Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 769 ยอดเขาดาราโรย
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 769 ยอดเขาดาราโรย
หน้าไม่อายหรือ
หลินสวินมองไปด้วยสีหน้าอึมครึมถึงที่สุด
ก็เห็นว่าบนยอดเขาไกลลิบมีชายตัวล่ำหนาสูงแปดจั้งร่างบึกบึน ปากกว้างมีงายาวน่ากลัวคนหนึ่งกำลังมองตนอย่างดูถูกดูแคลน
“ถุย!”
เมื่อเห็นว่าหลินสวินมองมา ชายร่างใหญ่ผู้นี้ก็ถ่มน้ำลายกระแทกจนหินผาแตกเป็นหลุม พละกำลังมากมายนัก
“เหอะๆ ที่แท้ก็หมูอสูรมารตัวหนึ่ง”
หลินสวินเพียงกวาดจิตรับรู้ไปก็รู้ตื้นลึกหนาบางของชายร่างใหญ่คนนั้น นี่เป็นพญาอสูรมารหมูป่าเพลิงคะนองที่ฝึกปราณจนได้มรรคตัวหนึ่ง มีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นกลาง กลิ่นอายอหังการ์ถึงที่สุด
“หมูหรือ”
ซย่าเสี่ยวฉงก็เงยหัวเล็กๆ ขึ้นมา มองไปยังชายร่างใหญ่ผู้นั้น
ชายร่างใหญ่ชำเลืองมองหลินสวินอย่างดูแคลนคราหนึ่ง จากนั้นใบหน้าก็เผยรอยยิ้มน้อยๆ “แม่หนู สรรพสัตว์ล้วนถือกำเนิดขึ้นในฟ้าดิน ไม่แบ่งฐานะรูปลักษณ์ อย่างข้าหน้าตาดูดุร้ายอยู่บ้าง แต่นิสัยกลับอ่อนโยนเอาใจใส่ ไม่ไร้ยางอาย จิตใจคับแคบเหมือนเจ้าเด็กที่เอาแต่รังแกแม่หนูน่ารักเช่นเจ้าแน่ ช่างน่าขายหน้าพวกเราเหล่าผู้ฝึกปราณชายนัก!”
‘ถึงกับถูกหมูอสูรมารตัวหนึ่งเพ่งเล็ง…’
สีหน้าของหลินสวินแปรเปลี่ยนเป็นมุ่งร้าย เจ้าเดรัจฉานนี่ไม่รู้สถานการณ์ ยังกล้ามาพร่ำโจมตีด่าทอตนอีก ไม่อยากอยู่แล้วล่ะสิ!
“เอ่อ พี่หลินสวิน หมูตัวนั้นเห็นด้วยกับคำที่ข้าพูดล่ะ” สายตาซย่าเสี่ยวฉงมองไปยังหลินสวิน
หลินสวินร้องอ้อ มองไปยังหมูอสูรมารที่อยู่ไกลลิบอย่างน่าสะพรึง แล้วเอ่ยว่า “ทิ้งขาเจ้าไว้ข้างหนึ่ง แล้วจะไว้ชีวิตเจ้า”
การข่มขู่นี้ออกจะประหลาด ซย่าเสี่ยวฉงอดถามไม่ได้ว่า “ทำไมต้องให้เขาทิ้งขาไว้ข้างหนึ่งล่ะ”
หลินสวินกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ข้าหิวแล้ว อยากกินขาหมูย่าง”
เมื่อพูดเหตุผลนี้ออกมา หมูอสรมารพลันเบิกตากว้าง โกรธจนเลือดขึ้นหน้า หัวเราะเดือดดาลว่า “เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะตัวเล็กๆ คนหนึ่งอย่างเจ้า กลับกล้ามองข้าเป็นอาหาร ไม่กลัวว่าจะอยากอาหารมากไปจนทำให้ตัวเองท้องอืดตายหรือ!”
หลินสวินเผยฟันขาวราวหิมะ สีหน้ายิ่งชั่วร้ายขึ้นไปอีก “ดูท่า เจ้ากำลังบีบให้ข้ากินหมูหันทั้งตัวแล้วใช่ไหม”
หมูหัน!
ซย่าเสี่ยวฉงหลุดขำออกมา ใบหน้าน้อยใสซื่อโดดเด่นราวกลีบผกาหลังฝน งดงามเจิดจรัส
“ข้าจะฟันชายไม่รู้ดีชั่ว ไร้เมตตาธรรมเช่นเจ้า!”
ส่วนหมูอสูรมารโกรธงุ่นง่าน ส่งเสียงคำรามออกมาแล้วกระโจนลงมาจากยอดเขา เงื้อมือสำแดงประทับฝ่ามือสีแดงใหญ่ยักษ์พุ่งเข้ากำราบหลินสวิน ราวดาราร่วงหล่นจากฟ้า
โครม!
ห้วงอากาศปั่นป่วน ส่งเสียงระเบิดก้อง
หมูอสูรมารตัวนี้ก็ถือเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในภูเขาโคม่วง ทันทีที่สำแดงพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติ พลังอันโหดเหี้ยมอหังการ์ปกคลุมฟ้าดิน น่าหวาดหวั่นยิ่ง
เพียงแต่ครั้งนี้เขาพบเข้ากับหลินสวิน ถูกกำหนดว่าต้องโชคร้ายแล้ว
หลินสวินถูกซย่าเสี่ยวฉงโจมตีจิตใจจนไฟโทสะอัดอั้นเต็มอกไม่มีที่ระบายอยู่ก่อนแล้ว และตอนนี้เมื่อเห็นเป้านิ่งเช่นนี้เข้ามาหาเสียเอง ก็เหมือนหาทางระบายออกได้อย่างรวดเร็ว
สวบ!
แขนเสื้อของเขาปลิวไปตามลม เรียกดาบหักออกมาในทันใด แสงสีเงินโบยบิน ขาวโพลนโปร่งแสงราวเงาแสงนิรมิตปรากฏขึ้นในห้วงอากาศ
โครม!
ศึกใหญ่ปะทุขึ้น ฟ้าดินบริเวณนี้สั่นสะเทือน เทือกเขาไหวเอน ผืนปฐพีแตกระแหง แสงเทพโชติช่วงป่าเถื่อนราวน้ำเชี่ยว ทำให้หินผาและต้นไม้ใบหญ้าสลายเป็นจุณ
เดิมทีหมูอสูรมารยังอหังการ์และหยาบคายถึงที่สุด ไม่สนใจหลินสวินสักนิด แต่ไม่นานนักเขาก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป รับรู้ได้ถึงอันตราย เริ่มรอบคอบและให้ความสำคัญ
กระทั่งต่อมาเขาก็ยิ่งตกใจระคนโกรธมากขึ้น แทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง เพราะหลินสวินอาศัยเพียงดาบหักเล่มหนึ่งก็บีบให้เขาตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต สถานการณ์คับขันยิ่งนัก!
“เจ้าๆๆ…”
หมูอสูรมารร้องลั่น น้ำเสียเจือไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง พูดอะไรไม่ออก
เขาย่อมคิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งกลับร้ายการเช่นนี้ หากรู้อยู่ก่อนว่าจะเป็นเช่นนี้ เมื่อกี้เขาจะกล้าคุยโวได้อย่างไร
หลินสวินไม่สนใจเขา ใช้มรดกวิชาลับ อักษร ‘ปฐม’ แห่งค่ายกลลายมรรคที่ซ่อนอยู่ในดาบหักจู่โจม พลังโจมตีดุดันและน่าหวาดหวั่นถึงที่สุด
ปึ้กๆๆ!
ไม่นานนักร่างของหมูอสูรมารก็โชกเลือด มีรอยเลือดไหลรินรอยแล้วรอยเล่าเพิ่มขึ้นมา เจ็บปวดจนร้องคำรามสะท้านฟ้า สภาพน่าหดหู่สะบักสะบอม
เขากลัวเข้าจริงๆ แล้ว ขอชีวิตอย่างบ้าคลั่ง
เพียงแต่หลินสวินสะสมไฟโทสะอยู่เต็มอก จะปล่อยหมูอสูรมารตัวนี้ไปง่ายๆ ได้ที่ไหน คว้าโอกาสไว้ได้ก็ต้องเล่นงานอย่างโหดเหี้ยมเสียรอบหนึ่ง
“พี่หลินสวิน ท่านคิดจะกินหมูหันทั้งตัวจริงๆ หรือ” ซย่าเสี่ยวฉงตาเบิกกว้าง ใบหน้าน้อยเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
หลินสวินร้องหึหยันแล้วเอ่ยว่า “ข้าดูเหมือนพูดเล่นหรือ”
ซย่าเสี่ยวฉงจินตนาการภาพหมูหันขึ้นในหัว อดกลืนน้ำลายไม่ได้ หัวเราะแหะๆ แล้วพูดว่า “ข้ากินกับท่านด้วยได้ไหม ก่อนหน้านี้ข้ายังไม่เคยกินเนื้อหมูอสูรมารที่ร้ายกาจขนาดนี้มาก่อนเลยน่ะ”
“…”
หมูอสูรมารได้ยินเข้าก็แทบร้องไห้น้ำตานองหน้า
เมื่อกี้นี้เขาถึงกับออกหน้าเรียกร้องความยุติธรรม ปกป้องผู้อ่อนแอแทนแม่หนูคนนี้ แต่ชั่วพริบตาเดียวแม่หนูนี่กลับอยากกินเนื้อเขา!
“คุณชาย ข้าผิดไปแล้ว ตอนนี้ข้าเพิ่งรู้ว่าสิ่งที่น่าชิงชังที่สุดคือจิตใจของผู้หญิง!”
หมูอสูรมารร้อนรนแล้ว อาการบาดเจ็บบนร่างเขายิ่งรุนแรงขึ้นจนแทบรับไม่ไหว ร้องโอดโอยขอชีวิต
หลินสวินเอ่ยไม่ทุกข์ไม่ร้อนว่า “ถ้าข้าปล่อยเจ้าไปแบบนี้ จะไม่เท่ากับยอมรับว่าถ้อยคำที่เจ้าพูดเป็นจริงหรือ อย่างนี้ไม่ได้หรอก”
หมูอสูรมารอยากจะหยิกปากตัวเองนัก จะบ้าตายอยู่แล้ว คิดจะทำร้ายอีกฝ่าย แต่ดันถูกทำร้ายเสียเอง!
ในที่สุดหลินสวินก็ไว้ชีวิตหมูอสูรมาร เหตุผลก็ง่ายดายมาก หมูอสูรมารบอกเขาว่าสามารถพาหลินสวินไปเสาะหามหาวาสนาครั้งหนึ่งได้
หลินสวินย่อมรู้ว่า ‘มหาวาสนา’ ที่ว่านี้คืออะไร จึงไม่ได้กังวลว่าหมูอสูรมารตัวนี้จะกล้าหลอกเขา
“ตำแหน่งที่ค่ายกลโบราณลี้ลับนั้นตั้งอยู่อยู่ที่ไหน” หลินสวินเก็บดาบหัก แล้วถามออกไปตรงๆ
“ที่แท้คุณชายก็ได้ยินเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว ทีนี้ค่อยง่ายหน่อย”
เพียงคำพูดเดียวก็ทำให้หมูอสูรมารรับรู้ได้ว่า หลินสวินคงรู้ข่าวเกี่ยวกับ ‘วาสนา’ ครั้งนี้แล้ว
ต่อมา หมูอสูรมารก็บอกทุกเรื่องที่ตนรู้ออกมาอย่างหมดเปลือก
เมื่อฟังทุกอย่างนี้จบ สายตาหลินสวินก็แปลกพิกลไปบ้าง เอ่ยว่า “ เจ้ากับงูเหลือมยักษ์วารีทมิฬเป็นเพื่อนกันหรือ”
“ใช่แล้ว” หมูอสูรมารพยักหน้า ไม่ช้าก็ผงะไป เด็กหนุ่มคนนี้รู้ได้อย่างไร
“มิน่าล่ะ” หลินสวินรู้ชัดทันที ตอนแรกที่งูเหลือมยักษ์วารีทมิฬบอกข่าวนี้ ก็เคยพูดว่าเขาก็ได้ยินเพื่อนคนหนึ่งเล่ามา
เห็นได้ชัดว่า ‘เพื่อน’ ของงูเหลือมยักษ์วารีทมิฬก็คือหมูอสูรมารที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้
“นำทางไป” หลินสวินไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาสงสัยใคร่รู้ค่ายกลโบราณนี้นัก อยากจะไปเห็นกับตาตัวเอง
“คุณชาย ที่นั่นอันตรายนัก อสูรเฒ่าเครือเถาควบคุมดูแลที่แห่งนั้นมาตลอด ห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ หลายวันนี้สิ่งมีชีวิตในภูเขาโคม่วงไม่รู้เท่าไรล้วนถูกอสูรเฒ่าเครือเถาสังหาร เพียงเพราะคิดจะเข้าไปใกล้ ถ้าพวกเราไปตอนนี้…”
หมูอสูรมารลังเล เขาไม่อยากเสี่ยงภัย
หลินสวินเอ่ยเสียงเย็น “ให้เจ้าเลือกอย่างหนึ่ง อย่างแรกข้าจะกินหมูหันเสียตอนนี้ หรือสอง พาข้าไป เจ้าตัดสินใจเองเถิด”
หมูอสูรมารพลันไม่ลังเลแล้ว เลือกอย่างหลังดังคาด ล้อเล่นอะไรกัน เขาไม่ได้อยากถูกเด็กหนุ่มโหดเหี้ยมเช่นนี้กิน ถ้าเป็นแบบนี้จริงก็ตายอย่างน่าอนาถไปแล้ว
……
ยอดเขาดาราโรยตั้งอยู่ในส่วนลึกของภูเขาโคม่วง
ลือกันว่านานมาแล้วเคยมีศิลาเทพจากฟ้าตกลงมาที่นี่ ปักลงไปในผืนดินกลายเป็นยอดเขา ภายหลังผ่านการเปลี่ยนแปลงผ่านกาลเวลาไร้ที่สิ้นสุด จึงก่อรูปเป็นยอดเขาดาราโรยอย่างในปัจจุบัน
ยอดเขานี้แปลกตาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งภูเขามีสีเงินยวงราวกับหิมะกองใหญ่ปกคลุม ทุกค่ำคืนจะอบอวลไปด้วยรัศมีแสงราวดารา
ก่อนหน้านี้ก็มีอสูรมารบำเพ็ญที่ยึดครองพื้นที่นี้ไม่น้อยมาสำรวจ ด้วยคิดว่ายอดเขาดาราโรยมีวาสนาบางอย่างซ่อนอยู่ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้อะไรเลย
และในย่ำค่ำหนึ่งไม่นานมานี้ แสงเทพงดงามทอดลงมาจากฟ้ากะทันหัน อาบชโลมยอดเขาดาราโรยไว้ จากนั้นค่ายกลโบราณค่ายหนึ่งก็ปรากฏพ้นพื้นดินของยอดเขานี้ ด้านบนเชื่อมต่อกับแก่นแท้แห่งสุริยันจันทรา ด้านล่างควบรวมพลังแห่งฟ้าดิน แสงพวยพุ่งช่วงโชติ ยิ่งใหญ่ไพศาล สั่นสะท้านสิ่งมีชีวิตทุกตัวที่ยึดครองพื้นที่ใกล้เคียงโดยพลัน
ต่อมาอสูรเฒ่าเครือเถาลงมือฆ่าอสูรมารบำเพ็ญจำนวนหนึ่งอย่างอุกอาจ เลือดย้อมผืนดินนี้ ในที่สุดก็ครอบครองที่นี่ไว้ได้ในคราวเดียว
เพียงแต่ข่าวที่เกี่ยวข้องกับ ‘วาสนา’ ที่ถือกำเนิดขึ้นที่นี่กลับปิดไว้ไม่มิด ในช่วงนี้บริเวณใกล้ๆ กับยอดเขาดาราโรยแห่งนี้กลายเป็นพื้นที่ที่มีข้อพิพาท หลั่งเลือดไม่ว่างเว้น
พวกหลินสวินมาแล้ว เดินทางอย่างยากลำบาก ระแวดระวังและรอบคอบตลอดทาง
“เจ้าหมู ทำไมเจ้าถึงเคลื่อนไหวกับผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์เล่า ข้าขอเตือนว่าพวกเจ้าอย่าไปเลย เมื่อวานนี้ราชันกึ่งระดับของสำนักกระบี่สนขจีคนหนึ่งถูกอสูรเฒ่าเครือเถาโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ลุกลี้ลุกลนถอยร่นไป”
ระหว่างทางอสูรมารบำเพ็ญผู้หนึ่งเผยข้อมูล บอกพวกหลินสวินว่าใกล้กับยอดเขาดาราโรยกลายเป็นสถานที่สังหารหมู่นองเลือดไปแล้ว ถ้าไปต้องเอาชีวิตรอดได้ยากแน่
หมูอสูรมารกระวนกระวายใจ หลินสวินกลับไม่ต้องการยอมแพ้กลางทางเช่นนี้ ทั้งคณะจึงเดินทางต่อไป
ยามรัตติกาลปกคลุม พวกเขาก็เห็นยอดเขาดาราโรยจากที่ไกลๆ ได้แล้ว
ท่ามกลางราตรี ยอดเขาดาราโรยสีเงินดุจมังกรขาวที่ตั้งตระหง่านแข็งแกร่งตัวหนึ่ง ภูเขาทั้งลูกอบอวลไปด้วยรัศมีดาราบริสุทธิ์ มีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์เลือนราง
อีกทั้งเมื่อเข้าใกล้ไปเรื่อยๆ หลินสวินก็สังเกตเห็นอย่างชัดเจน ว่าในยอดเขาดาราโรยมีคลื่นคลุมเครือพิเศษอย่างหนึ่ง
แววตาของหลินสวินแปลกไป เขารู้สึกว่ายอดเขานั้นราวมีชีวิต กำลังหายใจเข้าออกท่ามกลางรัตติกาล ดูดซับพลังแห่งนภากาศและดารา ทำให้มันยิ่งดูศักดิ์สิทธิ์เข้าไปอีก
“ไม่ธรรมดาอย่างที่คิดจริงด้วย…”
เขาพึมพำ พวกเขาเข้าใกล้ไปด้วยกัน เพียงแต่ยิ่งระมัดระวังและรอบคอบขึ้น รอบทิศเงียบเชียบไร้เสียง ขนาดเสียงแมลงยังไม่ได้ยิน บรรยากาศกดดันนัก
ยอดเขาดาราโรยมีภูมิลักษณ์อันตราย หินประหลาดตะปุ่มตะป่ำ ไกลออกไปไอพลังยิ่งใหญ่เกรียงไกรพัดเข้ามา
“เข้าใกล้กว่านี้ไม่ได้แล้ว”
หมูอสูรมารหน้าซีดเผือด สั่นเทาไปทั้งตัว เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอันตรายถึงชีวิตอันไร้รูปร่าง ทำให้เขาอยากจะถอยหลังกลับ
“อันตรายจริงๆ”
หลินสวินนิ่วหน้า จิตรับรู้เขากว้างใหญ่ปานไหน ชั่วพริบตาก็รับรู้ได้ว่าในความมืดบริเวณใกล้เคียงยอดเขาดาราโรย อย่างน้อยก็มีกลิ่นอายแข็งแกร่งถึงที่สุดสิบกว่าสายซ่อนอยู่
‘ดูท่าแม้แต่อานุภาพของอสูรเฒ่าเครือเถาก็ไม่อาจทำให้ผู้แข็งแกร่งหวาดกลัวจนไม่กล้าเสี่ยงภัย… ว่าแต่ค่ายกลโบราณนั่นอยู่ที่ไหนกัน’
จิตรับรู้ของเขาแผ่กว้างออกไป ครอบคลุมยอดเขาดาราโรย
พริบตานั้นกลิ่นอายอันตรายก็ถาโถมขึ้นในจิตใจ ทำให้หลินสวินหวาดหวั่น หนาวยะเยือกไปทั้งร่าง เขาสัมผัสได้ว่าจุดสูงสุดของยอดเขาดาราโรยมีพลังต้องห้ามรางเลือนผนึกไว้ น่าพรั่งพรึงไร้ที่สิ้นสุด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ค่ายกลโบราณลี้ลับที่โผล่ออกมาและก่อให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดินต้องอยู่ที่นั่นแน่!
——