Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 777 เจียวทองเก้าหัว
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 777 เจียวทองเก้าหัว
เด็กหนุ่มนั่นเป็นใคร
ผู้ฝึกปราณทั้งหมดในโรงเตี๊ยมรับรู้ได้อย่างว่องไวว่า การที่สามารถถูกฟางหลินหานเชิญประลองด้วยตนเอง เด็กหนุ่มนั่นไม่มีทางเป็นคนธรรมดาแน่นอน!
นึกถึงท่าทีนิ่งสงบของหลินสวินเมื่อครู่ยามเผชิญหน้าฟางหลินหาน ทำให้ผู้ฝึกปราณเหล่านี้ต่างคาดเดาอย่างลุ่มลึกทันที
“ตรวจสอบดูซิ เจ้าหมอนี่เป็นเทพสวรรค์จากที่ใดกันแน่!”
ไม่ช้าเหล่าผู้ฝึกปราณในโรงเตี๊ยมต่างรีบเร่งออกไป หนึ่งคือมุ่งหมายสืบข่าวถามที่มาของหลินสวินโดยเร็ว
สองคือ ความจริงแล้วพวกเขาไม่อยากรั้งอยู่ต่อ ฟางหลินหานหยิ่งผยองเกินไป เมื่อครู่ด่าจนพวกเขาเดือดพล่านหาใดเปรียบ หากอยู่ต่อไปคงไม่ต่างอะไรกับหาเรื่องให้ถูกด่า
ฟางหลินหานหาได้ใส่ใจเหล่าผู้ฝึกปราณที่เผ่นแน่บจากไป แต่ทอดสายตามองยังห้องที่หลินสวินอยู่
‘น่าสนใจ แคว้นวิญญาณอัคนีนอกจากเยวี่ยเจี้ยนหมิงนั่นแล้ว ในที่สุดก็ปรากฏคู่ต่อสู้ที่พอเข้าตาอีกคน…’
แววตาเขาเต็มไปด้วยประกายวาววาม ครู่ใหญ่จึงถอนสายตากลับ เผยรอยยิ้มโดยไร้สุ้มเสียงก่อนหันหลังเดินกลับเข้าห้องตน
…
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
ภายในห้องหลินสวิน เสียงแตกละเอียดดังขึ้น หนอนกินเทพขนาดเท่าเมล็ดข้าวตัวดำสนิทเก้าตัวกำลังกินอาหารอย่างปิติกระฉับกระเฉง
เพียงไม่นาน หยกควบรวมจิตระดับกลางที่เหลือแค่สองก้อนในมือหลินสวินก็ถูกเขมือบจนเกลี้ยง
‘หิว…’
หนอนกินเทพเก้าตัวเห็นชัดว่ากินไม่อิ่ม แผ่คลื่นจิตสายหนึ่งออกมา
หลินสวินพลันปวดหัว เจ้าพวกตัวน้อยนี่อย่าเห็นว่าขนาดแค่เมล็ดข้าว แต่กินเก่งยิ่ง นี่เพิ่งแค่ไม่กี่วันก็กินหยกควบรวมจิตระดับกลางหมดไปสามก้อนแล้ว
ต้องรู้ว่าหยกควบรวมจิตระดับกลางก้อนหนึ่งสะสมจิตวิญญาณสามร้อยถึงห้าดวง!
นี่ก็หมายความว่า ต้องล่าสัตว์ปีศาจพลังปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณจำนวนสามร้อยถึงห้าร้อยตัวขึ้นไป จึงจะสามารถเปลี่ยนเป็นหยกควบรวมจิตระดับกลางก้อนหนึ่ง!
แต่สำหรับหนอนกินเทพ สามารถกินหยกควบรวมจิตระดับกลางก้อนหนึ่งจนหมดในเวลาไม่นาน ซ้ำยังกินไม่อิ่ม…
นี่จะไม่ให้หลินสวินปวดหัวได้อย่างไร
วันนี้ขณะเขาเดินเล่นในนครเตโช ก็รู้สอบถามมาจนรู้ว่าการซื้อขายแลกเปลี่ยนของที่นี่แตกต่างจากโลกชั้นล่าง ผู้ฝึกปราณดินแดนรกร้างโบราณจะใช้แกนวิญญาณแทนสกุลเงิน
ผลึกวิญญาณระดับสูงสิบก้อน เท่ากับแกนวิญญาณขั้นต่ำหนึ่งก้อน
แกนวิญญาณขั้นต่ำหนึ่งร้อยก้อน เท่ากับแกนวิญญาณขั้นกลางหนึ่งก้อน
แกนวิญญาณขั้นกลางหนึ่งร้อยก้อน เท่ากับแกนวิญญาณขั้นสูงหนึ่งก้อน
และมูลค่าทางตลาด หยกควบรวมจิตระดับต่ำซึ่งสะสมจิตวิญญาณจนเต็มหนึ่งก้อน ต้องการแกนวิญญาณขั้นต่ำประมาณหนึ่งร้อยก้อน หรือก็คือเท่ากับแกนวิญญาณขั้นกลางหนึ่งก้อน
ดูไปแล้วราคาอาจไม่สูง แต่หากคำนวณเป็นผลึกวิญญาณระดับสูง หยกควบรวมจิตระดับต่ำหนึ่งก้อนจะเท่ากับผลึกวิญญาณระดับสูงหนึ่งพันก้อนเต็ม!
ผลึกวิญญาณระดับสูงหนึ่งพันก้อน เพียงพอให้หลินสวินใช้ฝึกปราณครึ่งเดือน แต่ที่ดินแดนรกร้างโบราณกลับแลกเปลี่ยนได้แค่แกนวิญญาณขั้นต่ำหนึ่งร้อยก้อน หรือแลกเปลี่ยนเป็นหยกควบรวมจิตระดับต่ำหนึ่งก้อน…
เปรียบเทียบเช่นนี้ก็รู้แล้วว่า ภายในแดนรกร้างโบราณ มูลค่าของหยกควบรวมจิตแพงและน่าทึ่งระดับใด
นี่ยังเป็นแค่มูลค่าของหยกควบรวมจิตระดับต่ำ
ส่วนหยกควบรวมจิตระดับกลางหนึ่งก้อน กลับต้องการแกนวิญญาณขั้นกลางสิบก้อนเต็ม!
นี่เท่ากับแกนวิญญาณขั้นต่ำหนึ่งพันก้อน!
เมื่อนึกถึงว่าหนอนกินเทพเก้าตัวนี้ แค่เวลาไม่กี่วันก็กินหยกควบรวมจิตระดับกลางสามก้อนจนเกลี้ยง หรือก็คือแกนวิญญาณขั้นต่ำสามพันก้อน หลินสวินล้วนหน้ามืดอยู่บ้าง
การลงทุนนี้ช่างน่าหวาดกลัวเกินไปพอดู!
‘มิน่าล่ะสมัยบรรพกาลจำนวนหนอนกินเทพถึงมีน้อยอย่างยิ่ง แค่ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับเลี้ยงพวกมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสามารถแบกรับไหว…’
หลินสวินทอดถอนใจ
เขามายังดินแดนรกร้างโบราณครานี้ ภายในเจดีย์สมบัติไร้อักษรพกผลึกวิญญาณระดับสูงจำนวนมากมาด้วย
แต่หากแลกเปลี่ยนเป็นแกนวิญญาณขั้นต่ำ เบ็ดเสร็จยังแลกเปลี่ยนได้แค่ห้าร้อยกว่าก้อน เท่ากับแกนวิญญาณขั้นกลางห้าก้อน…
ทรัพย์สินนี้ ซื้อหยกควบรวมจิตระดับกลางได้เพียงครึ่งก้อน!
ยิ่งคิดหลินสวินยิ่งกลัดกลุ้ม หนอนกินเทพที่ไหนกัน เห็นชัดว่าเป็นหนอนดูดเลือดกินคนไม่คายกระดูกฝูงหนึ่ง!
‘จำเป็นต้องเร่งหาเงิน!’
นานพอควรหลินสวินจึงกัดฟัน ทำการตัดสินใจ
ไม่เพียงแต่เลี้ยงหนอนกินเทพ จากนี้ยามฝึกปราณในดินแดนรกร้างโบราณ หากไม่มีทรัพย์สินเพียงพอจะเดินหน้าได้อย่างยากลำบาก
ที่สำคัญที่สุดคือแกนวิญญาณหาใช่แค่สกุลเงิน
มันยังเป็นวัตถุวิญญาณตามธรรมชาติอย่างหนึ่ง แฝงพลังวิญญาณบริสุทธิ์เต็มเปี่ยมยิ่งยวด เทียบกับผลึกวิญญาณระดับสูงแล้วล้ำค่ากว่ามาก คือสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งซึ่งสามารถเติมเต็มการฝึกปราณประจำวันของมหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะและระดับกระบวนแปรจุติได้โดยสมบูรณ์
…
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลินสวินตื่นจากการนั่งสมาธิและมาที่ชั้นแรกของโรงเตี๊ยม สั่งน้ำชามากาหนึ่งแล้วรินดื่ม
ในใจเขาสงสัยอยู่บ้าง คำนวณตามเวลา งานประลองใหญ่รวมสำนักซึ่งจัดขึ้นโดยสี่สำนักสามตระกูลได้ปิดฉากลงเมื่อวาน
แต่จวบจนตอนนี้ซย่าเสี่ยวฉงกลับยังไม่มาหาตน หรือจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้น
“คุณชาย ข้าน้อยหม่าสิงคง ปัจจุบันทำงานให้ตระกูลเซียวแห่งแคว้นวิญญาณอัคนี ไม่ทราบว่าคุณชายชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร”
ทันใดนั้นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งประชิดเข้ามา ใบหน้าแต้มยิ้มทักทายหลินสวิน
หลินสวินยิ้มรับ กล่าวกระชับได้ใจความ “หลินสวิน”
ยามพูดหลินสวินสังเกตได้อย่างฉับไวว่าภายในชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยมยังมีผู้ฝึกปราณนั่งอยู่ไม่น้อย สายตาต่างพินิจพิเคราะห์ตนอย่างทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ
“ที่แท้เป็นคุณชายหลิน”
หม่าสิงคงนั่งลงด้านข้างเสียเลย กล่าวพึมพำ “คุณชายหลิน ข้าไม่ขอปิดบัง ครานี้ข้ามาตามคำสั่งด้วยอยากถามท่านสักหน่อย คุณชายสนใจประลองกับฟางหลินหานหรือไม่”
หลินสวินชะงัก กล่าวว่า “ทำไมจู่ๆ ถึงมาหาข้าเล่า”
หม่าสิงคงกวาดมองโดยรอบ กล่าวเสียงแผ่วเบา “คุณชาย เรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเตี๊ยมเมื่อวานพวกเราต่างรู้กันหมดแล้ว อีกทั้งได้ยินว่าฟางหลินหานยังเชิญท่านประลองด้วยตนเอง แต่กลับถูกท่านปฏิเสธ”
หลินสวินกระจ่างในใจทันที พยักหน้ากล่าว “มีเรื่องเช่นนี้จริง”
หม่าสิงคงถือโอกาสตีเหล็กตอนร้อน “คุณชาย หากท่านสนใจต่อสู้กับฟางหลินหานครั้งหนึ่ง ไม่ว่าแพ้หรือชนะ ตระกูลเซียวของข้ายินดีมอบแกนวิญญาณขั้นต่ำหนึ่งพันก้อนเป็นของกำนัล หากท่านสามารถเอาชนะฟางหลินหาน…”
พูดถึงตรงนี้เขาชูนิ้วขึ้น “ตระกูลเซียวของข้าจะมอบหนึ่งร้อยแกนวิญญาณขั้นกลางเพื่อเป็นค่าตอบแทนแก่ท่าน!”
หลินสวินลอบตะลึง ตอนนี้เขารู้ถึงมูลค่าของแกนวิญญาณแล้ว หนึ่งร้อยแกนวิญญาณขั้นกลาง นี่เป็นค่าตอบแทนที่เฟื่องฟูยิ่งยวด!
“แน่นอน”
หม่าสิงคงเปลี่ยนประเด็นทันที ยิ้มกล่าว “ตระกูลเซียวเรามีแค่ข้อเรียกร้องเล็กๆ ข้อหนึ่ง นั่นคือหากท่านรับปากเรื่องนี้ ขอท่านประลองกับฟางหลินหานในนามตระกูลเซียวของเรา”
หลินสวินเข้าใจแล้ว ตระกูลเซียวหมายใช้ตนเป็นเครื่องมือจัดการฟางหลินหาน!
“ขอโทษด้วย ข้ายังมีธุระ โปรดอภัยที่ไม่อาจรับปาก”
หลินสวินปฏิเสธโดยตรง แม้ตอนนี้เขาขาดเงินมาก แต่ไม่อยากเป็นดาบในมือผู้อื่น
หม่าสิงคงตะลึงไป เห็นชัดว่าคิดไม่ถึงอยู่บ้างว่าหลินสวินจะปฏิเสธตรงๆ เช่นนี้
เขาอดกล่าวไม่ได้ “ไม่อย่างนั้นท่านลองใคร่ครวญอีกครั้งดีหรือไม่ หากเพราะรังเกียจที่ค่าตอบแทนน้อยไป สามารถเจรจากันต่อได้ คิดว่าคุณชายน่าจะรู้ดีว่าตระกูลเซียวของพวกเราเป็นหนึ่งใน ‘สี่สำนักสามตระกูล’ แห่งแคว้นวิญญาณอัคนี เส้นสนกลในแข็งแกร่งหาใดเปรียบ ทางด้านค่าตอบแทนไม่มีทางทำให้คุณชายผิดหวังแน่”
หลินสวินยิ้มพลางส่ายศีรษะ “หากเงินทองสามารถซื้อโอกาสแห่งชัยชนะ เกรงว่าไม่เพียงแต่พวกเจ้าตระกูลเซียว ขุมอำนาจอื่นคงต่างทำเช่นนี้แล้ว”
หม่าสิงคงเห็นดังนั้นจึงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ยืนขึ้นกล่าวลาแล้วจากไป
ทว่าที่ทำให้หลินสวินมุ่นคิ้วคือ หม่าสิงคงเพิ่งเดินจาก ฉับพลันก็มีผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งทยอยมาพูดคุยด้วยไม่ขาดสาย
พวกเขาต่างเหมือนหม่าสิงคง ล้วนเป็นตัวแทนของแต่ละขุมอำนาจในแคว้นวิญญาณอัคนี หมายจะเชิญเขาไปประลองกับฟางหลินหาน อีกทั้งล้วนยื่นเงื่อนไขยั่วยวนยิ่ง
หลินสวินไม่แม้แต่จะคิด ต่างบอกปัดทั้งหมด
“ดื่มสักจอกไหม” ทันใดนั้นเงาร่างสูงผึ่งผายหนึ่งปรากฏตัว ถือกาสุราและจอกนั่งลงตรงตำแหน่งด้านข้างหลินสวินอย่างสบายอารมณ์
เขาสวมชุดคลุมดำ ผมดำทึบหนาแผ่สยาย ริมฝีปากบางดุจปลายดาบเม้มน้อยๆ ดวงหน้าเจือกลิ่นอายบ้าระห่ำร้ายกาจเฉพาะตัว เป็นฟางหลินหานผู้สืบทอดอาศรมดาบแปดวิทูรนี่เอง
“ขอบคุณมาก” หลินสวินยกจอกดื่มรวดเดียวหมด ไม่สะทกสะท้านหรือเก้อเขินแม้แต่น้อย
นี่ทำให้ฟางหลินหานยิ้มเล็กน้อย รินสุราแก่หลินสวินอีกจอกพลางกล่าว “ดูไปแล้วเจ้าไม่มีอะไรต่างจากคนอื่น แต่ในสายตาข้า เจ้าไม่เหมือนคนอื่น เมื่อไหร่ที่สนใจสามารถมาหาข้าที่ลานประลองยุทธ์นครเตโชเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กันได้”
พูดจบเขาหยัดร่างสูงขึ้น ถือกาสุราเดินไปนอกโรงเตี๊ยม รูปร่างกำยำผึ่งผาย เดินเหินหนักแน่นผ่าเผย มีลักษณะทำตามอำเภอใจและหยิ่งผยองประการหนึ่ง
“จริงสิ มากสุดข้าจะหยุดพักอยู่ที่นี่ครึ่งเดือน” ทันใดนั้นฟางหลินหานหันกลับมา กล่าวเตือนหลินสวินหนึ่งประโยค
หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่งถือว่าตอบรับแล้ว
ฟางหลินหานยิ้ม หันกลับและเดินออกไปนอกโรงเตี๊ยม เงาร่างเลือนหายกลางฝูงชน
“ไป ไปดูกัน!”
“เจ้าหมอนี่กำเริบเสิบสานเหมือนที่ผ่านมาดังคาด จะไปวางอำนาจในลานประลองยุทธ์นครเตโชอีกแล้ว!”
ผู้ฝึกปราณส่วนหนึ่งในโรงเตี๊ยมนั่งไม่ติด ทยอยตามจากไป
จากการสนทนากับเหล่าผู้ฝึกปราณ หลินสวินจึงรู้ว่านับจากฟางหลินหานเข้าสู่นครเตโช ทุกเช้าจะมุ่งหน้าไปลานประลองยุทธ์นครเตโช ต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์แห่งแคว้นวิญญาณอัคนี กระทั่งยามสายัณห์ตะวันรอนจึงหวนกลับมา
‘ใช้การต่อสู้หล่อเลี้ยงตัว เคี่ยวกรำมหามรรคแห่งตนงั้นรึ ที่แท้เป็นพวกบ้าต่อสู้คนหนึ่ง…’
หลินสวินคล้ายขบคิด
รอต่ออีกสองสามชั่วยาม ยังคงไม่เห็นเงาร่างซย่าเสี่ยวฉงปรากฏตัว หลินสวินคิ้วขมวดมุ่น หากรอต่อไปเช่นนี้คงไม่ใช่หนทาง
เขาตัดสินใจลองไปดูด้วยตัวเอง
ทว่าขณะก้าวออกจากประตูทางเข้าโรงเตี๊ยม ก็ได้ยินเสียงร้องตกใจดังมาตามถนนสายหลัก สายตาผู้สัญจรบนถนนเกือบทั้งหมดมองไปเหนือท้องฟ้ากันทันใด
ก็เห็นกลางห้วงอากาศพลันมีเงาทมิฬผืนใหญ่ประดุจพยับเมฆ แท้จริงแล้วนั่นคือร่างสัตว์ที่ตัวใหญ่มหึมาตัวหนึ่ง ถึงขั้นบดบังแสงจากฟากฟ้า!
มันเกิดมามีหัวเป็นเจียวเก้าหัว ร่างกายมหึมาดุจสันเขาคดเคี้ยว ปกคลุมด้วยแสงทองเรืองอร่ามราวหล่อจากทองคำ
เจียวทองเก้าหัว!
นี่คือสิ่งมีชีวิตต่างสายพันธุ์อันน่าหวาดกลัวตัวหนึ่ง สมัยบรรพกาลมีชื่อเสียงเหี้ยมโหดโจษจัน
เล่าลือว่าหัวทั้งเก้าต่างครอบครองวิชาลับพรสวรรค์อย่างหนึ่ง สามารถควบคุมดินฟ้าอากาศ ทั้งสามารถเหินฟ้าดำดิน อภินิหารเหนือพิภพ พลานุภาพล้นฟ้า!
แต่ปัจจุบันเจียวทองเก้าหัวตัวหนึ่งเช่นนี้กลับเป็นแค่ยานพาหนะ เพราะบนหลังมันแบกตำหนักหลังหนึ่งซึ่งราวกับสร้างจากเหล็กเทพหยกเซียน!
ตำหนักนั้นเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ สูงประมาณร้อยจั้ง เห็นชัดว่าโอ่อ่าศักดิ์สิทธิ์หาใดเปรียบ
เวลานี้มีหนุ่มสาวรุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่งยืนตระหง่านเบื้องหน้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์ พิงรั้วมองลงมาจากเบื้องสูง พูดคุยสนุกสนาน แต่ละคนล้วนเป็นชายหล่อหญิงงาม บุคลิกลักษณะไม่ธรรมดา เสมือนดั่งเหล่าเทพเซียนกลุ่มหนึ่ง!
……………….