Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 765 ค่ายกลโบราณลี้ลับ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 765 ค่ายกลโบราณลี้ลับ
ชายร่างใหญ่ที่จำแลงกายมาจากงูเหลือมยักษ์วารีทมิฬยกสองมือเท้าสะเอว ดูหยิ่งผยองคับฟ้า
พวกโม่เฟิงแม้ทั้งโกรธทั้งอายจนอยากตาย เคียดแค้นจนคลุ้มคลั่ง แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงหนีไปอย่างเศร้าสลด เพียงแต่ในใจพวกเขากลับสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง
เหตุใดงูเหลือมยักษ์ตัวนี้ถึงไม่ฆ่าพวกเขา
แน่นอนว่าพวกเขาไม่กล้าถาม แทบอยากให้พ่อแม่งอกขาดมาให้เพิ่มจะแย่ รีบหนีจากไป
ซ่า!
ในทะเลสาบ เกลียวคลื่นม้วนตลบระลอกหนึ่ง ปรากฏเงาร่างสูงโปร่งร่างหนึ่ง เป็นหลินสวินจริงๆ
“คุณชาย ท่านพอใจหรือไม่ขอรับ”
กลับเห็นว่างูเหลือมยักษ์วารีทมิฬที่น่าเกรงขามก่อนหน้านี้ เวลานี้กลับแสดงสีหน้าประจบประแจง เข้าประชิดอย่างว่านอนสอนง่าย เออออห่อหมก ท่าทางเชื่องเชื่ออย่างถึงที่สุด
หากพวกโม่เฟิงเห็นเข้าต้องโกรธจนกระอักเลือดแน่
“เมื่อกี้เจ้าพูดว่าไม่สบอารมณ์ จะเอาพวกเขาเป็นที่ระบาย นี่คือโกรธข้างั้นหรือ”
สองมือของหลินสวินไพล่หลัง ดวงตาสีดำชำเลืองมองอสูรมารตัวนี้อย่างเรียบเฉยครั้งหนึ่ง
งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬแข็งทื่อไปทั้งตัว รอยยิ้มชะงักค้าง รีบร้อนส่ายหน้า “จะกล้าได้อย่างไรๆ คุณชายท่านเข้าใจผิดแล้ว”
เพียงแต่ในใจเขาทุกข์ระทมยิ่งนัก
เขาเป็นถึงงูเหลือมยักษ์วารีทมิฬ พญาอสูรมารตนหนึ่งที่เรียกลมเรียกฝนได้ในภูเขาโคม่วง แม้แต่มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติก็ไม่อยู่ในสายตาของเขา
แต่ก่อนที่พวกโม่เฟิงจะมา กลับถูกเด็กหนุ่มตรงหน้าเล่นงานเสียอ่วมไปยกหนึ่งอย่างไม่เกรงใจ ขนาดพลังจะประลองกระบวนท่ายังไม่มี
ถึงขั้นยังถูกเด็กหนุ่มผู้นี้ข่มขู่ให้ช่วยไปจัดการเจ้าพวกเมื่อกี้สักยกหนึ่ง นี่ทำให้งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬรู้สึกคับข้องใจอย่างบอกไม่ถูก
“พี่หลินสวิน ท่านร้ายกาจจริงๆ ขนาดพญาอสูรมารยังเชื่อฟังท่าน” ข้างกัน ซย่าเสี่ยวฉงดวงตาเป็นประกาย ใบหน้าใสซื่อเต็มไปด้วยความชื่นชม
งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬน้ำตาแทบไหล ให้ตายสิ เขาเป็นถึงพญาอสูรมารระดับกระบวนแปรจุติ กลับกลายเป็นตัวเสริมไปเสียได้ บนโลกนี้จะมีพญาอสูรมารตัวไหนโชคร้ายกว่าเขาหรือไม่
หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ยังจะให้เขาเป็นอสูรมารผู้ยิ่งใหญ่ในภูเขาโคม่วงได้อย่างไร
“ครั้งนี้เจ้าทำได้ดี จะปล่อยเจ้าไปก็แล้วกัน”
เมื่อหลินสวินเอ่ยคำนี้ออกมา ก็ทำให้งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬลอบถอนหายใจราวยกภูเขาออกจากอกในทันใด เขากังวลจริงๆ ว่าเด็กหนุ่มจะฆ่าเขาเมื่อเสร็จกิจ
“พี่หลินสวิน มุกควบรวมจิตของข้าเต็มแล้ว พวกเรายังจะไปชิงเหยื่อของพวกเขาไหม” ซย่าเสี่ยวฉงถาม
“เต็มแล้วหรือ”
หลินสวินอึ้งไป ตอนนี้ถึงเพิ่งว่า เหยื่อที่แย่งมาจากพวกโม่เฟิงในหลายวันมานี้ กลับช่วยซย่าเสี่ยวฉงสะสมพลังจนเต็มมุกควบรวมจิตโดยไม่รู้ตัวแล้ว
“เช่นนั้นสามารถจบบททดสอบได้แล้วใช่ไหม” หลินสวินถาม
“ไม่ได้สิ” ซย่าเสี่ยวฉงเอ่ยอย่างทุกข์ใจ “นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าทำสำเร็จด้วยตัวเอง หากอาจารย์รู้เข้าต้องด่าข้าแน่”
“เช่นนั้นเจ้ายังมีมุกควบรวมจิตไหม” หลินสวินชื่นชมความแน่วแน่ของซย่าเสี่ยวฉงนัก นี่เป็นพฤติกรรมที่ดีอย่างหนึ่ง ต้องแน่วแน่ตั้งใจ ถึงจะทำให้ตนเดินบนวิถีของตัวเองได้ไกลยิ่งขึ้น
“เอ้อ ไม่มี” ซย่าเสี่ยวฉงยิ่งทุกข์ใจขึ้นไปอีก ใบหน้าใสซื่อยู่ยี่เป็นก้อน หม่นหมองไม่รื่นเริง
“ข้ามี!”
กลับเห็นว่างูเหลือมยักษ์วารีทมิฬที่อยู่ข้างๆ ส่งมุกควบรวมจิตสีฟ้าเป็นประกายกองหนึ่งออกมาอย่างกระตือรือร้นราวมอบสมบัติให้ “ขอคุณชายกับคุณหนูรับไว้เถิด”
มุกควบรวมจิตเหล่านี้มีราวสิบกว่าก้อน แต่ละก้อนมีขนาดเท่าไข่ไก่ โปร่งแสงแวววาว อบอวลไปด้วยรังสีคลุมเครือเยียบเย็น งดงามนัก
“เจ้าไปเอามุกควบรวมจิตมากมายขนาดนี้มาจากไหน”
หลินสวินประหลาดใจ
งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬเอ่ยอย่างขวยเขินว่า “ก่อนหน้านี้มีผู้ฝึกปราณไม่น้อยมาผจญภัยที่ภูเขาโคม่วง ไข่มุกเหล่านี้ล้วนชิงมาจากพวกเขาขอรับ”
เด็กหนุ่มเข้าใจในทันที ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นต้องถูกงูเหลือมยักษ์ตัวนี้ฆ่าตายแน่
แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าไม่เหมาะไม่ควร ในดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้มีเผ่าพันธุ์ดำรงอยู่มากมายนับไม่ถ้วน สัตว์ปีศาจและอสูรมารบำเพ็ญก็เป็นกลุ่มหนึ่งในนั้น การปะทะและสังหารกันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติ
หรือจะอนุญาตให้เพียงผู้ฝึกปราณไปล่า แต่ไม่อนุญาตให้ให้สัตว์ปีศาจและอสูรมารโจมตีกลับเล่า
หลินสวินขบคิดเล็กน้อยค่อยกล่าวว่า “ช่างเถอะ ข้าไม่ได้จะเอาของของเจ้าไปเปล่าๆ วิชาลับนี้ก็ถือเป็นค่าตอบแทนก็แล้วกัน”
เขาพูดพลางหยิบคัมภีร์กระดูกที่มีแสงม่วงไหลเวียนออกมาเล่มหนึ่ง แล้วส่งให้งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬ
“วิชาเจียวดำกลืนสวรรค์หรือขอรับ”
งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬสั่นสะท้านไปทั้งตัว เพียงมองปราดเดียวเขาก็ดูออกว่าวิชาลับนี้ไม่ธรรมดา เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเป็นคัมภีร์โบราณที่ตกทอดมายาวนานเล่มหนึ่ง!
“ข้าต้องเตือนเจ้าก่อนว่านี่เป็นวิชาลับที่สืบทอดในเผ่าเจียวดำ หากแพร่งพรายออกไป อาจจะนำพาเภทภัยที่ไม่อาจคาดคิดได้มาให้เจ้า หากเจ้าไม่อยากรับไป ข้าเปลี่ยนเป็นสิ่งอื่นให้เจ้าแทนได้”
หลินสวินอธิบายรอบหนึ่ง
เขายังมีวิชาลับเช่นนี้อยู่ในครอบครองไม่น้อย เช่น คัมภีร์ยุทธจักรของเผ่าสิงห์โลหิต วิชาสำรอกรู้ตนของเผ่าวาฬมังกร วิชาสมบัติร่างค้อนอสนีแกร่งของเผ่าวัวมารทรงพลัง คัมภีร์หกเกราะผนึกมารของเผ่าโห่วเมฆาเป็นอาทิ
ล้วนเป็นทรัพย์หลังศึกที่ได้มาจากบุคคลระดับบุตรเทพแต่ละเผ่า สมัยเขาท่องอยู่ในแดนลับอสูรมารอริยะที่อยู่ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ
วิชาลับทุกวิชาล้วนถือเป็นวิชาลับตกทอดของแต่ละเผ่า ภายในซ่อนแฝงไว้ซึ่งแก่นอัศจรรย์มหามรรค ไม่อาจประเมินราคาได้ หากแพร่ออกไป ย่อมต้องก่อให้เกิดเภทภัยที่ไม่อาจคาดคิดได้
“ไม่ต้องเปลี่ยนๆ” งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬดีใจจนเนื้อเต้น สองตาเปล่งประกาย
วิชาลับตกทอดของเผ่าเจียวดำ เกี่ยวโยงกับความลับของ ‘แปลงมังกร’ และมหามรรคที่งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬไขว่คว้าก็เกี่ยวข้องกับแปลงมังกรเช่นกัน!
พูดได้ว่า มีวิชาเจียวดำกลืนสวรรค์นี้ งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬก็ไม่ต้องกังวลว่าในภายภาคหน้าจะไม่พบด่านประตูของการแปลงมังกรแล้ว!
นี่ไม่ต่างอะไรกับได้วาสนายิ่งใหญ่ครั้งหนึ่ง
“ขอบคุณคุณชาย! ขอบคุณคุณชาย!”
งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬซาบซึ้งไม่ว่างเว้น ยอมจำนนโดยสมบูรณ์แล้ว เพียงช่วยเหลือเล็กน้อยๆ ครั้งหนึ่งก็ได้รับวิชาตกทอดลับวิชาหนึ่ง การตอบแทนเช่นนี้ช่างอู้ฟู่จนไม่อาจจินตนาการได้!
เขาถึงกับสงสัยว่า เป็นไปได้สูงมากที่คุณชายผู้หล่อเหล่าตรงหน้าเขาผู้นี้จะมาจากสำนักที่ภูมิหลังน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งสักแห่งหนึ่ง หาไม่แล้วจะใช้พลังปราณระดับหยั่งสัจจะมากำราบตนอย่างง่ายดายได้อย่างไร
ทั้งสามารถนำวิชาลับตกทอดน่าตื่นตะลึงยิ่งเช่นนี้ออกมาส่งๆ ได้อย่างไร
คิดถึงตรงนี้ใจเขาก็พลันเต้นแรง พูดว่า “คุณชาย ท่านก็มาที่ภูเขาโคม่วงเพื่อหาวาสนาใช่หรือไม่”
หลินสวินอึ้งไป “วาสนาอะไรหรือ”
งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬอธิบายว่า “สองสามวันมานี้ในส่วนลึกของภูเขาโคม่วงเกิดความเปลี่ยนแปลงน่าตะลึง มีแสงมงคลงดงามทอลงมาจากฟ้า ข้าได้ยินสหายอสูรมารบำเพ็ญผู้หนึ่งพูดว่า ที่นั่นมีค่ายกลใหญ่ที่หลงเหลือจากยุคบรรพกาลโผล่ออกมาค่ายหนึ่ง ค่ายกลนี้ใช้หยกควบคุมจิตตามธรรมชาติเป็นพื้นฐาน เชื่อมพลังแห่งสุริยันจันทรา ซึมซับกลิ่นอายมหามรรคแห่งฟ้าดิน อบอวลไปด้วยพลังแห่งอริยเทพที่แท้จริง”
“ตามที่สหายผู้นั้นของข้าพูด เป็นไปได้สูงที่ภายในค่ายกลใหญ่ลี้ลับนั้นจะมีมหาวาสนาบางอย่างซ่อนอยู่!”
“หืม”
นัยน์ตาหลินสวินหดรัดลง ค่ายกลใหญ่ค่ายหนึ่งกลับสามารถเชื่อมต่อพลังแห่งสุริยันจันทรา อบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งอริยเทพ นี่ช่างไม่ธรรมดา!
“น่าเสียดาย ค่ายกลใหญ่ที่นั่นลึกลับยากหยั่งถึง จนกระทั่งตอนนี้ก็ไม่อาจถูกเปิดออกได้ อีกทั้งที่นั่นถูก ‘อสูรเฒ่าเครือเถา’ ยึดครองอยู่ก่อนแล้ว”
“อสูรเฒ่าเครือเถาก็คือราชันกึ่งระดับผู้หนึ่งในภูเขาโคม่วงแห่งนี้ ศักยภาพน่ากลัวคับฟ้า ไม่กี่วันก่อนผู้อาวุโสระดับกระบวนแปรจุติสำนักเร้นปรัชญาคนหนึ่งมาสำรวจ ก็ถูกอสูรเฒ่าเครือเถาตัวนั้นสังหารไม่เหลือซาก”
ยามพูดถึงอสูรเฒ่าเครือเถา งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬเผยความประหวั่นพรั่นพรึงอย่างลึกซึ้งออกมา เห็นได้ชัดว่านี่เป็นตัวตนที่น่ากลัวยิ่ง
“เท่าที่ข้ารู้ อีกไม่นานเจ็ดขุมอำนาจของแคว้นวิญญาณอัคนีเหล่านี้ก็จะส่งมือดีมาร่วมชิงวาสนาจากอสูรเฒ่าเครือเถา หากคุณชายไม่ได้มาเพื่อวาสนานี้ก็รีบจากไปแต่เนิ่นๆ ดีกว่า จะได้ไม่เข้าไปพัวพันกับหายนะครั้งนี้”
งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬเตือนด้วยความหวังดี
“ดูท่าวาสนาครั้งนี้จะยอดเยี่ยมจริงๆ”
หลินสวินครุ่นคิด
“ใช่แล้ว ว่ากันว่าทุกอย่างนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับพิบัติมหามรรคที่กำลังจะมาถึง ฟ้าดินแห่งนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ วาสนาที่ถูกฝังกลบและหลงลืมบางอย่างจะปรากฏขึ้น เคราะห์สังหารและภัยพิบัติที่ไม่อาจคาดการณ์ได้จะพลอยบังเกิดขึ้น ไม่เพียงแต่แคว้นวิญญาณอัคนีหรือแดนฐิติประจิม แต่เป็นทั้งดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้จะต้อนรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน”
งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬถอนหายใจ เขาวิตกกังวลนัก คิดว่าก่อนพิบัติมหามรรคมาเยือน โชคเคราะห์ล้วนบรรจบ หนทางข้างหน้ายากจะคาดเดา
หลินสวินก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ยามอยู่ในโลกชั้นล่างเขาก็ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพิบัติมหามรรคมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์และสุสานสมุทรฝังมรรคที่อยู่ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ หรือป่าต้นหม่อนที่อยู่ในสมรภูมิกระหายเลือด ล้วนเกิดความผันแปรที่ไม่อาจหมุนกลับบางอย่าง
อย่างเช่นใต้เกาะอริยะปัญจธาตุในแดนลับอสูรมารอริยะ ซึ่งอยู่ภายในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้น ก็มีคุณชายน้อยที่ถูกผนึกไว้ผู้หนึ่งฟื้นคืนพลังอย่างเงียบๆ ระหว่างหลับใหล
คุณชายน้อยคนนี้ถูกวานรเฒ่าที่เหยียบย่างอยู่ในอริยมรรคตัวหนึ่งคุ้มครองอยู่ เพียงรอยามพิบัติมหามรรคมาถึง มหาสงครามเปิดฉาก ก็จะถือกำเนิดขึ้นอย่างโดดเด่น!
ที่สามารถแน่ใจได้ก็คือ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเค้าลางว่าพิบัติมหามรรคกำลังจะมาเยือน
……
ไม่นานนักหลินสวินก็บอกลา แล้วพาซย่าเสี่ยวฉงจากมาอย่างว่องไว
เขาสนใจ ‘วาสนา’ ที่อยู่ในส่วนลึกของภูเขาโคม่วงมาก หากทำได้เขาก็อยากไปดูให้เห็นกับตา
แต่ก่อนจะทำเช่นนี้ เขาต้องช่วยซย่าเสี่ยวฉงทำบททดสอบครั้งนี้ให้เสร็จเสียก่อน
ส่วนพวกโม่เฟิงก็ทรมานมากพอแล้ว เขาคร้านจะไปหาความกับพวกเขาอีก
สวบ!
ผ่านไปหลายชั่วยาม หลินสวินกับซย่าเสี่ยวฉงก็เริ่มสำรวจตลอดทาง แต่กลับหาร่องรอยของสัตว์ปีศาจได้ยาก
ตามทางพบแต่ร่องรอยการต่อสู้ รวมถึงซากศพและรอยเลือดของสัตว์ปีศาจ
นี่พิสูจน์ได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า น่ากลัวว่าสัตว์ปีศาจที่อยู่รอบนอกภูเขาโคม่วงคงจะถูกศิษย์สี่สำนักสามตระกูลเหล่านั้นฆ่าไปเกือบหมดแล้ว
‘ดูท่าคงทำได้แค่เข้าไปในส่วนลึกของภูเขาโคม่วงดูเสียแล้ว’ หลินสวินนิ่งคิดแล้วจึงตัดสินใจ
เพียงแต่พวกเขาเคลื่อนไหวได้ไม่นาน ก็เห็นบุรุษสวมชุดขาวใบหน้าซูบตอบ ดวงตามีรังสีเฉียบคมผู้หนึ่งขวางทางไว้
“สหาย ศิษย์พี่เยวี่ยของพวกเราอยากพบเจ้าหน่อย ไปกับข้าเถอะ”
บุรุษชุดขาวแสดงสีหน้าอวดดี น้ำเสียงเรียบเฉย แต่กลับมีความรู้สึกเหมือนออกคำสั่ง
หลายวันนี้แม้หลินสวินจดจ่อกับการเอาคืนพวกโม่เฟิงอยู่ตลอด แต่ระหว่างทางกลับพบผู้สืบทอดจากขุมอำนาจอื่นไม่น้อย
ถ้าเขาจำไม่ผิด ชายชุดขาวผู้นี้น่าจะมาจากสำนักยุทธ์พันเวท ติดตามข้างกายชายหนุ่มที่ชื่อเยวี่ยเจี้ยนหมิง
หลินสวินกับพวกเขาเคยมีวาสนาได้พบกันครั้งหนึ่ง ตอนนั้นซย่าเสี่ยวฉงยังสรรเสริญเยินยอ ว่าเยวี่ยเจี้ยนหมิงคนนั้นเป็นผู้กล้าที่มีชื่อเสียงที่สุดในแคว้นวิญญาณอัคนี เป็นคนสง่างามตระการตาโดดเด่น ยอดเยี่ยมยิ่งนักผู้หนึ่ง
ขนาดอาจารย์ของนางยังเคยยกย่องว่า ด้วยพรสวรรค์ของเยวี่ยเจี้ยนหมิง เพียงพอให้เข้าร่วมกับหมื่นผู้กล้า ช่วงชิงมหามรรคที่กำลังจะมาเยือนได้!
“ขออภัย พวกเรามีเรื่องสำคัญต้องทำ”
หลินสวินพูดพลางพาซย่าเสี่ยวฉงออกมา เขาไม่ได้สนใจ ‘ศิษย์พี่เยวี่ย’ ที่ถูกเชิญไปพบอะไรนั่นแล้ว
——