Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 744 รับผิดโดยดี
ปัง! ปัง! ปัง!
ในโถงทองคำ เสียงแตกพังดังขึ้นเป็นระยะ คนในตระกูลกู่เหล่านั้นเริ่มลงมืออย่างหยาบคาย ทุบทำลายของมีค่าอันเลื่องชื่อที่สุดภายในโถงจนป่นปี้
“พวกเจ้าช่างกล้า!”
กู่เหลียงโกรธโดยสิ้นเชิง พุ่งถลาไปเบื้องหน้าด้วยดวงตาปูดโปน
“ถ้าเจ้ากล้าลงมือ ที่นี่จะต้องนองเลือด!”
นัยน์ตากู่ยงเฉียบคม กวาดมองบริเวณที่ห่างออกไปอย่างไม่แยแส ที่ตรงนั้นมีผู้ติดตามและคนรับใช้ของโถงทองคำตกใจจนตัวสั่นงันงกยืนอยู่เป็นกลุ่มก้อน
“พวกเจ้า… พวกเจ้าข่มเหงรังแกกันเกินไปแล้ว!”
กู่เหลียงโกรธจนตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาแดงก่ำ ข้ารับใช้และผู้ติดตามเหล่านั้นต่างเป็นผู้บริสุทธิ์ หากพวกเขาต้องพลอยรับเคราะห์เพราะตน เขาคงยากทำใจให้สงบได้!
ยิ่งเขาเป็นเช่นนี้กู่ยงก็ยิ่งครึ้มใจ กล่าวพลางหัวเราะว่า “จัดการกับเศษสวะกระจ้อยร้อยอย่างเจ้า ยังมีเรื่องที่พวกข้าไม่กล้าทำด้วยหรือ”
คนตระกูลกู่ที่กำลังทุบทำลายโถงทองคำเหล่านั้นก็หัวเราะครืนไม่สิ้น
กู่เกลียงโกรธจนเลือดขึ้นหน้า กล่าวด้วยสีหน้าคล้ำเขียว “ข้าเคยบอกแล้วว่าโถงทองคำแห่งนี้ไม่ใช่แค่ของข้ากับท่านพ่อข้าเท่านั้น พวกเจ้าทำเช่นนี้ ไม่กลัวว่าผู้นำตระกูลหลินจะลงโทษพวกเจ้าหรือ ถึงตอนนั้นกลัวแต่พวกเจ้าตระกูลกู่รวมตัวกันก็ยังแบกรับไม่ไหวด้วยซ้ำ!”
กู่ยงปั้นหน้าขรึมทันที กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ระยำจนป่านนี้แล้ว เจ้ายังเอาตระกูลหลินมาขู่พวกข้าอีก หากผู้นำตระกูลหลินมีความเกี่ยวข้องกับโถงทองคำ เหตุใดหลายวันมานี้ถึงไม่หือไม่อือเลยเล่า”
กู่เหลียงพลันจนคำพูด เพียงแต่สีหน้ายิ่งเหยเกมากขึ้นเรื่อยๆ มองดูร้านที่ตนเพิ่งเปิดหมาดๆ ด้วยความยากลำบากถูกทุบทำลายทิ้งทั้งอย่างนี้ หัวใจของเขาเจ็บแปลบไม่สิ้นสุด จวนเจียนกระอักเลือด
“เจ้าถอดใจเสียเถอะ!”
กู่ยงกล่าวอย่างดูหมิ่นถิ่นแคลน “หากวันนี้ผู้นำตระกูลหลินมาด้วยตัวเอง ให้ข้าคุกเข่าโขกหัวก็ได้ทั้งนั้น แต่เห็นได้ชัดยิ่งว่านี่เป็นไปไม่ได้ นครต้องห้ามในปัจจุบัน ใครบ้างไม่รู้ว่าผู้นำตระกูลหลินเป็นถึงผู้กล้าไร้เทียมทาน ชื่อเสียงน่าเกรงขาม แม้แต่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงยังไม่กล้าล่วงเกินง่ายๆ บุคคลโดดเด่นที่ชื่อเสียงโด่งดังทั่วหล้าเช่นนี้ ไหนเลยจะมาข้องเกี่ยวกับโถงทองคำเฮงซวยห่วยแตกของเจ้า”
ไม่กี่วันก่อนเขาก็เคยนำคนในตระกูลมุ่งหน้ามาทำลายสถานที่นี้ แต่กลับถูกกู่เหลียงเอ่ยอ้างความสัมพันธ์กับหลินสวินผู้นำตระกูลหลินจนตกใจ สุดท้ายก็จากไปด้วยความตื่นกลัว
เพียงแต่ไม่นานเขาก็ตระหนักได้ว่า หลินสวินไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยแม้แต่น้อยเมื่อเห็นโถงทองคำประสบปัญหา
ดังนั้นกู่ยงจึงพลันอับอายจนพาลโกรธ คิดว่าตนติดกับเสียแล้ว ฉะนั้นจึงนำคนในตระกูลยกทัพกลับมาอีกครั้ง
ในตอนแรกเขาเองก็กังวลใจอยู่เล็กน้อย ดังนั้นตอนที่พุ่งเป้าใส่โถงทองคำจึงยั้งไม้ยังมืออยู่บ้าง ไม่กล้าทำเกินเหตุนัก
ทว่าหลังจากเขาหยั่งเชิงอยู่หลายวัน ก็พบว่าตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย สิ่งนี้ทำให้กู่ยงมั่นใจในที่สุดว่าตนนั้นติดกับของกู่เหลียงเข้าให้แล้ว
ไอ้เศษเดนนี่กำลังเขียนเสือให้วัวกลัวอยู่!
ภายใต้ความอับอายจนพาลโกรธ วันนี้กู่ยงมาด้วยไอสังหารท่วมท้น ตัดสินใจมั่นว่าจะไม่ยั้งมืออีกต่อไป จะทำลายโถงทองคำสิ้นซาก ทำให้เจ้าเศษสวะกู่เหลียงหนีอุตลุดออกจากนครต้องห้ามแบบจับเจ่าเศร้าซึม
และก็เพราะมีความคิดเช่นนี้เป็นพื้นฐาน กู่ยงถึงได้กล้าพูดอย่างมั่นใจเต็มพิกัดเช่นนี้ออกมา
เวลานี้เขาถึงขั้นครึ้มใจที่ตนเองมองเห็นธาตุแท้ใน ‘คำโกหก’ ของกู่เหลียง เปิดโปง ‘เจตนาชั่วร้าย’ ของเจ้าเด็กคนนี้
“เจ้าจะต้องเสียใจภายหลัง” ท่าทางของกู่เหลียงซึมกะทือ ในครรลองสายตาเขา โถงทองคำที่แสนวิจิตรงดงามแต่เดิม เวลานี้ถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดี ยับเยินป่นปี้ ระเนระนาดเกลื่อนพื้น สิ่งนี้ทำให้หัวใจของเขากระตุกเกร็ง
“เสียใจภายหลัง?”
กู่ยงระเบิดหัวเราะลั่น “ข้ากู่ยงทำการใดยังไม่เคยเสียใจภายหลัง!”
ตุบๆ!
ในเวลานี้เอง ผู้ฝึกปราณตระกูลกู่ที่อออยู่หน้าประตูใหญ่โถงทองคำเป็น ‘กำแพงมนุษย์’ เหล่านั้น กลับเหมือนพบเจอการพุ่งชนของวัวป่าเถื่อนโบราณ แต่ละคนลอยกระเด็นเข้ามาในโถงดุจว่าวที่เชือกขาด กลิ้งหลุนๆ เต็มพื้น
เสียงโหยหวนและคร่ำครวญดังขึ้น
“บังอาจ! ใครแม่งกล้าขัดขวางตระกูลกู่ของข้า”
รอยยิ้มของกู่ยงพลันแข็งทื่อในบัดดล ตะคอกอย่างเดือดดาลขึ้นมา รู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจอยู่บ้าง
“เจ้าบอกว่าขอแค่ข้ามา เจ้าจะคุกเข่าโขกหัว ตอนนี้เจ้าไม่เพียงแต่ไม่คุกเข่า กลับยังกล้าพูดจาหยาบคายกับข้า ช่างใจกล้าเสียจริง”
ที่ตามหลังน้ำเสียงราบเรียบมาคือเด็กหนุ่มหล่อเหล่ารูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่ง เดินสาวเท้าเข้ามาในโถงทองคำโดยมีชายชราคนหนึ่งเดินเคียงมา
“เจ้าเป็นใคร”
นัยน์ตากู่ยงหดรัดลงเล็กน้อย สีหน้าท่าทีแคลงใจไม่มั่นคงอยู่บ้าง
ผู้ฝึกปราณตระกูลกู่ที่กำลังทุบทำลายโถงทองคำอยู่ ก็ถูกการเคลื่อนไหวเมื่อสักครู่ทำเอาตกใจเช่นกัน เวลานี้ต่างพากันหยุดการเคลื่อนไหว ทอดสายตามองมา
“เจ้าคุกเข่าลงไปก่อนแล้วค่อยพูดกับข้า”
เด็กหนุ่มคนนั้นย่อมเป็นหลินสวิน เขาชำเลืองมองกู่ยงปราดหนึ่งแล้วคร้านจะใส่ใจอีก มองไปทางกู่เหลียง
“ข้ามาช้าไป” หลินสวินค่อนข้างรู้สึกผิด
กู่เหลียงส่ายหน้า เผยรอยยิ้มจากใจพลางกล่าว “ไม่ถือว่าช้า อย่างน้อยในนครต้องห้าม ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกันอีกครั้งแล้ว”
“จะ… เจ้า… เจ้าคือ…”
ยามนี้นัยน์ตากู่ยงเบิกตากว้างสุดแรงเหมือนคาดเดาบางอย่างออก มีท่าทีคล้ายเห็นผีตัวเป็นๆ ตาค้างโดยสิ้นเชิง
ตุบ!
เวลานี้หลินจงเดินมาข้างหน้า ฝ่ามือตบบนตัวกู่ยงเบาๆ ฝ่ายหลังก็คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตุบ กระดูกเข่าทั้งสองข้างพลันแตกละเอียด ปวดจนแก้มเขาบิดเบี้ยวขึ้นมา สูดลมหายใจเย็นเยียบไม่หยุด
เขาไม่กล้าร้องออกเสียง เนื่องจากตกใจกลัวจนเบลอแล้วจริงๆ เหงื่อเย็นเปียกชุ่มหน้าผาก มีท่าทีตกใจอย่างท่วมท้น
ถ้าเขาเดาถูก เช่นนั้นฐานะของเด็กหนุ่มตรงหน้าคนนั้นก็ชัดเจนแล้ว
เพียงแต่ต่อให้ตีหัวกู่ยงก็ยังคิดไม่ถึง บุคคลไร้เทียมทานผู้มีชื่อเสียงทั่วจักรวรรดิ ถูกเรียกว่า ‘อำนาจทั่วนครหลวง’ ไฉนจึงมาข้องเกี่ยวกับโถงทองคำซึ่งไม่เป็นที่รู้จักได้!
ความรู้สึกนั้นก็เหมือนดั่งมังกรเทพบนสวรรค์มีความสัมพันธ์กับมดตัวหนึ่งบนพื้นดิน เห็นได้ชัดว่าน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
“ไม่ได้ยินที่นายน้อยของข้าพูดรึ คุกเข่าลงค่อยพูด!” หลินจงตักเตือนหนึ่งครา กุมสองมือไว้ด้านหน้า ยืนอยู่ข้างกายหลินสวิน
ด้านข้าง ผู้ฝึกปราณของตระกูลกู่พวกนั้นล้วนตกใจจนอึ้งค้าง
หนึ่งชายชราหนึ่งเด็กหนุ่มโผล่มากะทันหัน ซัดทะลวง ‘กำแพงมนุษย์’ ที่ขวางอยู่หน้าประตูอย่างง่ายดาย จากนั้นก็เดินเข้าไปในโถงด้วยท่าทางเยือกเย็นราวกับทอดน่องมิปาน พลังอำนาจอันไร้รูปประเภทนั้นทำให้พวกเขาล้วนตกตะลึง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองเห็นผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะอย่างกู่ยงถึงกับถูกตบให้คุกเข่าลงกับพื้นด้วยฝ่ามือเดียวแบบง่ายๆ หัวใจของผู้ฝึกปราณตระกูลกู่ล้วนสั่นระริกขึ้นมา สีหน้าเปลี่ยนไปมาก ครั้งนี้… ดูเหมือนจะเตะโดนแผ่นเหล็กเข้าให้จริงๆ แล้ว!
ส่วนด้านนอกโถงทองคำ ผู้ฝึกปราณมากมายที่มารายล้อมอยู่ก่อนเพื่อรอชมเรื่องสนุก ในนั้นไม่ขาดบุคคลเก่งกาจส่วนหนึ่งเลย
เมื่อเห็นว่าผู้ฝึกปราณตระกูลกู่พวกนี้ที่เมื่อครู่ยังอวดดีนักหนา แต่ละคนทุบทำลายร้านค้าของผู้อื่นอย่างโจ่งแจ้ง ตอนนี้กลับทรุดสลายและตกตะลึง ผู้ฝึกปราณที่ชมอยู่รอบนอกเหล่านี้ต่างก็อดตกอกตกใจไม่ได้
ใครกันช่างใจกล้าขนาดนี้ ถึงขั้นกล้าขัดขวางตระกูลกู่
ถึงแม้ตระกูลกู่มิได้โดดเด่นเท่ากับเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง แต่ดีร้ายอย่างไรก็เป็นหนึ่งในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นกลางของจักรวรรดิ
ที่ผ่านมาไม่เคยถูกคนปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน!
จากนั้นมีผู้ฝึกปราณตาแหลมจำบางอย่างได้ อดกล่าวเสียงขาดห้วงไม่ได้ “สวรรค์ นั่นหลินสวิน ผ่านไปนานครึ่งปี เขาปรากฏกายอีกครั้งแล้ว!”
หินก้อนหนึ่งก่อเกิดคลื่นนับพัน นอกโถงทองคำฮือฮากันเป็นแถบในบัดดล ตระหนักได้ในที่สุด มิน่าเด็กหนุ่มคนนั้นถึงกล้าทำกับคนตระกูลกู่เช่นนี้ ที่แท้เป็นเด็กหนุ่มผู้กล้าที่ดุร้ายหาใดเปรียบ ชื่อเสียงสะเทือนทั่วหล้ามาเยือนนั่นเอง
คราวนี้ตระกูลกู่เตะโดนเหล็กเข้าให้จริงๆ แล้ว!
ผู้ฝึกปราณจำนวนมากอดมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นมิได้
ส่วนผู้ฝึกปราณบางคนที่เลื่อมใส่หลินสวินถึงที่สุด ถึงขั้นอดใจไม่อยู่พากันขันอาสาร่วมลงมือ
“คุณชายหลินสวิน ต้องการให้พวกข้าช่วยเหลือหรือไม่”
“คนตระกูลกู่พวกนี้ข่มเหงรังแกกันเกินไปแล้ว ต่อหน้าคนมากมาย ถึงกับทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ นี่มันน่าโมโหยิ่งนัก คุณชายหลิน พวกข้ายินดีช่วยเหลือท่าน ร่วมกันกำจัดพวกสามานย์ไร้คุณธรรมพวกนี้!”
ได้ยินเสียงอื้ออึงนอกโถง กู่ยงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแทบลมจับล้มพับไป
เขาไหนเลยจะเคยคาดคิด ระแวดระวังขนาดนี้แล้ว คิดไม่ถึงว่าผลสุดท้ายยังหกคะเมนอยู่ใน ‘คำโกหก’ นั้น
ไม่สิ!
นี่แม่งไม่ใช่คำโกหกเลยแม้แต่น้อย!
เมื่อคิดถึงตรงนี้กู่ยงแทบอยากตบตัวเองสักฉาด ถึงกับล่วงเกินจนผู้นำตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตคนนี้ปรากฏตัว
เมื่อนึกถึงวีรกรรมป่าเถื่อนที่ ‘คนโหดเหี้ยม’ ผู้นี้เคยทำมาทั้งหมดในนครต้องห้าม กู่ยงถึงขั้นคิดจะตายแล้วด้วยซ้ำ สภาพจิตใจในตอนนี้แทบหาคำมาสาธยายไม่ได้
หวาดกลัว?
ตกใจ?
นึกเสียใจ?
บางทีอาจมีรวมกันทั้งหมด
สรุปแล้วสีหน้าของกู่ยงในตอนนี้ซีดเซียวยิ่งนัก เหมือนบุพการีสิ้นชีพก็ไม่ปาน
“ข้าจำได้ว่าคราวก่อนตอนเราสองคนพบกันที่เมืองหมอกอำพราง ก็แทบจะเป็นภาพคล้ายๆ กันนี้ เหตุใดมาถึงนครต้องห้ามแล้วยังเกิดเรื่องแบบนี้อยู่อีก”
หลินสวินไม่ได้สนใจอย่างอื่น สายตาเพียงมองไปที่กู่เหลียง
“พูดไปแล้วเรื่องมันยาว”
กู่เหลียงถอนหายใจ “เรื่องพวกนี้ อันที่จริงเกี่ยวโยงถึงบุญคุณความแค้นบางอย่างของบิดาข้ากับตระกูลกู่ ล้วนเป็นเรื่องเก่าในอดีตทั้งสิ้น เดิมทีข้านึกว่าข้ากับบิดาอดกลั้นและหลีกถอยเพียงพอแล้ว กลับคิดไม่ถึงว่าจนป่านนี้ตระกูลกู่ก็ยังไม่คิดหยุดเพียงเท่านี้”
ทั้งสองพูดคุยจิปาถะกันอยู่ข้างๆ มองบุคคลอื่นในที่นั้นราวกับไม่มีตัวตน
ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ ก็ทำให้กู่ยงและคนตระกูลกู่พวกนั้นยิ่งกลัวลนลานและกระสับกระส่ายขึ้นเรื่อยๆ รสชาติของการรอถูกกำจัด ชีวิตอยู่ในประตูมรณะเช่นนี้ ทำให้พวกเขาแทบล้มทั้งยืน
ส่วนด้านนอกโถงทองคำ กลุ่มคนที่มุงล้อมกลับมากขึ้นเรื่อยๆ ล้วนเป็นผู้ฝึกปราณที่ได้ยินว่าหลินสวินปรากฏกายอยู่ที่นี่แล้วเร่งรุดมาชมเรื่องสนุกกันทั้งนั้น
ช่วยไม่ได้ หลินสวินนิ่งเงียบไม่เคยปรากฏตัวมาครึ่งปีแล้ว การเคลื่อนไหวของผู้กล้าไร้เทียมทานคนหนึ่งเช่นนี้ เดิมก็ได้รับความสนใจมากอยู่แล้ว และตอนนี้เขาถึงกับปรากฏตัวอยู่ภายในร้านค้าที่ไม่มีใครรู้จักแห่งหนึ่ง แค่คิดก็รู้ว่าจะดูดดึงเสียงเกรียวกราวได้มากเพียงใด
“ข้ากู่เทียนจาง นำสมาชิกตระกูลมาขอขมายอมรับผิดแต่โดยดี!”
ไม่นานนักนอกโถงทองคำพลันมีเสียงชราเสียงหนึ่งดังขึ้น
กลุ่มคนที่ล้อมชมเรื่องสนุกอยู่นอกโถงทองคำถูกแหวกออก พลันเห็นชายชราคนหนึ่งนำขบวนชายหญิงมาด้วยความเร่งรีบ ท้ายที่สุดก็หยุดเท้าอยู่นอกโถงทองคำ แล้วพากันโน้มกายคารวะ
ภาพนี้ทำเอาผู้ฝึกปราณมากมายตกตะลึงในบัดดล เพราะพวกเขาจำได้ว่ากู่เทียนจางผู้นั้นเป็นผู้นำคนปัจจุบันของตระกูลกู่!
นี่เป็นถึงเจ้าตระกูลแห่งตระกูลทรงอิทธิพลชั้นกลางผู้หนึ่ง ในสายตาของผู้ฝึกปราณทั่วไป เรียกได้ว่าเป็นคนใหญ่คนโตมากอำนาจโดยสิ้นเชิง
ในขณะเดียวกันเหล่าชายหญิงที่อยู่ข้างกายกู่เทียนจาง ต่างก็เป็นกลุ่มคนชั้นนำของตระกูลกู่ มีทั้งผู้อาวุโสและมีผู้ดูแล ไม่ขาดตกบุคคลชั้นแนวหน้าเลย
ทว่าตอนนี้พวกเขากลับรุดหน้ามาพร้อมกันภายใต้การนำของกู่เทียนจาง ยอมรับผิดอยู่นอกโถงทองคำ ภาพเหตุการณ์ระดับนั้น แค่คิดก็รู้ว่าน่าตกใจมากเพียงใด!
…………………