Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 758 หนทางเบื้องหน้าราวห้วงสมุทร อนาคตไพศาลกว้างไกล
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 758 หนทางเบื้องหน้าราวห้วงสมุทร อนาคตไพศาลกว้างไกล
ส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ ลึกลับและอันตราย มีแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์อันเป็นหนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาล และมีสุสานสมุทรฝังมรรคที่แปลกประหลาดและไม่เป็นมงคล
หลินสวินเคยท่องแดนลับอสูรมารอริยะในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ เคยเห็นวานรเฒ่าที่จำศีลอยู่ในเกาะอริยะปัญจธาตุ นี่เป็นถึงอริยะที่แท้จริงผู้หนึ่งเชียว
และเคยเข้าไปใน ‘ดินแดนแห่งดวงกมลในแท่นบูชา’ ได้รับมรรคคาถาเร้นลับเกินคาดเดาบทหนึ่ง และได้รับวิชาอริยมรรคที่แท้จริงเล่มหนึ่ง… วิชาอริยะยุทธ์!
เช่นเดียวกัน หลินสวินก็เคยเจอเรื่องอัปมงคลและแปลกประหลาดมากมายในสุสานสมุทรฝังมรรค อย่างเช่นศพเทพบรรพกาลที่ลอยอยู่กลางทะเลยาวหลายพันจั้ง ใหญ่เท่าผืนดิน
และเคยเห็นภิกษุตาบอดที่กลิ่นอายน่าสะพรึงไร้ที่เปรียบ รวมทั้งเงาร่างอันพร่าเบลอและผู้หญิงที่อยู่ภายใต้หมอกสีเทา
หากการคาดเดาของหลินสวินไม่ผิด ทั้งสองน่าจะเป็นบุคคลน่าหวาดหวั่นที่ก้าวสู่ระดับอริยเทพแล้วอย่างแน่นอน
ถึงขั้นที่หลินสวินยังนึกถึงอาหูเด็กสาวชุดเหลืองผู้ลึกลับ ตอนที่กลับจากทะเลกลืนวิญญาณ เขาถูกกลุ่มราชันตามฆ่า เป็นเพราะได้รับการช่วยเหลือจากอาหูจึงพ้นเคราะห์ครั้งนั้นมาได้!
ยามนี้คิดดูแล้ว หลินสวินกลับพบว่า ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ แดนลับอสูรมารอริยะ หรือสุสานสมุทรฝังมรรค ความลึกลับที่ซ่อนอยู่ภายในล้วนเหนือจินตนาการอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ตนเข้าใจและค้นพบเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ เท่านั้น
และป่าต้นหม่อนในสมรภูมิกระหายเลือดยิ่งไม่ธรรมดา ภายในหมอกโลหิตฟุ้ง กว้างใหญ่ราวกับไม่มีที่สิ้นสุดนั้น สิ่งมีชีวิตระดับอริยเทพที่น่าหวาดหวั่นมากมายซ่อนตัวอยู่ภายใน ถึงขั้นที่มีตำหนักมรรคที่แสงอริยะทะลวงฟ้า ทำให้อริยมรรคต่างไม่ลังเลที่จะต่อสู้เพื่อช่วงชิง!
“จริงดังว่า โลกชั้นล่างนี้มีดินแดนที่เหลือเชื่อมากมาย ไม่ได้แห้งแล้งอย่างที่คนในดินแดนรกร้างโบราณกล่าว”
หลินสวินเงียบไปนานค่อยกล่าวทอดถอนใจ
เพราะเคยเห็น เขาจึงยิ่งแน่ใจในความลึกลับและไม่ธรรมดาของโลกชั้นล่าง!
และตามที่จักรพรรดิบอก ความลับอันยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในโลกชั้นล่างนี้ มีเพียงตอนที่หลินสวินก้าวสู่ขอบเขตระดับมกุฎราชันแล้ว จึงจะมีโอกาสไปทำความเข้าใจและค้นหา นี่เป็นเรื่องที่น่าทึ่งเกินไปแล้ว
“ราชครูบนหอดูดาวหลวง เจ้าสำนักของสำนักศึกษามฤคมรกต เฒ่าโดดเดี่ยวในเรือนโอบดารานิทราบุหลัน รวมทั้งเจียวที่ซ่อนตัวอยู่ในทะเลตะวันออกของจักรวรรดิตัวนั้น… หากโลกชั้นล่างแห้งแล้งอย่างที่เล่าลือ พวกเขาจะยอมจำศีลอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
แววตาจักรพรรดิลุ่มลึก มาถึงระดับเช่นเขา ย่อมมองความลึกลับมากมายบนโลกนี้ออกแล้ว ก็เพราะยืนอยู่บนที่สูง จึงสามารถมองได้ไกล
“ยังมีราชันเถื่อนมากมายที่อยู่ในเผ่าพ่อมดเถื่อนเก้าสาย ขุมอำนาจสิ่งมีชีวิตบรรพกาลที่ยึดครองส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ… พวกเขาก็ล้วนรอคอยมหวาสนาที่ซ่อนอยู่ในโลกชั้นล่างมิใช่หรือ”
พูดถึงตรงนี้จักรพรรดิพลันส่ายหน้ากล่าว “ความเร้นลับเหล่านี้ยังห่างไกลเกินไปสำหรับเจ้าในตอนนี้ เจ้าจำไว้เพียงว่า ถ้าอยากผงาดขึ้นในมหาสงคราม ก้าวสู่มรรคามกุฎราชันในตำนาน ดินแดนรกร้างโบราณคือสถานที่เดียวที่สามารถมอบโอกาสเช่นนี้ให้เจ้าได้”
“และพอถึงตอนที่เจ้าก้าวสู่มกุฎราชัน โลกชั้นล่างนี้ก็สามารถให้โอกาสเจ้าในการก้าวไปอีกขั้นบนเส้นทางมหามรรค!”
ความหมายเรียบง่ายมาก นั่นคือถ้าอยากกลายเป็นมกุฎราชัน ก็ต้องไปดินแดนรกร้างโบราณ และหลังจากกลายเป็นมกุฎราชันแล้ว หากต้องการก้าวขึ้นไปอีกขั้น ก็ต้องหวนกลับมายังโลกชั้นล่าง!
หลินสวินเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว
จักรพรรดิกำลังชี้ทางให้ตน!
“องค์ชายเก้าถูกกู้ตงถิงแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าพาตัวไปแล้ว ต่อไปหากพวกเจ้าได้พบกัน ถ้าเป็นไปได้อยากให้เจ้าไว้ชีวิตเขา” จู่ๆ จักรพรรดิก็พูดขึ้น ท่าทางดูลังเลเล็กน้อย
เขาในตอนนี้ความเย่อหยิ่งน่าเกรงขามถดถอยลงไปหลายส่วน และมีความรู้สึกสับสนของผู้อาวุโสในตระกูลเพิ่มเข้ามา
ไม่ว่าอย่างไรองค์ชายเก้าจ้าวจิ่งเจินก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา แต่ระหว่างหลินสวินและสำนักกระบี่เทียมฟ้ามีความแค้นใหญ่หลวงต่อกัน จักรพรรดิรู้ดีว่าถ้าหลินสวินเจอลูกชายไม่เอาไหนคนนี้ของตน จะต้องเกิดความขัดแย้งอย่างแน่นอน
“ได้”
หลินสวินเงียบไปครู่จึงรับปาก “แต่ถ้าเขาดึงดันจะเป็นศัตรูกับข้า…”
“เช่นนั้นก็ฆ่าซะ!” จักรพรรดิพูดออกมาทีละคำ สีหน้าเรียบเฉย
“เจ้าไปดินแดนรกร้างโบราณคราวนี้ หากพบเรื่องเดือดร้อนใดสามารถไปหาจิ่งเซวียนได้ นางโตที่นั่น อีกทั้งข้างกายยังมีบุคคลชั้นยอดคอยดูแล เชื่อว่านางจะยินดีที่ไปหานางมาก”
ตอนที่จักรพรรดิพูดเช่นนี้ แววตากลับแฝงแววประหลาดเสี้ยวหนึ่ง มองจนหลินสวินอึดอัดไปทั้งตัว นี่กำลังเสี้ยมตนให้ไปปฏิสัมพันธ์กับจ้าวจิ่งเซวียนให้มากขึ้นงั้นหรือ
นี่ก็…
หลินสวินพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
วู้ม!
จักรพรรดิไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น พลันสะบัดแขนเสื้อ แท่นบูชาห้าสีที่อยู่ตรงหน้าก็เกิดเสียงคำรามราวกับตื่นจากการหลับใหล แผ่แสงอริยะศักดิ์สิทธิ์หลากสีพุ่งทะลวงฟ้ากะทันหัน แปรเป็นทางเดินมายาที่งดงามเส้นหนึ่ง พาดขวางระหว่างฟ้าดิน
พริบตานี้สัตว์ประหลาดเฒ่ามากมายในนครต้องห้ามต่างตกใจ ส่งจิตรับรู้เข้ามาในส่วนลึกของพระราชวังโดยพร้อมเพรียง
ที่ตรงนั้นแสงรุ้งงดงามทะลวงฟ้า ราวกับความฝัน
“หลินสวินจะไปแล้ว!”
ทันใดนั้นสัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านี้ต่างตระหนักได้ ว่าช่องทางสู่ดินแดนรกร้างโบราณเปิดออกแล้ว
“กลับมาคราวหน้า หากสามารถต้องตาข้าได้ ข้าจะเลี้ยงเจ้ามื้อใหญ่!”
เรือนโอบดารานิทราบุหลัน ร่างอันผอมแห้งของเฒ่าโดดเดี่ยวยืดตรง นัยน์ตาขุ่นมัวเผยประกายประหลาด
“เส้นทางการเปลี่ยนชะตา ฝืนฟ้าตัดวิถี พิบัติเคราะห์กฎกรรม ตอนนั้นลู่ป๋อหยาแบกรับแทนเจ้า ตอนนี้ก็อยู่ที่เจ้าแล้ว…”
บนหอดูดาวหลวง ราชครูพิงราวกั้นทอดสายตามองไปไกล พึมพำเสียงเบา
“ศิษย์พี่ เขาไปแล้ว”
สำนักศึกษามฤคมรกต ภายในกระท่อมเชิงเขาภูผาบันไดสวรรค์ ชายชราที่เคยเห็นหลินสวินไต่ภูผาบันไดสวรรค์กับตาตื่นจากอาการเมาค้าง
“สำนักกระบี่เทียมฟ้า แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ความแค้นของลู่ป๋อหยา… ยังไม่ถึงดินแดนรกร้างโบราณ เขาก็เกิดความขัดแย้งกับที่นั่นมากมายแล้ว การเดินทางครั้งนี้ไม่เงียบเหงาแน่”
เจ้าสำนักยิ้มพูดเนิบๆ
“ในที่สุดดาวอสูรน้อยนี่ก็ไปแล้ว!”
“เจ้าตัวซวย ไปซะที!”
ในเวลาเดียวกัน ขุมอำนาจใหญ่อย่างตระกูลจั่ว ฉินและฉือ เหล่าคนใหญ่คนโตที่เกลียดหลินสวินเข้ากระดูกต่างโล่งอกอย่างสิ้นเชิง ราวกับยกภูเขาออกจากอก
ณ หอสรวลทรัพย์
ภายในเรือนหลังหนึ่ง จู่ๆ ก็มีเสียงเพลงอันฮึกเหิมทรงพลังดังขึ้น จังหวะดนตรียิ่งใหญ่เกรียงไกร
ทันใดนั้นแขกทั้งหอต่างหยุดการกระทำในมือโดยพร้อมเพรียง เผยท่าทางสดับตรับฟัง เพราะพวกเขาคุ้นเคยกับลำนำนี้เป็นอย่างดี
“ธาราธารโคจรคล่อง ไหลเวียนว่องมโหฬาร
มังกรซ่อนทะยานห้อ กรงเล็บล้อระบำหาญ
พยัคฆ์น้อยร้องคำราม ล้วนครั่นคร้ามร้อยชีวิน
อินทรีแรกโผผิน ธุลีดินละล่องลอย…”
เสียงเพลงที่ชัดเจนและไพเราะดังขึ้นพร้อมดนตรีที่ปลุกพลัง แต่ละคำแต่ละประโยคราวกับลมพายุสะเทือนไหว ทำให้จิตใจคนฮึกเหิม อารมณ์ราวกับถูกจุดให้ลุกโหมขึ้นมา
“อนาคตราวห้วงสมุทร ไพศาลดุจไร้เขตเอย…”
หอสรวลทรัพย์ทั้งหอ ผู้ฝึกปราณมากมายต่างอดไม่ได้ต้องยกตะเกียบของตนขึ้นมาเคาะถ้วยที่อยู่ตรงหน้า ร้องตามไปด้วย
เสียงอันฮึกเหิมห้าวหาญนั่น เมื่อรวมกันแล้วมีพลังที่สะเทือนใจคน สั่นไหวอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน ทำให้ทุกคนเลือดร้อนพลุ่งพล่าน
นี่คือลำนำผู้กล้า
เมื่อครั้งงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาสามร้อยปีของจักรพรรดินี หลิ่วชิงเยียนผู้ถูกเรียกขานว่าเป็นผู้ฝึกปราณสายศิลป์อันดับหนึ่งสร้างความตะลึงให้ผู้คนด้วยลำนำบทนี้ ได้รับคำชมจากจักรพรรดินี รวมทั้งประทานชื่อว่าลำนำผู้กล้าด้วยตัวเอง
และคนทั่วหล้าต่างรู้โดยทั่วกันว่า ท่านอาจารย์ซูซานสือผู้แต่งเนื้อเพลงนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากชื่อเสียงของหลินสวินโดยบังเอิญ จึงประพันธ์บทเพลงที่ฮึกเหิมเกรียงไกร ทรงพลังมีพลานุภาพเช่นนี้ออกมาได้ และนับแต่นั้นก็แพร่กระจายไปทั่วหล้า เป็นที่จับจ้องของทุกคน
‘อนาคตราวห้วงสมุทร ไพศาลดุจไร้เขตเอย…’ ผู้ฝึกปราณหลายคนต่างนึกถึงหลินสวินที่กำลังจะจากไปโดยไม่ได้นัดหมาย ทอดถอนใจอย่างหาที่สุดไม่ได้
“แต่น่าเสียดายที่ผู้ขับร้องลำนำนี้ไม่ใช่คุณหนูหลิ่วชิงเยียน ว่ากันว่านางไปฝึกปราณที่ดินแดนรกร้างโบราณเงียบๆ ตั้งนานแล้ว เสียงอันไพเราะของนาง ชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้ยินอีกแล้ว”
มีคนถอนหายใจอย่างเสียดาย นึกถึงผู้ฝึกปราณสายศิลป์อันดับหนึ่งซึ่งเป็นดั่งตำนาน
……
ฟึ่บ!
บนแท่นบูชาห้าสี เงาร่างของหลินสวินหายไปกลางอากาศ ก้าวขึ้นไปในทางเดินอันลึกลับ
ทางเดินนี้ราวกับทะลุผ่านพื้นที่และกาลเวลา รอบๆ มีสีสันงดงาม ละอองแสงเป็นประกายแพรวพราว เดินอยู่บนนั้นราวกับเดินอยู่ในสายน้ำแห่งกาลเวลา
ท่ามกลางความพร่าเบลอ มีรุ้งเหินปานสายฝนกะพริบอยู่เป็นระยะ มีดวงดาวเป็นประกายโคจรไปมา มีหมอกเมฆสีดำราวกับภาพมายาพรั่งพรู ลึกลับพร่ามัว งดงามโอ่อ่าอย่างที่สุด
สวบ!
หลินสวินก้าวไปข้างหน้าด้วยความเร็วเต็มที่ เท้าใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็ง เงาร่างราวกับสายรุ้ง
‘พิบัติมหามรรคใกล้มาเยือน กำแพงโลกไม่มั่นคง จำไว้ ห้ามหันหลังกลับ รีบทำเวลาพุ่งไปข้างหน้า!’ นี่เป็นคำเตือนของจักรพรรดิก่อนมา
หลินสวินไม่กล้าชักช้าสักนิด
เพียงแต่มุ่งหน้าไปได้ไม่นาน เสียงแตกเปรี๊ยะๆ ระลอกหนึ่งก็ดังแว่วขึ้น ภายในทางเดินนี้ปรากฏรอยร้าวราวกับใยแมงมุมหนาแน่น แผ่กระจายออกเป็นวงกว้างอย่างต่อเนื่องรวดเร็วยิ่ง
หลินสวินสูดหายใจเย็นเยียบ สีหน้าคร่ำเคร่ง มุ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง รอบตัวปรากฏเงามายาชือน้ำแข็งสีขาวดั่งหิมะ ทำให้ความเร็วของเขาเร็วจนถึงขีดสุดแล้ว
ตู้ม!
ด้านหลัง เสียงระเบิดอันน่าหวาดหวั่นดังขึ้นราวกับฟ้าดินถล่ม
หลินสวินไม่กล้าหันกลับไป ในใจเริ่มกังวล นี่เป็นทางเดินสู่ดินแดนรกร้างโบราณเชียวนะ ขวางกั้นอยู่ระหว่างฟ้าดิน หากพังทลายขึ้นมา พลังทำลายล้างนั่นเพียงพอที่จะฆ่าเขาได้ในชั่วพริบตา ไม่มีโอกาสให้ดิ้นรนอย่างแน่นอน
ฉัวะ!
รุ้งทะยานสายหนึ่งพุ่งออกมากะทันหัน แฝงไอมรณะอันคลุมเครือ เฉียดผ่านไหล่หลินสวินไปราวกับคมดาบ
ชั่วขณะนั้นหลินสวินหนังหัวชาวาบ รู้สึกผวาราวกับเฉียดผ่านเทพเจ้าแห่งความตายมา น่าพรั่นพรึงเกินไปแล้ว
นั่นอะไร
หลินสวินตระหนก เขาไม่กล้าหันกลับไปมอง แต่มั่นใจว่าสายรุ้งเมื่อครู่นี้ออกมาจากทางเดินที่ถล่มอยู่ข้างหลัง!
ตู้ม!
ความเร็วที่ทางเดินมายาถล่มเร็วขึ้นเรื่อยๆ เสียงระเบิดดังขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า ฝนแสงและลมพายุปั่นป่วนอันน่าหวาดหวั่นกำลังโหมคลั่งแผ่กระจาย
หลินสวินพุ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง จนสุดท้ายถึงขั้นเรียกยานขนส่งอวกาศ มุ่งหน้าไปราวกับแสงประกาย หลบเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่นานหลินสวินพลันหรี่ตาลง ห่างออกไปอีกด้านของทางเดิน สัตว์ปีศาจเร้นลับที่ใหญ่มหึมาตัวหนึ่งห่อหุ้มดวงดาวนับหมื่นพัน ทะยานผ่านความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตมาทางนี้
เพียงแค่ดวงตาคู่นั้นก็แดงก่ำน่าหวาดหวั่นราวกับอาทิตย์ดวงโต ยิงแสงศักดิ์สิทธิ์น่าพรึงอันเลือดเย็นไร้ปรานีออกมา!
เมื่อเทียบกับร่างใหญ่โตนั่น ดวงดาวก็เหมือนลูกปัดที่ไม่สะดุดตาเม็ดแล้วเม็ดเล่า…
หลินสวินสูดหายใจเย็นเยียบ นี่มันตัวบ้าอะไร!
สิ่งที่ทำให้หลินสวินมือเท้าเย็นเฉียบมากที่สุดคือ สัตว์ปีศาจที่เร้นลับนั่นดันพุ่งเข้ามาในทางเดินมายา!
หากให้มันเข้าใกล้ จุดจบนั้นคงเลวร้ายจนไม่กล้าคิดอย่างแน่นอน!
หนี!
หลินสวินบังคับยานขนส่งอวกาศ แทบจะใช้พลังทั้งหมดมุ่งหน้าอย่างบ้าคลั่ง
เขาไม่คิดเลยว่าเพียงก้าวขึ้นทางเดินสู่ดินแดนรกร้างโบราณเท่านั้น กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันและยังอันตรายถึงเพียงนี้
ตู้ม!
ทางเดินมายาเริ่มปรากฏแนวโน้มที่จะพังทลายอย่างเต็มรูปแบบ ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยสัญญาณพังทลาย ฝนแสงโหมกระหน่ำราวกับพายุ ซัดโครมครามปั่นป่วน
และไกลออกไปในความว่างเปล่า สัตว์ปีศาจเร้นลับตัวนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ…
ถึงขั้นที่หลินสวินสามารถมองเห็นอย่างชัดเจนว่า ในส่วนลึกของดวงตามันเหมือนมีลายลักษณ์รอยเทพ คลุมเครือและเยียบเย็น ราวกับสามารถกลืนจิตวิญญาณของคนได้ น่าหวั่นหวาดอย่างที่สุด
ตู้ม!
ทันใดนั้นหลินสวินเพียงรู้สึกสั่นไหวอย่างรุนแรงไปทั้งตัว ยานขนส่งอวกาศสั่นขึ้นมากะทันหัน บินออกจากทางเดิน พุ่งเข้าไปในความวุ่นวายโกลาหล
จากนั้นฟ้าสะเทือนแผ่นดินไหว เกิดเสียงกระแทกจากการร่วงหล่นอันน่ากลัว พลังยิ่งใหญ่ม้วนตลบไปทั่ว บดขยี้ก้อนหินและต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ จนแหลก
บนพื้นดินเกิดหลุมขนาดใหญ่ รอยแตกร้าวมากมายแผ่กระจายออกจากหลุมยักษ์นั่น ปกคลุมในระยะร้อยจั้ง ราวกับเป็นความเสียหายที่เกิดจากอุกกาบาตตกจากฟ้า
และก้นหลุม ยานขนส่งอวกาศสั่นไหวอย่างรุนแรงอยู่นานกว่าจะกลับสู่ความสงบ แต่หลินสวินที่อยู่ในยานขนส่งอวกาศกลับมีเลือดไหลตรงมุมปาก ใบหน้าซีดเซียว ตัวอ่อนปวกเปียกลงไปกองอยู่บนพื้นยานขนส่ง หายใจหอบถี่ หน้าผากมีเหงื่อเม็ดใหญ่ซึมออกมา
‘รอดแล้วหรือ’
ครู่ใหญ่หลินสวินจึงได้สติจากความหวาดกลัวและหวาดผวา ลุกขึ้นอย่างยากลำบาก
ยามนี้เขาจึงพบว่าตนได้รับบาดเจ็บจากการหนีเอาตัวรอดเมื่อครู่นี้ พลังกายก็กำลังจะหมดลง!
‘โชคดี นี่ยังนับได้ว่าหนีพ้นความตายมาแล้ว’ หลินสวินกัดฟัน นั่งขัดสมาธิลงตรงนั้นเพื่อทำการรักษาบาดแผล
ในเวลาเดียวกันเขาก็รับสัมผัสอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้นทิวทัศน์ภายนอกสะท้อนเข้ามาในหัวเขา นี่เป็นฟ้าดินที่ไม่คุ้นเคย ไอวิญญาณคละคลุ้ง พืชพรรณเบ่งบานสดใหม่ ห่างออกไปยิ่งมีเทือกเขาที่งามสง่า หมอกศักดิ์สิทธิ์ลอยคว้าง งดงามน่าดึงดูด
นี่…
หลินสวินเบิกตาโพลง นี่คือดินแดนรกร้างโบราณกระมัง เพราะในจักรวรรดิจื่อเย่าไม่เคยมีไอวิญญาณที่เข้มข้นและอุดมสมบูรณ์ขนาดนี้
อย่างภูเขาชำระจิตที่ถูกเรียกว่าสถานที่แห่งเส้นปราณวิญญาณ เมื่อเทียบกับไอวิญญาณของฟ้าดินผืนนี้แล้ว กลับประหนึ่งแห้งแล้งราวกับเป็นดินแดนรกร้างแห่งหนึ่ง
‘น่าจะสำเร็จแล้ว!’
ในดวงตาดำของหลินสวินทอประกาย เขารับรู้ได้รางๆ ว่ามีพลังประหลาดกระจายอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน ไร้รูปไร้ตัวตน แต่กลับเต็มไปทั่วทุกแห่งหน
นั่นคือระเบียบมหามรรคที่สมบูรณ์แบบ และในจักรวรรดิจื่อเย่ามหามรรคบกพร่อง จึงแตกต่างจากที่นี่อย่างสิ้นเชิง
หลินสวินเคยเข้าสู่แดนวิญญาณโบราณระหว่างการทดสอบในห้องโถงมรรคาสวรรค์ จึงรู้ชัดในความแตกต่างของระเบียบฟ้าดินนี้เป็นอย่างดี!
——
(จบภาค อำนาจทั่วนครหลวง)