Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 782 เวลาก็คือแกนวิญญาณ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 782 เวลาก็คือแกนวิญญาณ
หลินสวินชะงักงัน ไม่ช้าก็มีปฏิกิริยาตอบกลับ
ที่ฟางหลินหานกล่าวถึง น่าจะเป็นผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะที่มาเยือนวันนี้ โดยใช้เจียวทองเก้าหัวเป็นพาหนะ ใช้ตำหนักอมตะสมบัติอริยะเป็นที่พัก
ทว่าตอนนั้นหลินสวินเห็นแค่หนุ่มสาวส่วนหนึ่งซึ่งดูประดุจเทพเซียน ไม่รู้ว่าในนั้นใครคือบุตรเทพคนปัจจุบันของแดนพิสุทธิ์อมตะ
อวี่หลิงคง?
เป็นชื่อที่มีเอกลักษณ์และชวนให้คนจดจำได้อย่างลึกซึ้ง
“อวี่หลิงคงนี่ร้ายกาจมากหรือ” หลินสวินถาม
ฟางหลินหานนั่งลงอีกฟากของหลินสวินอย่างสบายอารมณ์ มุมปากบางดุจปลายดาบปรากฏรัศมีโค้งสายหนึ่งพลางกล่าว “นี่น่ะเป็นผู้กล้าไร้เทียมทานมือหนึ่งแห่งแดนกาฬทักษิณ ชื่อเสียงสะเทือนโลกฟากหนึ่ง แน่นอนว่าไม่ใช่พวกธรรมดา”
ชื่อเสียงสะเทือนโลกฟากหนึ่ง!
หลินสวินรู้สึกประหลาดใจทันใด นี่ออกจะน่าทึ่งอยู่บ้าง
ในแดนฐิติประจิมเป็นที่รู้กันว่ามีเขตแคว้นหลายพัน หนึ่งแคว้นเสมือนโลกขนาดย่อมแห่งหนึ่ง
เปรียบเทียบกันแล้ว ความยิ่งใหญ่ของอาณาเขตแดนกาฬทักษิณ เกรงว่าคงไม่ด้อยไปกว่าแม้แต่น้อย
แต่อวี่หลิงคงบุตรเทพคนปัจจุบันแห่งแดนพิสุทธิ์อมตะนี่ กลับชื่อเสียงสั่นสะเทือนทั้งแดนกาฬทักษิณ แค่คิดก็รู้ว่าคนผู้นี้เจิดจรัสและไร้เทียมทานระดับใด!
“ตระกูลอวี่ เมื่อครั้งบรรพกาลก็เป็นตระกูลใหญ่มีชื่อเสียงอย่างยิ่ง สามารถผ่านกาลเวลาเปลี่ยนผันไร้สิ้นสุดและดำรงอยู่จวบจนปัจจุบัน แค่คิดก็รู้ว่ารากฐานในตระกูลนี้น่าหวาดกลัวเช่นไร”
“และอวี่หลิงคงก็มาจากตระกูลอวี่ ทั้งเป็นทายาทสายตรง บรรพบุรุษเขาเป็นอริยะที่แท้จริงผู้หนึ่ง!”
ฟางหลินหานกล่าวทอดถอนใจอย่างยากพบเห็น “เดิมทียามอวี่หลิงคงเกิดก็มีพรสวรรค์เป็นเลิศติดตัวมาแล้ว ค่อนข้างลึกลับและสะเทือนใต้หล้าทีเดียว และหลังจากกราบอาจารย์เข้าสู่แดนพิสุทธิ์อมตะ ยิ่งเผยพลังแฝงและศักยภาพที่สามารถสะเทือนอดีตสาดส่องปัจจุบันออกมา”
“กระทั่งจนตอนนี้ เขาไม่เพียงเป็นบุตรเทพคนปัจจุบันของแดนพิสุทธิ์อมตะ ยังเป็นยอดบุคคลในหมู่ผู้กล้ารุ่นเยาว์แห่งแดนกาฬทักษิณ พอฟัดพอเหวี่ยงกับจี้ซิงเหยาธิดาเทพคนปัจจุบันของเรือนกระบี่เร้นปุจฉาแห่งแดนฐิติประจิมของพวกเรา!”
กล่าวถึงตรงนี้นัยน์ตาฟางหลินหานฉายประกายเจิดจรัส “บุคคลเช่นนี้จึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าแห่งยุคที่แท้จริง ประดุจสุริยันแรกปรากฏ เปล่งประกายโดดเด่นเหนือโลกหล้า ต่อให้กวาดตามองทั่วดินแดนรกร้างโบราณ บุคคลแห่งยุคเช่นนี้ก็มีแค่หนึ่งหยิบมือเท่านั้น”
หลินสวินเลิกคิ้ว ในใจออกจะตกใจอยู่บ้าง
ฟางหลินหานนับเป็นบุคคลชวนตกตะลึงรุ่นเยาว์ผู้หนึ่ง แต่เขากลับชื่นชมอวี่หลิงคงแห่งแดนพิสุทธิ์อมตะไม่หยุดปาก ไม่ตระหนี่วาจาสวยหรู จากจุดนี้ก็มองออกว่าฐานะของอวี่หลิงคงนั่นเด่นผงาดระดับใด
ฟางหลินหานพลันกล่าวเปลี่ยนประเด็น “แน่นอนว่าดินแดนรกร้างโบราณนี่กว้างใหญ่ไพศาล ใครต่างไม่อาจยืนยันว่ามีผู้กล้าที่น่าตกตะลึงอีกเท่าไหร่กันแน่ แต่ที่สามารถยืนยันได้คือ อย่างน้อยที่สุดบนโลกปัจจุบัน ในบรรดาผู้กล้าแห่งยุคที่ผู้คนต่างรู้จักต้องมีอวี่หลิงคงด้วยแน่”
หลินสวินเห็นด้วยกับจุดนี้อย่างสุดซึ้ง อย่างเช่นเซ่าเฮ่าแห่งเผ่าราชันเร้นดาราที่เขาพบบนยอดเขาดาราโรย ณ ภูเขาโคม่วงเมื่อหลายวันก่อน ต้องเป็นพวกฝีมือล้ำเลิศปลีกวิเวกทางโลกผู้หนึ่ง
แต่บนโลกนี้นอกจากตนแล้ว ปัจจุบันแทบไม่มีคนรู้ถึงการมีอยู่ของเขา นี่ก็คือเบื้องลึกเบื้องหลังในดินแดนรกร้างโบราณ
ใครต่างไม่กล้าพูดเพ้อเจ้อว่าบนโลกนี้มีอัจฉริยบุคคลพลิกฟ้า แต่ปัจจุบันกลับจำศีลเงียบๆ อยู่เท่าไหร่กันแน่
แต่มีจุดหนึ่งที่สามารถยืนยัน นั่นก็คือหลังจากมหาสงครามมาเยือน ดินแดนรกร้างโบราณนี้ต้องมีเหล่าผู้พลิกฟ้าปรากฏตัวขึ้นบนโลกมากขึ้นเรื่อยๆ แน่!
“จี้ซิงเหยาธิดาเทพคนปัจจุบันของเรือนกระบี่เร้นปุจฉานั่น เทียบกับอวี่หลิงคงแล้วเป็นอย่างไร”
หลินสวินอดถามไม่ได้
ใช่ว่าเขาสอดรู้สอดเห็น แต่เขารู้ดีว่าหากตนต้องการเด่นผงาดท่ามกลางมหาสงคราม ก้าวสู่มรรคา ‘ขอบเขตมกุฎราชัน’ ในตำนาน ก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงการปะทะกับคู่ต่อสู้อย่างอวี่หลิงคงหรือจี้ซิงเหยา!
ฟางหลินหานกล่าวขรึมเคร่ง “ผู้หญิงคนนี้ลึกลับน่าดู จนตอนนี้ก็ไม่เคยมีใครรู้ว่าพลังปราณของนางลึกซึ้งถึงระดับใด ทว่าไม่เพียงแต่ข้า ผู้ฝึกปราณมากมายแห่งแดนฐิติประจิมต่างสันนิษฐานว่า ความแข็งแกร่งแห่งรากฐานและพลานุภาพในพลังของผู้หญิงคนนี้ต้องไม่ด้อยไปกว่าอวี่หลิงคงนั่นแน่!”
กล่าวถึงตรงนี้เขาเผยรอยยิ้มเยาะอย่างอดไม่อยู่ “รู้ไหม ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่แห่งแดนฐิติประจิมตอนนี้ต่างคิดว่า จี้ซิงเหยามีคุณสมบัติเพียงพอกลายเป็นผู้นำรุ่นเยาว์แห่งแดนฐิติประจิม บางทีนี่อาจเป็นการสรรเสริญยกยออย่างหนึ่ง แต่ก็เป็นข้อพิสูจน์โดยไม่ต้องสงสัยว่าจี้ซิงเหยาไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง”
หลินสวินพยักหน้า ในใจกลับทอดถอนใจ เบื้องลึกเบื้องหลังของดินแดนรกร้างโบราณช่างวิปริตเกินไปแล้ว พยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน แหล่งชุมนุมผู้กล้า ยิ่งรู้จักก็ยิ่งชวนประหวั่น
ไม่แปลกที่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันแห่งจักรวรรดิจื่อเย่าเคยกล่าวว่า ดินแดนรกร้างโบราณคือเวทีของผู้กล้ารุ่นเยาว์ มีเพียงบุคคลไร้เทียมทานที่แท้จริงจึงจะสามารถนำพากระแสโลกา โดดเด่นเป็นสง่า!
“จริงสิ อวี่หลิงคงปรากฏตัวในแดนฐิติประจิมครั้งนี้ เกรงว่าคงไปเรือนกระบี่เร้นปุจฉาเยี่ยมเยียนจี้ซิงเหยา หากเป็นเช่นนั้นจริง เทศกาลโคมกถามรรคครึ่งปีหลังจากนี้ อวี่หลิงคงอาจปรากฏตัวพร้อมจี้ซิงเหยา เวลานั้นเกรงว่าคงมีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว…”
ฟางหลินหานพลันกล่าว นัยน์ตาแฝงความหวังวูบหนึ่ง
หลินสวินชะงักงัน จากนั้นจึงกล่าวอย่างประหลาดใจ “เจ้าก็จะเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคหรือ”
ฟางหลินหานถามกลับ “เจ้าไม่ไปรึ”
หลินสวินคิดไปคิดมา ก่อนส่ายศีรษะกล่าว “หากเป็นไปได้ ข้ายินดีไปดูความสง่างามของเทศกาลโคมกถามรรคยิ่ง แต่ถึงตอนนั้นจะมีเวลาเข้าร่วมหรือไม่กลับไม่อาจแน่ใจ”
ฟางหลินหานยิ้ม หยัดร่างสูงขึ้นพลางกล่าว “ระยะเวลาก่อนเริ่มเทศกาลโคมกถามรรคยังมีอีกมาก เจ้าแค่อย่าลืมว่า ข้ายังรอเจ้ามาประลองกับข้าสักตั้งก็พอ”
กล่าวจบเขาหันหลังกลับเดินไปห้องตนเอง
หลินสวินจนปัญญาไปพักหนึ่ง เจ้าหมอนี่ทำไมยังยึดติดอยากสู้กับตนนัก ช่างเป็นพวกบ้าต่อสู้จริง
“เจ้าหมอนี่เป็นใคร หล่อชะมัด เทียบกับศิษย์พี่เยวี่ยเจี้ยนหมิงแล้วไม่ด้อยไปกว่าแม้แต่น้อย” ซย่าเสี่ยวฉงทำหน้าหลงใหล ดวงตาโตใสสะอาดเป็นประกายดาราวิบวับ
ก่อนหน้านี้ยามหลินสวินสนทนากับฟางหลินหาน สายตานางก็จับจ้องฟางหลินหานตลอด เห็นได้ว่าบ้าผู้ชายยิ่ง ท่าทางราวหลงใหลได้ปลื้ม
ตอนนี้ถึงกับยกย่องชื่นชมฟางหลินหานต่อหน้าหลินสวิน โดยเฉพาะยังเจาะจงอธิบายเป็นพิเศษว่าสูสีกับเยวี่ยเจี้ยนหมิง นี่ทำให้หลินสวินแทบอยากจะซัดนางหนูนี่สักตั้ง
หมายความว่าอย่างไร
ก่อนหน้าบอกว่าข้าสู้เยวี่ยเจี้ยนหมิงไม่ได้ ตอนนี้ยังพูดว่าฟางหลินหานไม่ด้อยไปกว่าเยวี่ยเจี้ยนหมิง นี่ไม่ได้หมายความว่าข้าสู้ฟางหลินหานไม่ได้ด้วยหรอกรึ
หลินสวินสีหน้าไม่เป็นมิตร แค่นเสียงก่อนยกขาก้าวออกนอกโรงเตี๊ยม
“พี่หลินสวิน ท่านจะไปไหน”
ซย่าเสี่ยวฉงกุลีกุจอตามมา
“ไปแก้เซ็ง!”
หลินสวินกล่าวไม่สบอารมณ์
“ข้าไปด้วย”
ซย่าเสี่ยวฉงส่งเสียงโห่ร้องยินดี
‘นางหนูนี่ช่าง… ตาไร้แวว!’
หลินสวินพลันถอนหายใจ ตนอัดอั้นจนเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ใส่ใจความรู้สึกตนหน่อยเถอะ แต่นางกลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ยังโห่ร้องยินดีเช่นนี้ ช่างหมดคำจะพูดจริงๆ
…
แน่นอนว่าหลินสวินไม่ได้ไปแก้เซ็ง วันนี้เขาชนะบนลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินติดกันยี่สิบเก้าสนาม รวมแล้วได้มาห้าพันสองร้อยยี่สิบแกนวิญญาณขั้นต่ำ
แลกเปลี่ยนเป็นแกนวิญญาณขั้นกลาง สามารถแลกได้ประมาณห้าสิบสองก้อน!
สำหรับผู้ฝึกปราณคนใดคนหนึ่ง นี่นับว่าเป็นรางวัลอันเหลือเฟือยิ่งยวด
แต่สำหรับหลินสวิน…
กลับเห็นได้ว่าห่างไกลจากคำว่าพอ!
เมื่อเขาเดินออกมาจากร้านค้าขนาดค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่ง แกนวิญญาณที่หามาได้วันนี้ ได้เปลี่ยนเป็นหยกควบรวมจิตระดับกลางบางตาห้าก้อน เหลือแค่แกนวิญญาณขั้นกลางสองก้อนและแกนวิญญาณขั้นต่ำยี่สิบก้อน…
หยกควบรวมจิตระดับกลางห้าก้อน เกรงว่าไม่ถึงชั่วเวลาหนึ่งก็ถูกหนอนกินเทพเขมือบกร๊วบๆจนเกลี้ยง!
นี่ทำให้หลินสวินพลันทอดถอนใจอีกครา ไม่ดูแลบ้านไม่รู้ว่าข้าวของเครื่องใช้แพง คำโบราณไม่เคยหลอกลวง!
หนอนกินเทพขนาดเท่าเมล็ดข้าวกลุ่มหนึ่งบีบจนตนยากแค้นเช่นนี้ หากไม่มีทรัพย์สินแล้ว จากนี้จะให้เขาอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณอย่างไร
‘หาเงิน!’
หลินสวินแอบกัดฟัดกรอด กำหมัดแน่นตัดสินใจเด็ดขาด พรุ่งนี้จะไปลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินอีกครั้ง ‘หาเงินก้อน’ ให้หนัก!
มีแรงกดดันจึงมีแรงขับ ทุกสิ่งล้วนถูกเค้นออกมา อย่างน้อยที่สุดตอนนี้หลินสวินก็รู้สึกว่าใจต่อสู้ของตนสูงส่งขึ้นเป็นพิเศษ
หากถูกเหล่าผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิจื่อเย่ารู้เข้า ว่าหลินสวินที่ ‘อำนาจทั่วนครหลวง’ ในใจพวกเขา บัดนี้กลับตกต่ำถึงขั้นกลัดกลุ้มเรื่องทรัพย์สิน ถูกบีบจนไม่อาจไม่ขึ้นสังเวียนประลองหาเงิน ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร
…
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ฟ้ายังไม่สางหลินสวินก็ออกเดินทาง
เขาต้องทำเวลาหาเงิน เวลาก็คือแกนวิญญาณ เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์คือสูญเสียแกนวิญญาณอันยั่วยวนเจิดจรัสมากมาย!
“พี่หลินสวิน วันนี้ท่านดูแปลกพิกล”
ซย่าเสี่ยวฉงสงสัยอยู่บ้าง นางรู้สึกว่าหลินสวินเหมือนหมาป่าหิวโหยหมายมุ่งล่าอาหารตัวหนึ่ง ดวงตาน่ากลัว
“งั้นหรือ”
หลินสวินกระฉับกระเฉง ใจต่อสู้ฮึกเหิม ปากกลับกล่าวทอดถอนใจ “ช่วยไม่ได้ ล้วนถูกบีบบังคับ อืม ถูกบีบบังคับ…”
เมื่อมาถึงหน้าลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน สายตาหลินสวินถูกธงสีฉูดฉาดที่แขวนใหม่มากมายดึงดูดอย่างรวดเร็ว บนนั้นเขียนอักษรพาให้โลหิตพลุ่งพล่าน…
‘เด็กหนุ่มปริศนาทะยานฟ้าปรากฏตัว ดุจม้ามืดขึ้นสังเวียนอย่างกร้าวแกร่ง ชนะการประลองติดกันยี่สิบเก้าสนาม สั่นสะเทือนสายตาเหล่าผู้ชม!’
‘เด็กหนุ่มปริศนาคือใคร เขาจะสามารถทำลายสถิติที่เฉิงลี่เสวี่ยสร้างไว้ได้หรือไม่ เหล่าสหาย หากอยากรู้รายละเอียดรีบมาลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินเถิด อย่าพลาดเรื่องยอดเยี่ยม!’
“เด็กหนุ่มปริศนา? ฮ่าๆๆ พี่หลินสวิน พวกเขาตั้งฉายาให้ท่านได้เห่ยจริง” ซย่าเสี่ยวฉงเปรมปรีดิ์ อดหัวเราะไม่ได้ ดูสดใสหาใดเปรียบ
หลินสวินกลับมุมปากกระตุก ไม่คาดคิดโดยสิ้นเชิง นึกไม่ถึงว่าตนจะกลายเป็นจุดขาย กลายเป็นช่องทางใช้ดึงดูดลูกค้าของลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน
‘ได้รับความยินยอมจากข้าแล้วหรือ เอาข้ามาเชิญชวนเรียกแขก เถ้าแก่ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินนี่เจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว!’ หลินสวินแอบด่าในใจ
ทว่าเพื่อการหาเงินอันยิ่งใหญ่ของตน หลินสวินตัดสินใจอดกลั้น ไม่คิดเล็กคิดน้อยชั่วคราว
ถึงขั้นที่เขายังเกิดความคิดหนึ่ง
หากจุดขายนี้สามารถดึงดูดคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าบางส่วนมา เช่นนั้นก็เป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง สามารถทำให้ตนเคี่ยวกรำพลังยุทธ์มากขึ้น
ถึงอย่างไรคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอเกินไปก็เหมือนซี่โครงไก่ พาให้คนเบื่อหน่ายเกินไป
“คุณชาย ท่านมาเร็วขนาดนี้เลยหรือขอรับ”
ประตูทางเข้าลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน เด็กรับใช้นามว่าต่งปาหน้าตาประหลาดใจ วิ่งเหยาะๆ เข้ามาต้อนรับ ใบหน้ายิ้มแย้มราวดอกทานตะวันผลิบาน
“อย่าพูดมาก อย่าถ่วงเวลา จริงสิ เตรียมแกนวิญญาณที่มากพอให้ข้าด้วย!”
หลินสวินไม่อยากปล่อยเวลาให้ล่าช้า เวลาน่ะคือแกนวิญญาณ! เขากำชับอย่างดุดันก่อนก้าวเข้าไป ใจต่อสู้ฮึกเหิม เลือดในร่างประดุจเปลวเพลิงโหมกระหน่ำ
เด็กรับใช้ต่งปาตกตะลึงอ้าปากค้าง กล่าวพึมพำ “คุณชายคนนี้ ทำไมวันนี้เหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคน? ได้รับแรงกระตุ้นอะไรมาหรือ”
………………