมืองกับผู้หญิงอย่างข้า เจ้าคิดว่าข้าจะสนใจหรือ”
“อย่างน้อยขอเพียงแค่เจ้าไม่รนหาที่ตายอีก ข้าก็ไม่เสียแรงเปล่า”
หลินสวินเองก็ลุกขึ้นพูดอย่างสบายๆ “ข้ามีเพื่อนในค่ายหมายเลขเจ็ดไม่มากนัก หากเจ้าตาย ความเจ็บปวดที่เจ้าประสบตอนนี้ก็จะมาตกอยู่ที่ข้า เพราะฉะนั้นในฐานะเพื่อน ข้าย่อมไม่มีทางปล่อยให้เจ้ารนหาที่ตายโดยไม่ทำอะไรเลย”
อาปี้อึ้งงันไป จู่ๆ ก็ยื่นสองแขนออกไปกอดหลินสวินไว้แน่น พักใหญ่จึงพึมพำเสียงเบา “ขอบคุณเจ้า เจ้าหน้ามน”
……
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาอาปี้ก็กลับเป็นปกติ ไม่เอาชีวิตไปเสี่ยงเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป
หลินสวินกลับดีใจไม่ออกเลยสักนิด
สถานการณ์ของสมรภูมิกระหายเลือดปั่นป่วนและตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ คลื่นลมแผ่กระจายไปทั่วทุกแห่งหน ในค่ายมักจะได้ยินข่าวร้ายต่างๆ จากสนามรบอยู่ตลอดเวลา
“เหล่าหวงออกไปปฏิบัติภารกิจและประสบเคราะห์ไปแล้ว…”
วันนี้หลินสวินกำลังจะชวนหล่าหวงหัวหน้าทหารยามคุ้มกันค่ายมาดื่มด้วยกัน แต่กลับได้ยินข่าวร้ายเช่นนี้จากปากหลูเหวินถิง
หลินสวินอึ้งไปพักใหญ่ค่อยหมุนตัวออกไปเงียบๆ
เพื่อนจากไปอีกคนแล้ว
คืนนั้นหลินสวินนั่งดื่มอย่างหนักเพียงลำพัง นึกถึงช่วงเวลาครั้งแรกที่ดื่มกับเหล่าหวงที่โรงเตี๊ยม
‘ใต้เท้าท่านรู้หรือไม่ ข้าแช่อยู่ในสมรภูมิกระหายเลือดเห็บหมานี่มาห้าปีแล้ว ห้าปีเชียวนะ พรรคพวกข้างกายข้าเปลี่ยนไปชุดแล้วชุดเล่า ทั้งคนที่คุ้นเคยและแปลกหน้า จนบัดนี้ ข้าเกือบลืมไปแล้วว่าข้าควรจำใครบ้าง’
‘คนอื่นล้วนบอกว่าข้าดวงแข็ง ห้าปีแล้วยังไม่ตาย เหมือนกับปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง แต่ตัวข้าเองรู้ดี ข้าแม่งก็แค่กลัวตายเท่านั้น ดังนั้นทุกครั้งที่สู้รบ ข้าล้วนทำทุกวิธีให้ตัวเองไม่ตายแบบสุดแรงเกิด ถึงได้บังเอิญอยู่รอดมาจนป่านนี้…’
‘แต่ว่า การรอดชีวิตแบบนี้มันทุกข์ทรมานเหลือเกิน! ทุกๆ วันยามตื่นขึ้นมา ความคิดแรกก็คือควรรอดชีวิตให้พ้นวันนี้ไปได้อย่างไร! เรื่องต่อจากนี้และอนาคตอะไรนั่น ใครแม่งมันจะไปใส่ใจกัน’
‘เฮ้อ ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ที่นี่เป็นสมรภูมิกระหายเลือดเล่า ความตายล้วนเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อเชื่อวัน เผลอๆ วันใดวันหนึ่ง ข้า… ข้า… ก็…’
เสียงหลังจากเมาของเหล่าหวงราวกับยังดังอยู่ข้างหู แต่ตัวคนกลับจากไปแล้ว
ภายใต้ท้องฟ้ารัตติกาล ในห้องหลินสวินมีเพียงเสียงทอดถอนใจดังขึ้นเบาๆ “เหล่าหวง เจ้ามันปากเสีย…”
เช้าวันถัดมา หลินสวินก็ออกจากค่ายไป
……
สมรภูมิกระหายเลือด แดนดูดเลือด
ทัพผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนจำนวนนับร้อยคนกำลังเร่งเดินทาง
แม้กำลังคนไม่มาก ทว่าแต่ละคนต่างเป็นพ่อมดเถื่อนมือฉมัง มีผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทถึงห้าคนออกบัญชาการด้วยตัวเอง!
เป้าหมายของพวกเขาคือจู่โจมขบวนผู้ฝึกปราณอิสระของค่ายหมายเลขหกแห่งจักรวรรดิ
“หยุด!”
ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนหนึ่งที่เป็นผู้นำขบวนทัพหรี่ตา มองเห็นเงาร่างหนึ่งยืนนิ่งอยู่บนทางเดินแต่ไกล
นั่นเป็นเด็กหนุ่มในชุดคลุมสีขาวพระจันทร์คนหนึ่ง ผมดำยาวทิ้งตัวลงมาถึงเอว มือทั้งคู่ของเขาไพล่หลัง สายตามองฟากฟ้าที่อยู่ห่างออกไป คล้ายกำลังเหม่อลอย
แดนดูดเลือดเป็นเขตแดนที่มีเลือดไหลอย่างไม่ขาดสายมาแต่ไหนแต่ไร ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนและผู้ฝึกปราณจักรวรรดิเคยเปิดศึกนองเลือดที่นี่มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
แต่วันนี้กลับมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งมายืนอยู่ตรงนั้นคนเดียวด้วยท่าทางผ่อนคลาย นี่ดูผิดปกติเกินไป
ผู้นำทัพเผ่าพ่อมดเถื่อนคือผู้แข็งแกร่งของสายคนเถื่อนอัคคี เขาชื่อเหยียนจิ่วเกอ มีความรู้ที่กว้างขวาง ประสบการณ์หลากหลาย มองเพียงแวบเดียวก็ดูความผิดปกติออก
“ทุกคนระวัง!”
ความไม่สบายใจอันรุนแรงพรวดพราดขึ้นในใจเหยียนจิ่วเกอ พลันตัดสินใจอย่างเด็ดขาด สั่งหยุดขบวน
“ใต้เท้า เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนเดียวเท่านั้น กำจัดได้ง่ายๆ อยู่แล้ว จะกังวลอะไร”
ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนคนหนึ่งบ่นพึมพำ
“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร!”
เหยียนจิ่วเกอตะคอก สีหน้ายิ่งดูจริงจัง เขามักรู้สึกว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ห่างไปคนนั้นดูคุ้นๆ แต่กลับนึกไม่ออก
“หึ ถ้าเป็นหลินสือเอ้อร์ก็คุ้มกับที่เราเตรียมความพร้อมมา แต่เจ้าหมอนั่นไม่มีแม้แต่ธนู…”
ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนคนนั้นไม่เห็นด้วยนัก
แต่ทันทีที่เขาพูดเช่นนี้กลับประหนึ่งสายฟ้าผ่าลงมา ทำให้สีหน้าของเหยียนจิ่วเกอเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ในที่สุดเขาก็นึกออกแล้วว่าเหตุใดเด็กหนุ่มที่อยู่ในระยะไกลคนนั้นจึงดูคุ้นๆ
รูปลักษณ์ของเจ้าหมอนี่กับหลินสือเอ้อร์ที่เล่าลือเหมือนกันอย่างกับแกะ!
ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ ไม่มีธนูกระดูกขาวและศรเทพสีดำสนิทน่าสะพรึงกลัวที่โด่งดังไปทั่วทั้งสมรภูมิกระหายเลือด!
“แย่แล้ว รีบถอย!”
เหยียนจิ่วเกอตะโกน
เขาแน่ใจว่าเด็กหนุ่มคนนั้นต้องเป็นหลินสือเอ้อร์อย่างแน่นอน แม้ครั้งนี้อีกฝ่ายไม่ได้พกธนูมาด้วย แต่ด้วยชื่อเสียงอันดุดันท่วมฟ้าของเขา ทำให้เหยียนจิ่วเกอรู้สึกหวาดหวั่น!
ยิ่งไปกว่านั้นคนอย่างหลินสือเอ้อร์กล้าปรากฏตัวที่นี่โดยลำพัง จะเป็นการมารนหาที่ตายได้อย่างไร
ยิ่งคิดเหยียนจิ่วเกอก็ยิ่งกังวล
“ใต้เท้า ท่านเป็นอะไรไป”
“ถอยหรือ ทำไมต้องถอย”
เห็นปฏิกิริยาของเหยียนจิ่วเกอรุนแรงเพียงนี้ ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนคนอื่นๆ ของทัพขบวนนี้ต่างอึ้งไม่น้อย คิดไม่ตกว่าเพียงแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น จะเป็นภัยคุกคามได้ขนาดไหนเชียว
แต่เหยียนจิ่วเกอหนีไปแล้ว เขาราวกับสายลม หนีพลางตะโกนอย่างเดือดดาล “ไอ้พวกโง่เง่า เจ้าหมอนั่นก็คือหลินสือเอ้อร์! พวกเจ้าจะนั่งรอความตายหรือ”
เสียงราวกับสายฟ้าสั่นไหว ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนในขบวนทัพนี้ต่างตกตะลึง จ้าหมอนั่นถึงกับเป็น…หลินสือเอ้อร์จริงๆ?
“หนีสิ!”
เมื่อรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นยังไม่ทันเปิดศึกด้วยซ้ำก็หนีออกมาทันที
ช่วยไม่ได้ ตอนนี้ในค่ายทัพเผ่าพ่อมดเถื่อน ชื่อของหลินสือเอ้อร์คือตัวแทนของคำว่า ‘เด็กหนุ่มเทพมาร’ ทำให้ผู้คนพูดถึงแล้วหน้าเปลี่ยนสี เรียกได้ว่าเป็นปีศาจผู้เลื่องชื่อ
ข่าวลือของเขา ถึงขั้นสามารถทำให้ระดับราชันยังกระสับกระส่าย!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ใครยังจะกล้าอยู่ต่อ
ทว่าแม้การตอบสนองของพวกเขาจะไวมากแล้ว แต่ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง
พลันได้ยินเสียงคำรามราวกับเสียงฟ้าร้องตะลึงโลกดังกึกก้องขึ้นท่ามกลางฟ้าดินอย่างกะทันหัน
——