Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 770 โอสถสมบัติไร้เทียมทานมหัศจรรย์
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 770 โอสถสมบัติไร้เทียมทานมหัศจรรย์
ราตรีดึกสงัด รอบทิศเงียบเชียบ มีเพียงยอดเขาดาราโรยที่ทั้งยอดเขามีสีเงินยวงราวหิมะ เชื่อมต่อท้องฟ้าดารา อวลไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์
หลังจากหลินสวินแน่ใจในตำแหน่งของค่ายกลโบราณลี้ลับนั้นแล้วก็ใคร่ครวญเล็กน้อย แล้วให้หมูอสูรมารพาซย่าเสี่ยวฉงไปซ่อนตัว
เขาคิดจะปีนเขาโดยลำพังไปดูค่ายกลโบราณนั้นเสียหน่อย
ส่วนความปลอดภัยของซย่าเสี่ยวฉง หลินสวินก็ไม่ได้เป็นห่วงเลย ก่อนหน้านี้เขาประทับจิตวิญญาณบนร่างหมูอสูรมารไว้แล้ว ในขอบเขตหนึ่งร้อยลี้จากยอดเขาดาราโรยนี้ ขอเพียงหมูอสูรมารทำอะไรชอบกล เขาก็จะรับรู้ได้ทันที
ในราตรีสีนิล หลินสวินสำแดงก้าวย่างชือน้ำแข็งเข้าไปใกล้อย่างเงียบๆ
‘ไอสังหารคาวเลือดหนาแน่นยิ่ง!’
เมื่อมาถึงใต้เขาดาราโรย ทั้งร่างของหลินสวินก็เกร็งขึ้นมา บรรยากาศที่นี่กดดันเกินไปแล้ว กลิ่นคาวเลือดเตะจมูก
ซากศพกองแล้วกองเล่าที่หลงเหลืออยู่บนพื้น มีทั้งสัตว์ปีศาจ อสูรมาร ผู้ฝึกปราณ สภาพการตายหลากหลาย แต่ต่างน่าหดหู่อย่างยิ่งทั้งนั้น
เมื่อเงยมองขึ้นไปสังเกตการณ์ก็พบว่า เริ่มตั้งแต่ตีนเขาดาราโรย บนทางภูเขาสีเงินยวงราวหิมะมีร่องรอยศึกใหญ่ดุเดือดให้เห็นอยู่ทั่วไป
เห็นได้ชัดว่าในช่วงเวลานี้ที่นี่มีการปะทะและศึกนองเลือดมากมายปะทุขึ้น ทำให้ผู้ฝึกปราณหลายคนต้องกล้ำกลืนความคับข้องใจอยู่ที่นี่ พูดได้ว่าทางภูเขาเปรอะเปื้อนเลือดไปทุกส่วน
ในเวลาเดียวกันหลินสวินก็สังเกตได้อย่างเฉียบแหลมว่า ยามเขาเข้าใกล้ใต้ยอดเขาดาราโรย ในที่ลับมีจิตรับรู้ไม่รู้เท่าไรเคลื่อนมาทางตนราวกระแสน้ำ
“หึ!”
ดวงตาสีดำของหลินสวินวาบประกายเย็นเยียบ โคจรลักษณ์แห่งตะวันจรัสแสงในเคล็ดเวทบริกรรม พลังจิตวิญญาณปะทุคลื่นทำลายล้างน่ากลัวราวทินกรเจิดจ้าดวงหนึ่งแผ่กระจายออกไป
ชั่วพริบตาจิตรับรู้ที่เคลื่อนมาท่ามจากในที่มืดเหล่านั้นก็เหมือนรับรู้อันตราย จึงพากันถอยหนีราวกับนกที่ถูกธนูทำให้แตกตื่น ไม่กล้ามาสำรวจอีก
‘เอ๊ะ!’
‘เป็นเด็กหนุ่มที่ดุดันนัก!’
ในที่ลับ ผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนตัวอยู่มากมายตื่นตระหนกไม่ว่างเว้น
‘พลังจิตแข็งแกร่งยิ่ง ที่แท้เขาไม่ได้มีพลังปราณระดับหยั่งสัจจะ แต่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติ…’
และมีผู้แข็งแกร่งที่คิดว่าการที่หลินสวินมีพลังจิต พลังปราณจะต้องไม่ได้อยู่ในระดับหยั่งสัจจะอย่างเปลือกนอก แต่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคิดผิดแล้ว
หรือกล่าวว่า ในจิตใต้สำนึกพวกเขาแทบไม่เคยคิดว่าบนโลกนี้จะมีสัตว์ประหลาดที่สามารถควบรวม ‘พลังจิต’ ได้ทั้งที่อยู่ระดับหยั่งสัจจะอย่างหลินสวิน
หลินสวินเริ่มปีนเขาแล้ว ร่างกายสงบนิ่งมั่นคงราวเดินเล่นในสวน แต่ความจริงแล้วตัวเขาพร้อมจะลงมือทุกเมื่อราวคันธนูที่ง้างจนตึง เตรียมพลังรอไว้แล้ว
ยอดเขามีสีเงินยวง อาบไล้รัศมีดาราดูศักดิ์สิทธิ์ แต่แท้จริงแล้วมีซากศพกระจัดกระจายตลอดทาง คราบเลือดมีให้เห็นทั่วไปหมด สภาพการณ์น่าหดหู่
อีกทั้งมีพลังต้องห้ามน่าหวาดหวั่นอันไร้รูปอบอวล มากด้วยแรงกดดัน ทำให้หลินสวินรู้สึกขนลุก
“สหายน้อย วาสนาครั้งนี้แม้มาเยือนนานแล้ว แต่กลับยังไม่ถึงเวลาเปิด ขอเตือนให้เจ้ากลับไปเถอะ อย่าปีนขึ้นไปอีกเลย จะได้ไม่ต้องเสี่ยงชะตาขาด”
ระหว่างทางหลินสวินก็รับรู้ได้ว่ามีผู้ฝึกปราณที่แข็งแกร่งซ่อนตัวอยู่ ไม่ได้ว่างเปล่าไร้คน มีบุคคลชั้นยอดระดับกระบวนแปรจุติเผ่ามนุษย์ไม่น้อย
ที่เอ่ยปากเตือนหลินสวินก็คือชายชราคนหนึ่งซึ่งแต่งกายด้วยชุดนักพรต ศีรษะสวมเกี้ยวประดับขนนก เขานั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้โบราณต้นหนึ่ง ทุกครั้งที่กะพริบตา ราวกับมีสายฟ้าฟาดบังเกิดขึ้นในดวงตา น่าหวาดหวั่นยิ่ง
“ขอบคุณมาก”
หลินสวินพยักหน้าขอบคุณ แต่จากนั้นก็ปีนเขาต่อไป
“เฮอะ คนรุ่นหลังเหนือล้ำกว่ารุ่นก่อน เพียงแต่มุทะลุเกินไปแล้ว…”
ชายชราชุดนักพรตประชดประชัน ชักสายตากลับมาไม่สนใจหลินสวินอีก
หลายวันนี้เขาเห็นบุคคลร้ายกาจในหมู่ผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์และอสูรมารขึ้นเขามามากมาย แต่ส่วนมากล้วนประสบเคราะห์และสิ้นชีพไปในการปะทะและศึกดุเดือด
ชายชราในชุดนักพรตมีนามว่าซ่งฉี เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งในสำนักยุทธ์พันเวทใน ‘สี่สำนักสามตระกูล’ มีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นสูง มีชื่อเสียงยิ่งในแคว้นวิญญาณอัคนี
แต่ขนาดเขายังทำได้เพียงเร้นกายบริเวณไหล่เขานี้ ไม่กล้าขึ้นไปด้านบน
เพราะตามที่เขารู้ บนยอดเขาดาราโรยตอนนี้ยิ่งสูงขึ้นไปก็ยิ่งอันตราย มีพวกร้ายกาจที่พลังแข็งแกร่งคนแล้วคนเล่าซ่อนตัวอยู่ ทั้งบุคคลชั้นยอดจากขุมอำนาจสี่สำนักสามตระกูล ทั้งผู้แข็งแกร่งภายนอกบางคนที่ได้ข่าวจึงมาที่นี่จากทั่วทุกสารทิศ
ขนาดพญาอสูรมารที่น่ากริ่งเกรงบางตัวในภูเขาโคม่วงก็ยึดครองอาณาเขตบนยอดเขาดาราโรย ย่อมมีอันตรายหนักหนา ไอสังหารทุกย่างก้าว!
ตอนนี้เด็กหนุ่มคนนั้นมีเพียงพลังปราณระดับหยั่งสัจจะเท่านั้น กลับมุ่งหมายจะปีนเขา ในความคิดของซ่งฉีก็ไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย
“เจ้าเด็กน้อย นี่เป็นที่ที่เจ้าไม่ควรมานะ รีบไสหัวไป!”
ทันใดนั้นบนทางขึ้นเขาสูง เสียงคำรามราวฟ้าคำรนก็ดังขึ้น อินทรีหัวผีตัวหนึ่งก็กระโจนออกมา ตีปีกเจิดจ้าที่ประหนึ่งคมดาบจะซัดอีกฝ่ายให้กระเด็น
สัตว์ดุร้ายตัวนี้ท่าทางโอหังหยิ่งผยองถึงที่สุด ปีกของมันซัดลมหอบใหญ่ขึ้น กวาดให้หินผาตกลงลงมา น่ากลัวอย่างยิ่ง
กรรมตามทันแล้ว!
ซ่งฉีลอบถอนใจ อินทรีหัวผีนั่นพลังแข็งแกร่งยิ่งนัก ฆ่ามหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติทั่วไปได้ราหั่นผัก ทั้งนิสัยใจคอยังป่าเถื่อนดุร้าย ปลิดชีพผู้แข็งแกร่งไปไม่รู้เท่าไร
และในความคิดของซ่งฉี เด็กหนุ่มนั่นก็กำลังประสบเคราะห์ยากหลีกหนีแล้ว!
“นี่ก็เป็นจุดจบของคนที่ไม่ฟังคำเตือนของคนอื่นสินะ…” ซ่งฉีไม่อยากทนดูภาพนองเลือด กำลังจะชักสายตากลับมา
และก็เป็นตอนนี้เองที่นัยน์ตาของเขาแข็งทื่อในทันใด
สวบ!
มองเห็นคมดาบสีขาวเจิดจ้าโปร่งแสงแทบเหมือนนิมิตพุ่งออกมาจากตัวเด็กหนุ่มผู้นั้น ไหววูบแผ่วเบา เสียงฟึ่บดังขึ้นคราหนึ่งก็ฟันปีกข้างหนึ่งของอินทรีหัวผีตกลงมา แสงเลือดพุ่งขึ้นไปสูงนัก
“นี่…”
ซ่งฉีตกตะลึงอ้าปากค้าง
อินทรีหัวผีร้องโหยหวน เสียงชวนหดหู่กระจายไปไกลในความมืด ทำให้สิ่งมีชีวิตที่ซ่อนตัวอยู่ในบริเวณใกล้กันล้วนตื่นตระหนก พากันจับตามองมาทางนี้
ส่วนไกลออกไป อินทรีหัวผีกลับกำลังร้องโหยหวน หลบหนีหัวซุกหัวซุน ท่าทางประหวั่นพรั่นพรึง เมื่อเทียบสองภาพนี้แล้วยิ่งขับเน้นให้เด็กหนุ่มคนนั้นดูไม่ธรรมดา
“นี่เป็นศิษย์สำนักไหนกัน”
ผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์หลายคนล้วนสะท้านขวัญ ใช้พลังปราณระดับหยั่งสัจจะ กลับสามารถฟันปีกข้างหนึ่งของอินทรีหัวผีให้ตกลงมา ทำให้มันได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ นี่ดูเหลือเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนพวกพญาอสูรมารหลากสายพันธุ์ล้วนสีหน้าหนักอึ้ง รับรู้ได้ว่าบนยอดเขาดาราโรยคืนนี้มีพวกร้ายกาจที่ไม่ธรรมดามาถึงอีกคนหนึ่งแล้ว
หลินสวินไม่ได้ตามฆ่าอินทรีหัวผี และไม่ได้ใส่ใจสายตาที่ทอดมองมาในความมืดเหล่านั้น ตรงดิ่งขึ้นเขาไป
แต่เห็นได้ชัดว่าการโจมตีเมื่อครู่นี้ของเขาสร้างความหวาดหวั่นให้ผู้แข็งแกร่งมากมาย พาให้พวกเขาล้วนไม่กล้าเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า ตั้งใจสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ
“เด็กหนุ่มคนนี้หรือจะเป็นศิษย์สืบทอดสำนักเก่าแก่สักสำนักในแดนฐิติประจิม ฝีมือช่างแข็งแกร่งเกินไปแล้ว…”
ใต้ต้นไม้โบราณ ซ่งฉีจิตใจไม่สงบนัก ก่อนหน้านี้เขายังเย้ยหยันอยู่เลย คิดว่าอีกฝ่ายไปหาที่ตาย ใครจะคิดว่าแค่เพียงชั่วพริบตากลับเกิดเหตุพลิกผันเช่นนี้ ทำให้ใบหน้าของเขาร้อนผ่าวอยู่บ้าง
เขาถามใจตัวเอง หากเปลี่ยนเป็นเขา ยังไม่กล้าต้านทานอินทรีหัวผีตัวนั้นเลย!
“คนรุ่นหลังเหนือล้ำกว่าคนรุ่นก่อนอย่างแท้จริงสินะ!”
ซ่งฉีทอดถอนใจ มหาสงครามกำลังจะมาเยือน ผู้กล้าที่โดดเด่นสะดุดตาบางคนเริ่มแสดงความเหนือชั้นอย่างต่อเนื่อง เหนี่ยวนำกระแส ใต้หล้าในภายภาคหน้าคล้ายกำหนดมาแล้วว่าจะเป็นเวทีให้ผู้กล้ารุ่นเยาว์เหล่านี้ได้ช่วงชิงความเป็นใหญ่
ซ่งฉีพลันนึกถึงเยวี่ยเจี้ยนหมิง ผู้สืบทอดสำนักยุทธ์พันเวทของพวกเขาขึ้นมา หากเทียบกับเด็กหนุ่มคนนี้ พวกเขาสองคนใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน
…….
‘ที่นี่มหัศจรรย์ดังคาด’
ไม่นานนักเงาร่างของหลินสวินก็ไม่อยู่ไม่ห่างจากจุดสูงสุดของยอดเขาแล้ว ต้นไม้ใบหญ้าที่โตในบริเวณนี้มีสีเงินเจิดจ้าทั้งต้น ราวกับสร้างขึ้นจากหมอกหิมะ อบอวลไปด้วยละอองแสง กลืนกินแสงดาราท่ามกลางราตรี ดูอัศจรรย์ยิ่ง
จู่ๆ หลินสวินก็รู้สึกเหมือนต้นไม้เหล่านี้มีชีวิต บางทีใช้เวลาไม่นานก็จะแปรสภาพเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาได้!
กลิ่นสุคนธ์บริสุทธิ์ลอยมาตามลม ทำให้เขาหรี่ตาลง ทันใดนั้นก็มองเห็นว่า ห่างออกไปหลายสิบจั้งในรอยแยกระหว่างหินโบราณที่ซ้อนกันอยู่ มีต้นไม้สีเงินเล็กๆ ต้นหนึ่งหยั่งรากเติบโตอยู่
มันสูงราวๆ หนึ่งฉื่อเท่านัน เปลือกไม้ดุจเกล็ดมังกรที่แยกเป็นแผ่นๆ ลำต้นดูเก่าแก่แต่สามัญ บนยอดกิ่งของมันมีผลขนาดเท่าท้องนิ้วโป้งเจ็ดแปดผล มีแสงเงินไหลออกมารำไร กลมเกลี้ยงโปร่งใส
กลิ่นหอมบริสุทธิ์เมื่อกี้มาจากที่นี่นี่เอง
‘นี่ต้องเป็นโอสถสมบัติไร้เทียมทานต้นหนึ่งแน่!’ นัยน์ตาดำของหลินสวินเปล่งประกาย
ขณะเดียวกันในใจเขาก็รอบคอบเต็มที หลายวันนี้ไม่รู้ว่าผู้แข็งแกร่งมากมายเพียงใดเคยปีนเขาลูกนี้ ขนาดตอนนี้ในบริเวณใกล้เคียงยังมีพวกร้ายกาจซ่อนอยู่ไม่น้อย
แต่ต้นไม้น้อยสีเงินนี้กลับไม่บุบสลาย แม้แต่ผลยังไม่เคยถูกเด็ดไป นี่ดูผิดปกติอย่างมาก
‘เป็นกับดักอย่างที่คิด!’
จิตรับรู้ของเขาสัมผัสได้อย่างละเอียด ไม่นานก็พบว่าส่วนรากของต้นไม้น้อยสีเงินนี้ประทับพลังต้องห้ามคลุมเครือรางเลือนอยู่ชั้นหนึ่ง
แม้มีเพียงชั้นเดียว แต่กลับทำให้หลินสวินหวาดกลัวหาใดเทียบ ศีรษะชาหนึบ นั่นเป็นกลิ่นอายที่ถึงแก่ชีวิตได้เลย!
อีกทั้งกลิ่นอายสายนี้หลินสวินยังคุ้นเคยนัก มาจากแหล่งเดียวกับพลังต้องห้ามคลุมเครือที่ปกคลุมจุดสูงสุดของยอดเขาดาราโรย
‘นี่เป็นโอสถสมบัติที่หล่อเลี้ยงด้วยพลังของค่ายกลโบราณนั่นหรือ วิธีนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่คิด เชื่อมโยงพลังแห่งดวงดาราเป็นตัวหล่อเลี้ยง รดน้ำให้กับโอสถสมบัติ เสริมให้มันเติบโต แค่คิดก็รู้ว่าเมื่อโอสถนี้โตเต็มวัย ฤทธิ์โอสถของมันจะน่าตื่นตะลึงแค่ไหน…’
หลินสวินมองจนตาร้อนผ่าว แต่สุดท้ายยังยั้งใจไว้ ไม่ลงมือแล้วเดินต่อไป
‘เจ้าหนูนี่ก็ฉลาด ไม่ถูกล่อให้ติดกับ…’
ในความมืด ผู้แข็งแกร่งที่จับตาดูทุกการกระทำของหลินสวินบางคนลอบตกใจ และมีไม่น้อยที่ถอนหายใจ พวกเขาปรารถนาให้หลินสวินประสบเคราะห์ เช่นนี้ก็เท่ากับตัดคู่แข่งไปได้คนหนึ่ง
“หือ”
ไม่นานนักหลินสวินก็พบโอสถสมบัติอีกต้นหนึ่ง ห่างจากตำแหน่งสูงสุดของยอดเขาไม่ไกล รูปลักษณ์ของมันเหมือนหงส์เพลิงสยายปีกจะโผบินตัวหนึ่ง แสงอัคนีงดงามไหลหลั่งออกมา เมื่อมองไกลๆ ก็เหมือนหงส์เพลิงที่เกิดใหม่จากนิพพานตัวหนึ่ง!
ที่มหัศจรรย์ที่สุดก็คือ มันกลับหยั่งรากลงในห้วงอากาศ อาบชโลมแสงดาว แผ่แสงอัคนีราวภาพนิมิต เหมือนหงส์เพลิงเทพตัวหนึ่งเริงระบำกลางอากาศ ดูไม่เหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
ยังไม่ทันเข้าใกล้ กลิ่นโอสถหอมเข้มข้นก็ตลบอบอวลออกมา เพียงได้สูดดมครั้งเดียวก็ทำให้เขาปลอดโปร่งไปทั้งร่าง จิตใจโล่งสบาย พลังชีวิตกระปรี้กระเปร่า!
‘นี่เป็นโอสถสมบัติหายากระดับไหนอีก คงไม่ใช่… โอสถเทพต้นหนึ่งกระมัง’
หลินสวินหน้าเปลี่ยนสีโดยสิ้นเชิง จิตใจสั่นสะท้านไม่อาจสงบลงได้
เขาแน่ใจว่าโอสถสมบัติที่มีรูปร่างเหมือนหงส์เหินอาบเพลิงต้นนี้ ต้องมีที่มาที่ไปยิ่งใหญ่เกินจินตนาแน่!
แต่ในเวลาเดียวกันหลินสวินก็สังเกตเห็นว่า ห้วงอากาศรอบๆ โอสถสมบัติต้นนี้ปกคลุมไปด้วยคลื่นต้องห้ามคลุมเครือหาใดเปรียบ พาให้หวาดหวั่นกระวนกระวาย
“พ่อหนุ่ม ได้พบกันก็ถือว่ามีวาสนา ขอเพียงเจ้าฟังคำสั่งข้า ศุภโชคตรงหน้านี้ก็จะเป็นของเจ้าแล้ว!”
ฉับพลัน เสียงแหบแห้งหยาบกระด้างเสียงหนึ่งดังขึ้น
——