Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 775 นครเตโช
จวนออกจากภูเขาโคม่วง หมูอสูรมารอาลัยอาวรณ์ ท่าทางเต็มไปด้วยความปวดร้าวโดดเดี่ยว หมายมอบอ้อมกอดใหญ่ๆ แก่ซย่าเสี่ยวฉงเป็นการอำลา
ผลคือขณะเขากางสองแขน ก็ถูกเท้าข้างหนึ่งของหลินสวินถีบกระเด็นจนแผดเสียงร้องโหยหวน แยกเขี้ยวยิงฟันลูบก้น ไม่เห็นท่าทางโศกเศร้าขณะจากลาอีกแม้แต่น้อย
“หากยังไม่ไป ข้าจะตุ๋นเจ้าซะตอนนี้!”
หลินสวินเหลือบมองหมูอสูรมารตัวนี้วูบหนึ่ง
“คุณชาย หัวใจคนเราคือก้อนเนื้อ จะแยกจากกันอยู่แล้ว ไยต้องไร้เยื่อใยเช่นนี้เล่า”
หมูอสูรมารโศกเศร้าถอนใจยาว
หลินสวินยิ้มเย็นกล่าวสั่งการ “เสี่ยวฉง เจ้าไปก่อไฟ ก่อนจากไปพวกเรามากินให้อิ่มสักมื้อ”
สวบ!
คำพูดเพิ่งจบ ก็เห็นหมูอสูรมารประหนึ่งฝ่าเท้าลูบน้ำมัน ผลุบหนีหายไปไร้ร่องรอยดั่งหมอกควัน ความเร็วอันว่องไวทำเอาหลินสวินและซย่าเสี่ยวฉงต่างตะลึงงันอยู่บ้าง
ซย่าเสี่ยวฉงย่นจมูกกล่าววิจารณ์ “เจ้าหมูนี่ช่างต่ำทรามทั้งยังหน้าไม่อาย อีกทั้งยังเจ้าชู้ตัณหาจัด ศีลธรรมเพียงนิดล้วนไม่มี หากถูกอาจารย์ข้าพบเข้าต้องจับมันเจื๋อนแน่ เพราะที่อาจารย์ข้าเกลียดที่สุดก็คือพวกตัณหากลับเยี่ยงนี้”
คำวิจารณ์ที่มีต่อหมูอสูรมารทำให้หลินสวินรู้สึกเช่นเดียวกัน ทว่าเมื่อฟังถึงตอนท้าย หลินสวินอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเย็นเยียบ ลังเลอยู่บ้างว่าจะไปคารวะอาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงดีหรือไม่
…
แคว้นวิญญาณอัคนี
กว้างขวางหาใดเปรียบ ใหญ่ราวโลกแห่งหนึ่ง ภายในพรมแดนขุนเขาสูงชันมากมี รอบรั้วคูเมืองกว่าพัน รวบรวมสรรพชีวิตหลายหมื่นพัน
นอกจากเจ็ดขุมอำนาจใหญ่ ‘สี่สำนักสามตระกูล’ ซึ่งมีชื่อเสียงที่สุด ภายในแคว้นวิญญาณอัคนียังมีขุมอำนาจและกลุ่มเผ่าพันธุ์อื่นมากมายหลายหลาก
แค่เพียงอาณาเขตแคว้นหนึ่ง ก็ใหญ่กว่าอาณาเขตของจักรวรรดิจื่อเย่าบนโลกชั้นล่างอยู่มาก!
และทั่วแดนฐิติประจิมมีเขตแคว้นมากกว่าพัน สถานที่ซึ่งใหญ่กว่าแคว้นวิญญาณอัคนี รุ่งเรืองเฟื่องฟูยิ่งกว่า ยิ่งมีมากมายเหลือคณานับ!
เปรียบเทียบเช่นนี้ก็รู้แล้วว่าดินแดนรกร้างโบราณซึ่งครอบคลุมจตุแดนวิภูอย่างแดนชัยบูรพา แดนฐิติประจิม แดนกาฬทักษิณและแดนดาราอุดรกว้างใหญ่ไพศาลระดับใด แทบสามารถใช้คำว่าไร้สิ้นสุดไร้ขอบเขตมาพรรณนา
อันที่จริงจวบจนปัจจุบัน แม้บุคคลเทียมฟ้าผู้ก้าวสู่อริยมรรค ก็ล้วนไม่อาจอนุมานได้ว่าเส้นขอบเขตของดินแดนรกร้างโบราณอยู่ที่ไหนกันแน่…
เมื่อทราบสิ่งเหล่านี้หลินสวินอดทอดถอนใจไม่ได้ ท้ายที่สุดจึงเข้าใจแล้วว่า เหตุใดเหล่าผู้สืบทอดของสำนักต่างๆ อย่างแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ สำนักกระบี่เทียมฟ้า เมื่อมาถึงโลกชั้นล่างล้วนแต่หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีเช่นนั้น
เทียบทั้งดินแดนรกร้างโบราณ จักรวรรดิจื่อเย่าเห็นได้ว่าเล็กกระจิดริดและยากไร้เหลือเกิน
ทว่าหลินสวินรู้ดีว่า ถึงแม้อาณาเขตของแคว้นวิญญาณอัคนีใหญ่กว่าจักรวรรดิจื่อเย่าอยู่มาก แต่หากกล่าวถึงยอดพลังที่แท้จริง จักรวรรดิจื่อเย่ากลับมีหลายจุดที่แคว้นวิญญาณอัคนีไม่อาจเทียบได้
ยกตัวอย่างเช่น ภายในเจ็ดขุมอำนาจใหญ่สี่สำนักสามตระกูลแห่งแคว้นวิญญาณอัคนี ไม่มีราชันที่แท้จริงคอยบัญชาการ
แต่ในจักรวรรดิ จักรพรรดิและจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน ราชครูแห่งหอดูดาวหลวง เจ้าสำนักสำนักศึกษามฤคมรกต ล้วนแต่เป็นบุคคลน่าสะพรึงซึ่งครอบครองพลังพลิกฟ้าดินทั้งสิ้น
ต่อให้ไม่พูดถึงบุคคลเหล่านี้ แค่ในเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงก็ล้วนไม่ขาดแคลนราชันระดับสังสารวัฏที่แท้จริง!
จากจุดนี้ก็สามารถมองออกว่า แม้จักรวรรดิจื่อเย่าตั้งอยู่ในโลกชั้นล่าง เป็นดินแดนยากไร้ในสายตาแวดวงผู้ฝึกปราณ
แต่ภายในจักรวรรดินี้ กลับมีเส้นสนกลในชวนประหวั่นที่คนภายนอกไม่อาจรับรู้
…
นครเตโช
ศูนย์กลางแห่งแคว้นวิญญาณอัคนี เป็นแดนฝึกปราณศักดิ์สิทธิ์ในเขตแคว้นวิญญาณอัคนีซึ่งผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนใฝ่ฝันมากที่สุด แต่ละวันล้วนมีผู้ฝึกปราณเหลือคณานับจากอาณาเขตอื่นๆ ในแคว้นมุ่งหน้ามาเยือน
เหตุผลนั้นง่ายมาก สี่สำนักใหญ่แห่งแคว้นวิญญาณอัคนีอย่างสำนักยุทธ์พันเวท สำนักกระบี่สนขจี สำนักมุกวิญญาณ สำนักเร้นปรัชญา รวมถึงสามตระกูลใหญ่หลิ่ว เวิน เซียวต่างลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่
ประจวบเหมาะเที่ยงวัน ภายในนครเตโชคึกคักหาใดเปรียบ ม้าเกวียนสวนกันขวักไขว่ ผู้คนสัญจรคลาคล่ำ
หลินสวินและซย่าเสี่ยวฉงกำลังเดินเล่นบนท้องถนนอันกว้างขวางรุ่งเรือง
สิ่งปลูกสร้างในนครเตโชปรากฏสีแดงเพลิงสะดุดตา มองจากเบื้องบนลงมา ทั้งเมืองประดุจผลึกอัคคีก้อนใหญ่มหึมาหาใดเปรียบก้อนหนึ่ง สดใสสว่างกระจ่างตายิ่ง
ลือกันว่าเมื่อนานมาแล้ว ใต้พิภพนครเตโชฝัง ‘ชีพจรเพลิงแรกกำเนิด’ สายหนึ่งเอาไว้ ก่อเกิดเป็นเจินหลงเพลิงแดงตัวหนึ่ง ด้วยบรรลุมรรคได้ในวันเดียวจึงพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ถูกมนุษย์โลกเรียกขานอย่างยกย่องว่า ‘สัจจเทพมังกรเพลิง’
แน่นอนว่าเป็นแค่ตำนานอย่างหนึ่ง ใครต่างไม่อาจตัดสินได้ว่าจริงหรือเท็จ ทว่าเพราะตำนานเล่าขานนี้ ทำให้นครเตโชมีสีสันบำเพ็ญเพียรอันเร้นลับไร้รูปขึ้นอีก
“ลดกระหน่ำถ้ำสถิตบำเพ็ญเพียรชั้นสูงแห่งหนึ่งบนภูเขาเซียนหิมะ ภายในมีตาน้ำพุวิญญาณ ทุ่งวิญญาณห้าหมู่ นอกจากนี้ยังมีสวนโอสถผืนหนึ่ง แค่เพียงแปดพันแกนวิญญาณขั้นกลางเท่านั้น!”
“ข่าวดีครั้งใหญ่! ภายในสิบวันนี้สำนักยุทธ์ตะวันเมฆาจ้างวานผู้สืบทอดสำนักเร้นปรัชญารุ่นที่สามสิบเจ็ดมาชี้แนะสอนสั่งโดยเฉพาะ ค่าสมัครแค่หนึ่งร้อยแกนวิญญาณขั้นต่ำ!”
“ลองมาดูลองมาชม นี่คือ ‘ลูกกลอนจินดาสมประสงค์’ หลอมตามตำรับลับมรดกเผ่ากระจิบเขียวของข้า แค่เก้าร้อยเก้าสิบแปดแกนวิญญาณขั้นต่ำ! อะไรนะ สหายยุทธ์ท่านนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนรึ งั้นท่านก็อยู่ในกะลาแล้ว เมื่อครั้งบรรพกาลลูกกลอนจินดาสมประสงค์ของเผ่าข้าน่ะ เป็นลูกกลอนวิญญาณที่ได้ผลชะงัด เป็นที่นิยมในใต้หล้า แค่เพียงเม็ดเดียวก็สามารถทำให้ท่านคงความหนุ่มสาว ไม่แก่เฒ่าชั่วนิรันดร์! เอ๋สหายยุทธ์ ท่านอย่าเพิ่งรีบไป ถ้าท่านไม่ต้องการก็สามารถซื้อไปเอาอกเอาใจคนรู้ใจ อีกทั้งราคายังไม่ใช่ปัญหา ล้วนสามารถเจรจากันได้…”
เสียงร้องตะเบ็ง เสียงเรียกขายของดังต่อเนื่องเป็นระลอก ก้องสะท้อนเหนือฟ้าบนท้องถนน คึกคักอึกทึก ทำให้หลินสวินได้เปิดโลกทัศน์
เขาพบว่าบรรดาพ่อค้าเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์!
ทายาทเผ่าอสูรนอสมุทรซึ่งเกิดมาพร้อมนอเดียว มีเส้นผมเขียวสาหร่ายทั้งศีรษะ กลับทำตัวเป็นพ่อค้ารายย่อย เร่ขายโอสถวิญญาณนานัปการแก่ผู้ฝึกปราณที่ผ่านไปมาอย่างยิ้มแย้ม
สาวน้อยเผ่าผีเสื้อฟ้าซึ่งขนาดแค่ฝ่ามือ เกิดมาพร้อมปีกหลากสีสันคู่หนึ่ง งดงามกระจิดริด กลับหิ้วตะกร้าดอกไม้จิ๋วประณีตขนาดเท่าเหรียญทองแดง เริงระบำเกาะกลุ่มเป็นขบวนบนท้องถนน กำลังขาย ‘น้ำผึ้งเสาวรสวิญญาณ’ ซึ่งเป็นของเฉพาะถิ่นเผ่าผีเสื้อฟ้าของพวกนาง
ห่างออกไปไม่ไกลนัก เสียงเครื่องดนตรีทุ้มต่ำเสนาะหูดังขึ้นเป็นระลอก ยังตามมาด้วยเสียงขับร้องแผ่เก่าแก่โบราณ
ที่นั่นมีนักดนตรีเผ่าคีตลายกลุ่มหนึ่ง พวกเขาสวมชุดหนังสัตว์ปักลายบุปผาปักษามัจฉาแมลง ผิวสีทองแดง รูปร่างอัปลักษณ์ แต่สีหน้าต่างน่าเลื่อมใสและสุภาพนุ่มนวล
พวกเขาคือ ‘วณิพกพเนจร’ แห่งโลกการบำเพ็ญเพียร อาศัยศาสตร์ดนตรีเข้าสู่มรรคา ฝากร่องรอยทั่วใต้หล้า นี่คือหนทางสู่มรรคอันเป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา
นอกเหนือจากนี้ยังมีชนเผ่ากระจิบเขียวซึ่งชำนาญการหลอมยา ชนเผ่าจินตเมฆาซึ่งถนัดเย็บปักถักร้อยเป็นต้น รูปร่างหน้าตามีสารพัดแบบ ทำให้หลินสวินได้เปิดหูเปิดตา
ดินแดนรกร้างโบราณมีชื่อเสียงว่าหมื่นเผ่าพันธุ์เรียงราย นี่หาใช่การโอ้อวดเกินจริงแน่นอน
“พี่ชาย หลายวันก่อนข้าเพิ่งพบสมบัติชั้นดีสะท้านฟ้าสะเทือนดินชิ้นหนึ่ง เป็น ‘รากชีวิต’ ท่อนหนึ่งซึ่งผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติเผ่ามังกรหัสดีเหลือทิ้งไว้! ของเล่นชิ้นนี้น่ะเป็นของบำรุงอย่างดี ใช้ร่วมกับ ‘วิธีบำเพ็ญคู่’ จะต้องเกิดผลอัศจรรย์ไม่อาจจินตนา! หากเจ้าต้องการ ข้าก็จะขายให้เจ้าถูกๆ”
ชายตัวเล็กร่างผอมหน้าตาไม่น่าไว้ใจคนหนึ่งดอดเข้ามาลับๆ ล่อๆ หลังเขาแบกกระดองหนึ่ง ดวงตาเท่าเมล็ดถั่วเขียว หนวดเป็นเลขแปด (八) มีบุคลิกสับปลับลามกเฉพาะตัวประการหนึ่ง
นี่คือลูกหลานเผ่าเต่าตะกลาม สังเกตได้ง่ายนัก ด้วยเผ่าพันธุ์นี้มีชื่อเสียงโด่งดังในแวดวงผู้ฝึกปราณ ที่ชื่นชอบที่สุดคือขุดปล้นสุสานของผู้อื่น ถูกเรียกว่าเป็น ‘โจรปล้นสุสานแห่งโลกผู้ฝึกปราณ’
เผ่ามังกรหัสดี?
รากชีวิต?
หน้าผากหลินสวินมีเส้นเลือดดำปูดโปน
แต่ยังไม่รอให้หลินสวินกล่าวอะไร ชายเผ่าเต่าตะกลามนั่นก็ร้องเสียงประหลาด หายวับเผ่นแน่บเข้าไปในฝูงชน หลบหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ไม่นานนักผืนแผ่นดินสั่นสะเทือน กลุ่มชายฉกรรจ์สูงราวสามจั้ง ห้าวหาญดั่งภูเขาลูกย่อมๆ ทั่วร่างเอ่อล้นด้วยแสงทองอร่ามก็พุ่งเข้ามา ทำให้บนถนนหลักแตกตื่นโกลาหลฉับพลัน
พวกเขาโกรธเดือดดาล คล้ายกำลังค้นหาอะไร
“แม่งเอ๊ย โจรปล้นสุสานนั่นวิ่งไปไหนแล้ว ถึงกับกล้ามาขุดสุสานปู่ข้า ทั้งยังตัดรากมรดกปู่ข้าไปด้วย สมควรตายนัก!”
ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้นำแผดคำราม ดวงตาแดงก่ำ
หลินสวินรีบหลีกหลบ แต่สีหน้ากลับเปลี่ยนเป็นพิลึกพิลั่น เขาจำกลุ่มชายฉกรรจ์ห้าวหาญหาใดเปรียบนี้ได้ เป็นทายาทแห่งเผ่ามังกรหัสดีนั่นเอง!
เห็นชัดว่าคนที่พวกเขาหมายจะจับตัวคือชายเผ่าเต่าตะกลามเมื่อครู่
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้หลินสวินแสยงในใจคือ ‘รากชีวิต’ ที่เผ่าเต่าตะกลามหมายขายให้ตนก่อนหน้านั้น ถึงกับขุดขโมยมาจากหลุมฝังศพของผู้แข็งแกร่งเผ่ามังกรหัสดี!
“พี่หลินสวิน ข้าจะไปพบอาจารย์แล้ว ท่านจะมาด้วยกันกับข้าไหม” ด้านข้าง ซย่าเสี่ยวฉงอ้าปากงึมงำ นางกำลังกินเนื้อแพะหิมะย่างไม้หนึ่งซึ่งซื้อมาจากมือพ่อค้าเร่เผ่าจิ้งจอกแดง กระพุ้งแก้มป่องบวม ปากน้อยมันเยิ้ม
“ข้ารอข่าวจากเจ้าที่นี่แล้วกัน” หลินสวินกล่าวพึมพำ
เขารู้ดีกว่า ‘งานประลองใหญ่รวมสำนัก’ ซึ่งจัดโดยสี่สำนักสามตระกูลแห่งแคว้นวิญญาณอัคนีครานี้จะปิดฉากลงวันนี้
ยามนี้อาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงอยู่กับเหล่าคนใหญ่คนโตแห่งสี่สำนักสามตระกูล ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินไม่อยากบุ่มบ่ามไปคารวะ
อย่างไรเสียขณะอยู่บนภูเขาโคม่วง กลุ่มของโม่เฟิงแห่งสำนักมุกวิญญาณก็ถูกเขาจัดการอย่างหนักไปยกหนึ่ง หากไปกับซย่าเสี่ยวฉง ทันทีที่เจอพวกเขาจะต้องเกิดเรื่องยุ่งยากโดยไม่จำเป็นบางอย่างแน่
“อืม ก็ได้” ซย่าเสี่ยวฉงพยักหน้า
ทั้งสองกำหนดสถานที่นัดพบกันดีแล้วซย่าเสี่ยวฉงจึงจากไป ส่วนหลินสวินเดินเที่ยวเตร่ในนครเตโชเพียงลำพัง
เขามาดินแดนรกร้างโบราณเป็นครั้งแรก ต้องการคุ้นเคยกับทุกอย่างที่นี่โดยเร็ว ผสานรวมเป็นส่วนหนึ่งกับโลกนี้ เรียนรู้ทุกเรื่องในโลกนี้ก็เท่านั้น
“ได้ข่าวหรือยัง แดนแห่งวาสนาในส่วนลึกของภูเขาโคม่วง นับวันยิ่งดึงดูดความสนใจของผู้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ได้ยินว่าบุคคลเก่งกาจมากมายล้วนกำลังรีบเร่งมาจากเขตแคว้นอื่น”
“ครึ่งปีจากนี้ เทศกาลโคมกถามรรคบนเขาพยับครามจะเริ่มแล้ว ว่ากันว่าเทศกาลโคมครั้งนี้จัดอย่างยิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์ ดึงดูดยอดผู้กล้าทรงอิทธิพลมากมายแห่งแดนฐิติประจิมชิงกันเข้าร่วม น่าเสียดาย อย่างพวกเรายังห่างไกลจากคำว่ามีสิทธิ์เข้าร่วม”
“น่าชังนัก! เมื่อตะกี้ฟางหลินหานผู้สืบทอดจาก ‘อาศรมดาบแปดวิทูร’ ของแคว้นวารีทมิฬนั่น ได้รับชัยชนะสิบครั้งรวดในลานประลองยุทธ์นครเตโชอีกครา ทั้งยังเอะอะเอ็ดตะโรว่าพวกเราชนรุ่นเยาว์แคว้นวิญญาณอัคนีไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้! นี่เห็นชัดว่ามองพวกเราแคว้นวิญญาณอัคนีว่าไร้ตัวตน!”
ตลอดทางแม้หลินสวินกำลังเดินเล่น แต่กลับได้ยินข่าวคราวและข่าวลือมากมายหลายหลาก เกือบทั้งหมดคือเรื่องใหญ่ที่ฮือฮาที่สุดในแคว้นวิญญาณอัคนีช่วงนี้
หลินสวินกลับฟังอย่างออกรสออกชาติ กระทั่งผ่านไปสองสามชั่วยามเขาจึงย้อนกลับทางเดิม เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
นี่คือสถานที่ซึ่งเขาและซย่าเสี่ยวฉงนัดหมายเจอกัน
ทว่าขณะหลินสวินเพิ่งเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม พลันได้ยินเสียงตวาดอึกทึก
“ผู้สืบทอดอาศรมดาบแปดวิทูรอะไรกัน ถึงกับกล้าดูถูกผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์แห่งแคว้นวิญญาณอัคนีของข้า ฟางหลินหาน ถ้าตอนนี้เจ้ากล้าก็จงออกมาสู้กับคุณชายเช่นข้าคนนี้!”
……………………