Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 742 คนจากสำนักกระบี่เทียมฟ้ามาเยือน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 742 คนจากสำนักกระบี่เทียมฟ้ามาเยือน
ผู้มาเยือนก็คือจ้าวไท่ไหลนั่นเอง
เขายิ้มตาหยีเข้าไปโผกอดหลินสวินอย่างกระตือรือร้น ก่อนยิ้มพูด “ข้าได้ยินแล้ว เจ้าทำผลงานที่สมรภูมิกระหายเลือดได้สวยงามมาก ตาเฒ่าโดดเดี่ยวที่เรือนโอบดารานิทราบุหลันบอกว่า ค่าอาหารที่ติดค้างเกือบจะจ่ายครบแล้ว”
หลินสวินกลอกตา “ข้าคิดว่าท่านมาต้อนรับข้าเสียอีก ไม่เคยคิดว่าสิ่งที่เป็นห่วงคือเงินค่าอาหารที่ติดค้างเอาไว้”
จ้าวไท่ไหลหัวเราะฮ่าๆ “ไป ออกจากที่บ้าๆ นี่ก่อนเถอะ มิฉะนั้นเดี๋ยวเจ้าไปไหนไม่ได้แน่”
หลินสวินพูดอย่างแปลกใจ “เพราะเหตุใด”
จ้าวไท่ไหลพูดสบายๆ “ใครใช้ให้เจ้าสร้างความครึกครื้นที่สมรภูมิกระหายเลือดขนาดนั้น ทำให้พวกตาเฒ่าในกรมทหารจับจ้องเจ้า จะให้เจ้าอยู่ทำงานในกรมทหาร”
หลินสวินเร่งฝีเท้าทันที พูดเป็นเล่น เขาเพิ่งกลับจากสนามรบยังไม่ทันได้กลับบ้านด้วยซ้ำ จะมีกะจิตกะใจอะไรอยู่รั้งกรมทหารของจักรวรรดิต่อได้อย่างไร
“ให้ตายเถอะ ทำไมไม่เห็นหลินสือเอ้อร์แล้ว หลินสือเอ้อร์ล่ะ”
หลินสวินและจ้าวไท่ไหลจากไปไม่นาน เสียงคำรามโฮกฮากก็กึกก้องไปทั่ว
“เหล่าติง เจ้าโวยวายอะไรของเจ้า แม้หาหลินสือเอ้อร์เจอ เจ้าหมอนั่นก็ไม่ไปกับเจ้าหรอก ต้นกล้าชั้นดีอย่างเขา ต้องอยู่ในกองทัพมังกรดำของข้าเท่านั้นจึงจะสามารถเด่นกว่าคนอื่นได้”
“พูดจาเหลวไหลอะไรของเจ้า! กองทัพมังกรดำของเจ้าเนี่ยนะ กองทัพหมาป่าโลหิตของข้าต่างหากที่โดดเด่นท่ามกลางผู้โดดเด่น ถ้าหลินสือเอ้อร์นั่นจะไป ก็ต้องไปกองทัพหมาป่าโลหิตของข้า!”
“พอเถอะๆ พวกเจ้าหยุดทะเลาะกันได้แล้ว กองทัพกุหลาบของข้ายังไม่เอ่ยปากเลย พวกเจ้าจะทะเลาะอะไรกัน มีความหมายอะไร”
ภายในค่ายมีเสียงถกเถียงกันอย่างดุเดือด พลันเห็นเหล่าแม่ทัพจักรวรรดิที่สีหน้าเคร่งขรึม น่าเกรงขามราวกับมหาสมุทรในตอนแรก ตอนนี้กลับเถียงกันไม่หยุด หน้าดำหน้าแดงกันหมดแล้ว
ทหารจักรวรรดิทุกคนต่างตะลึง ความจริงวันนี้เป็นวันต้อนรับทหารคว้าชัยกลับมาจากสมรภูมิกระหายเลือด เดี๋ยวจะมีการจัดงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จ ทว่าเหตุใดตอนนี้ เหล่าแม่ทัพอาวุโสในค่ายกลับทะเลาะกันเพราะหลินสือเอ้อร์
เจ้าหมอนี่มีอะไรแตกต่างงั้นหรือ
ไม่นานก็มีคนเล่าผลงานอันเกริกก้องที่หลินสวินสร้างในสมรภูมิกระหายเลือด ทำให้ทั้งลานเข้าใจทันควัน ฮือฮากันขึ้นมา
นึกในใจว่าไม่แปลกที่เหล่าแม่ทัพอาวุโสจะแย่งชิงตัวหลินสือเอ้อร์คนนั้นอย่างไม่รักษาท่าทีเช่นนี้ ที่แท้นี่เป็นบุคคลร้ายกาจพลิกฟ้า!
หากหลินสวินเห็นภาพนี้ จะต้องแอบรู้สึกโชคดีที่ตามจ้าวไท่ไหลจากไปก่อน มิฉะนั้นด้วยท่าทางเช่นนี้ หากวันนี้เขาไม่ตกลงอยู่ใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพอาวุโสสักคน คงไม่สามารถออกไปได้แม้แต่ก้าวเดียวแน่!
“อ้อ จริงสิ เจ้าหนูหลินสือเอ้อร์คนนี้เป็นใครกันแน่ เหตุใดก่อนเขาไปสมรภูมิกระหายเลือดจึงไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน”
ทันใดนั้นแม่ทัพอาวุโสผมขาวคนหนึ่งถาม
ทุกคนต่างมองหน้ากัน
ครู่หนึ่งจึงมีแม่ทัพวัยกลางคนที่พลังแข็งแกร่งมากคนหนึ่งพูดขึ้น “เมื่อครึ่งปีก่อน จ้าวไท่ไหลเป็นคนส่งเด็กคนนี้ไปที่สมรภูมิกระหายเลือด หากการคาดเดาของข้าไม่ผิด เขา… ก็คือหลินสวิน!”
“หลินสวิน? หรือว่า…”
“ใช่ หลินสวินผู้นำตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิต”
“ที่แท้ก็เป็นเขา!”
ทุกคนเข้าใจทันที ในใจแต่ละคนพลันสั่นไหวขึ้นมา เมื่อครึ่งปีที่แล้ว ชื่อของหลินสวินก็ดังก้องอยู่เหนือฟากฟ้านครต้องห้ามตั้งนานแล้ว เป็นที่รู้จักของคนใต้หล้า
ยามนี้เขากลับสร้างผลงานการรบที่โดดเด่นสะดุดตาขนาดนี้ในสมรภูมิกระหายเลือด นี่ดูน่าตกใจมากเกินไปแล้ว
“คุณชายไร้เทียมทาน อำนาจทั่วนครหลวง เฮ้อ เมื่อก่อนข้ายังไม่เห็นด้วยกับคำยกย่องนี้ แต่ตอนนี้กลับอดอุทานไม่ได้ว่าคนรุ่นหลังช่างน่ายำเกรง!”
แม่ทัพอาวุโสผมขาวคนหนึ่งถอนหายใจเอ่ย ทุกคนในที่นั้นต่างเห็นด้วย
ใช่แล้ว เมื่อก่อนหลินสวินมีชื่อเสียงเพียงในนครต้องห้ามเท่านั้น เป็นชื่อเสียงที่โด่งดังในจักรวรรดิ
แต่ตอนนี้เขาได้แผ่บารมี สร้างชื่อเสียงไปถึงสมรภูมิกระหายเลือด ทำให้เผ่าพ่อมดเถื่อนยังสั่นสะเทือน!
……
“ทีแรกข้าว่าจะดื่มกับเจ้าให้หน่ำใจสักจอก แต่ตอนนี้กลับมีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งต้องบอกเจ้า”
คนทั้งสองออกจากเมืองมหัตหลวง ระหว่างทางกลับไปยังนครต้องห้าม จ้าวไท่ไหลถอนหายใจเบาๆ หว่างคิ้วแฝงความทุกข์อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“เรื่องใดหรือ” หลินสวินถาม
ตอนนี้ทั้งสองนั่งอยู่บนยานสำเภา ห้อเหยียดอยู่ภายใต้ท้องฟ้า
“เมื่อไม่กี่วันก่อน ผู้อาวุโสท่านหนึ่งของสำนักกระบี่เทียมฟ้าแห่งดินแดนรกร้างโบราณ นำผู้สืบทอดกลุ่มหนึ่งมาเยือนจักรวรรดิ!”
ประโยคเดียวทำให้หลินสวินหรี่ตาลงทันที
สำนักกระบี่เทียมฟ้า!
เขาคุ้นเคยกับชื่อนี้มาก เพราะอวิ๋นชิ่งไป๋ศัตรูที่ฆ่าคนตระกูลหลินสายตรงในตอนนั้นก็มาจากสำนักกระบี่เทียมฟ้า
พูดได้ว่า ที่หลินสวินยืนยันจะไปดินแดนรกร้างโบราณ การแก้แค้นให้บิดามารดาและญาติพี่น้องเป็นเหตุผลหนึ่งที่สำคัญที่สุด!
และศัตรูก็คืออวิ๋นชิ่งไป๋!
“พวกเขามาทำอะไร” หลินสวินเงียบไปครู่ค่อยถาม
“ในที่แจ้ง จุดประสงค์ของพวกเขาเรียบง่ายมาก คือมาเพื่อองค์ชายเก้าที่ถูกถอดฐานันดรศักดิ์ จะพาองค์ชายเก้าไปฝึกปราณที่ดินแดนรกร้างโบราณ”
จ้าวไท่ไหลอธิบายอย่างใจเย็น “เจ้าเองก็รู้ว่า ท่านตาขององค์ชายเก้าเป็นผู้อาวุโสที่มีอำนาจอย่างแท้จริงในสำนักกระบี่เทียมฟ้า หลังจากพวกเขาได้ยินสิ่งที่องค์ชายเก้าประสบ แน่นอนว่าย่อมไม่นั่งดูดาย”
หลินสวินพยักหน้า
เขารู้เหตุผลดี
เมื่อสิบกว่าปีก่อนเป็นเพราะเหมิงหรง มารดาขององค์ชายเก้าจ้าวจิ่งเจินส่งข่าว ทำให้อวิ๋นชิ่งไป๋ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้ารู้ว่า ในร่างของหลินสวินที่เพิ่งเกิดได้ไม่นานมีพรสวรรค์หุบเหวกลืนกินแต่กำเนิด
หลังจากนั้นเพื่อแสวงหาสิ่งที่เรียกว่ามหามรรคสมบูรณ์ อวิ๋นชิ่งไป๋มาเยือนจักรวรรดิเพียงลำพัง เข้ามาสังหารตระกูลหลิน ฆ่าคนตระกูลหลินสายตรงในชั่วข้ามคืน และชิงชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดในกายหลินสวินซึ่งเพิ่งอยู่ในผ้าห่อทารกไป
ภายหลังเรื่องนี้ทำให้จักรพรรดิเดือดดาล ปลดตำแหน่งกุ้ยเฟยของเหมิงหรง ทว่าเพราะอานุภาพของสำนักกระบี่เทียมฟ้า จักรพรรดิจึงทำได้เท่านี้
สุดท้ายเหมิงหรงนั่นถูกบิดาของนาง ซึ่งก็คือผู้อาวุโสสำนักกระบี่เทียมฟ้าคนหนึ่งพาออกจากจักรวรรดิไป
ส่วนองค์ชายเก้าจ้าวจิ่งเจิน ก็เพราะเรื่องนี้จึงถูกจักรพรรดิละเลย จนกระทั่งช่วงก่อนหน้านี้ เพราะเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับหลินสวิน ทำให้องค์ชายถูกถอดยศ ถูกคุมตัวไปยังส่วนลึกของพระราชวังเพื่อเฝ้าสุสานบรรพบุรุษ ถูกกักบริเวณตลอดชีวิตไม่สามารถออกนอกบริเวณได้
เพียงแต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึงว่าสำนักกระบี่เทียมฟ้าจะส่งคนมา หมายจะพาองค์ชายเก้าที่ถูกควบคุมและกักบริเวณไปด้วย
เห็นได้ชัดว่าท่านตาขององค์ชายเก้าจะต้องออกแรงอยู่เบื้องหลังแน่!
หลินสวินใคร่ครวญอยู่ครู่ก็ถามว่า “ในเมื่อนี่เป็นจุดประสงค์ในที่แจ้งของพวกเขา ถ้าอย่างนั้นจุดประสงค์ในที่ลับของพวกเขาคืออะไร”
จ้าวไท่ไหลมองเขาปราดหนึ่งแล้วพูด “น่าจะเกี่ยวกับเจ้า”
“อวิ๋นชิ่งไป๋รู้แล้วหรือว่าข้ายังมีชีวิตอยู่” หลินสวินเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
จ้าวไท่ไหลพยักหน้า “แต่ที่นี่คือในจักรวรรดิ แม้อวิ๋นชิ่งไป๋มาก็ไม่กล้าก่อความวุ่นวายอีก ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้อวิ๋นชิ่งไป๋ไม่ได้มาด้วย เจ้าไม่มีอะไรต้องห่วง”
หลินสวินเงียบ
อวิ๋นชิ่งไป๋ ผู้ฝึกกระบี่อันดับหนึ่งที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งดินแดนรกร้างโบราณตั้งนานแล้ว เรียกได้ว่าต่ำกว่าระดับราชันไม่มีใครสู้ได้
ในข่าวลือ เขาคนนี้มีจิตใจมั่นคง ความสามารถโดดเด่น เข่นฆ่าอย่างเด็ดขาด ตั้งแต่เขาฝึกปราณจนถึงตอนนี้ ไม่เคยพ่ายแพ้แม้แต่ครั้งเดียว
เหนือหัวเขามีรัศมีสะดุดตามากมาย ราวกับผู้กล้าจากสวรรค์ ถูกผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนในดินแดนรกร้างโบราณเกรงกลัวและชื่นชม
เผชิญหน้ากับศัตรูเช่นนี้ แม้หลินสวินอยากเข้าไปสังหารถึงที่แทบทนไม่ไหว แต่ความจริงกลับโหดร้าย เขาเชื่อมั่นอย่างมากว่า ตนในตอนนี้หากเผชิญหน้ากับอวิ๋นชิ่งไป๋ แม้ยืมอานุภาพจากธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาคราม ก็มีโอกาสน้อยมากที่จะสังหารอีกฝ่ายได้
อย่างไรถึงเรียกว่าต่ำกว่าระดับราชันไม่มีใครสู้ได้
นั่นก็คือแม้แต่ราชันกึ่งระดับยังไม่อยู่ในสายตาของอวิ๋นชิ่งไป๋!
จากจุดนี้ก็รู้ได้ว่าคนอย่างอวิ๋นชิ่งไป๋แข็งแกร่งเพียงใด
อีกอย่างหลินสวินมีความกังวลอย่างหนึ่ง ข่าวสารที่เขารู้ล้าสมัยไปแล้ว อวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนี้ ไม่แน่ว่าอาจแข็งแกร่งกว่าในอดีตมาตั้งนานแล้ว!
“อวิ๋นชิ่งไป๋ไม่ได้มาหรือ ก็จริง เขาช่วงชิงชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดของข้าไปตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้ว ตอนนี้อาจจะก้าวสู่มหามรรคสมบูรณ์ที่เขาแสวงหาตั้งนานแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่สนใจเด็กที่ตอนนั้นยังเป็นเพียงทารกในสายตาเขาอย่างข้า ว่าจะสามารถทำให้เกิดคลื่นลมที่ยิ่งใหญ่เพียงใด”
สีหน้าของหลินสวินไม่ยินดียินร้าย น้ำเสียงเรียบเฉย “หรือบางที ต่อให้เขารู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของข้า เกรงว่าก็คงไม่เคยใส่ใจ”
แต่จ้าวไท่ไหลกลับรับรู้ได้ว่าอารมณ์ของหลินสวินในตอนนี้ผิดปกติมาก เขาอดพูดไม่ได้ “การต่อสู้มหามรรคไม่แบ่งแยกก่อนหลัง ด้วยความสามารถของเจ้าในตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องดูถูกตัวเองจนเกินไป”
หลินสวินส่ายหน้า “ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าเพียงกำลังอธิบายความจริงประการหนึ่ง เช่นนี้ไม่ยิ่งดีกว่าหรือ ข้าอยากให้เขามองข้ามข้าไปเสีย ถ้าเป็นเช่นนี้รอวันหนึ่งตอนที่ข้าไปแก้แค้นเขา จึงจะทำให้เขาตายอย่างอนาถมากกว่า!”
“อีกเดี๋ยวเมื่อกลับถึงนครต้องห้าม เจ้าอยู่ที่ภูเขาชำระจิตสักระยะก่อน รอข้าสืบว่าเหล่าผู้มาเยือนจากสำนักกระบี่เทียมฟ้าต้องการทำอะไรกันแน่ ค่อยเตรียมตัวก็ยังไม่สาย”
จ้าวไท่ไหลย้ำเตือนอย่างเคร่งขรึม
“ได้”
หลินสวินรับปาก
พลบค่ำวันนั้นหลินสวินกลับมาถึงหน้าภูเขาชำระจิต มองประตูภูเขาอันคุ้นเคย ในใจเขาเปลี่ยนเป็นแน่วแน่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เพื่อตระกูลหลินในวันนี้ ขอเพียงแค่เขาหลินสวินยังมีชีวิตอยู่ จะไม่มีทางยอมให้เรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีตซ้ำรอยอีก!
บนภูเขาชำระจิต ในตำหนักชำระจิต
พญาแร้งเรียกรวมบุคคลสำคัญของตระกูลหลินมาเหมือนปกติ กำลังปรึกษาหารือและจัดการธุระต่างๆ ในตระกูล
พวกหลินจง เสี่ยวเคอ หลินไหวหย่วน จูเหล่าซานต่างอยู่กันพร้อมหน้า
นอกตำหนัก ราชันอินทรีแดงแหงนหน้าเชิดอก ยืนอยู่บนชายคาห้องโถงอย่างภาคภูมิ ขนสีแดงทั่วลำตัวราวกับไฟศักดิ์สิทธิ์ลุกโหม อานุภาพทรงพลัง
“จิ๊บๆ~”
ทันใดนั้นก้อนกลมๆ อ้วนๆ สมบูรณ์ก้อนหนึ่งโผล่ออกจากอกของเสี่ยวเคอ มันมีตากลมๆ จมูกกลมๆ หูกลมๆ ร่างกายก็กลมมนนุ่มมาก น่ารักอย่างที่สุด
เป็นเจ้าจิ๊บจิ๊บนั่นเอง
“เป็นอะไรเจ้าจิ๊บจิ๊บ หิวแล้วหรือ” เสี่ยวเคออึ้งงัน คิดว่าเจ้าตัวเล็กหิวแล้ว
“จิ๊บๆ~”
เจ้าตัวเล็กราวกับรับรู้ได้ถึงบางอย่าง ร่างกลมๆ พลันดิ้นออกจากอ้อมอกของเสี่ยวเคอ
มันเหมือนตื่นเต้นมาก ปากเล็กส่งเสียงจิ๊บๆ ใสกระจ่างและถี่ยิบ จากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นไฟสายหนึ่งพุ่งออกนอกตำหนักไป
ทุกคนที่กำลังปรึกษาหารือกันต่างตะลึง ที่ผ่านมาเจ้าจิ๊บจิ๊บว่านอนสอนง่ายมาก ไม่เคยตื่นเต้นและผิดปกติเช่นนี้มาก่อน
สายตาของทุกคนอดมองไปยังนอกตำหนักไม่ได้
แทบจะในเวลาเดียวกัน เสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความดีใจของราชันอินทรีแดงก็ดังขึ้นจากนอกตำหนัก “นายท่าน นายท่านกลับมาแล้ว!”
…………………