Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 783 เด็กหนุ่มที่แกร่งและคงทนดุจสนเขียว
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 783 เด็กหนุ่มที่แกร่งและคงทนดุจสนเขียว
ตูม!
ยังคงเป็นสังเวียนหมายเลขสิบเก้า การต่อสู้เพิ่งเริ่มต้น ผู้แข่งขันคนหนึ่งซึ่งประลองกับหลินสวินถูกซัดลอยละลิ่วออกสังเวียน ทั่วร่างชักกระตุกแทบลุกไม่ขึ้น ยอมแพ้โดยทันที
เนื่องเพราะหลินสวินต้องการใช้เวลาให้คุ้มค่า จึงไม่ออมมือดังเช่นเมื่อวานอีก ใช้พลังยุทธ์ที่แท้จริง
อย่างผู้แข่งขันคนนี้ก็ถูกประทับปี้อั้นซัดกระเด็นในกระบวนท่าเดียว
“คนต่อไป”
หลินสวินกล่าวตรงไปตรงมา ไม่พูดไร้สาระแม้แต่น้อย และไม่คิดพักผ่อนฟื้นฟู
ขณะเดียวกันในใจเขาคิดถึงตัวเลขหนึ่งเงียบๆ ‘หนึ่ง ยี่สิบ สามพันหก’
หนึ่ง หมายถึงหนึ่งชั่วยาม
ยี่สิบ คือจำนวนคู่ต่อสู้ที่พ่ายแพ้ และสามารถเข้าใจได้ว่าหมายถึงยี่สิบสนามที่ชนะติดกัน
สามพันหก ก็คือจำนวนแกนวิญญาณขั้นต่ำที่ได้รับเป็นรางวัล
หรือกล่าวได้ว่า ภายในเวลาหนึ่งชั่วยามที่ขึ้นสังเวียนประลอง หลินสวินชนะติดกันยี่สิบสนาม เอาชนะคู่ต่อสู้ยี่สิบคน สะสมรางวัลได้สามพันหกร้อยแกนวิญญาณขั้นต่ำ!
บนอัฒจันทร์ ผู้ฝึกปราณทั้งหมดต่างนิ่งอึ้งตะลึงงัน
แรกเริ่มเดิมที พวกเขาหอบความสงสัยใหญ่หลวงมาดูหลินสวินผู้ถูกเรียกว่า ‘เด็กหนุ่มปริศนา’ ว่าเป็นม้ามืดอย่างไรกันแน่ เหมือนดังคำโอ้อวดที่ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินพรรณนาไว้หรือไม่
แต่การเอาชนะคู่ต่อสู้แต่ละคนราวเด็ดหญ้าหักไม้ผุของหลินสวินทำเอาพวกเขาไหวหวั่นอย่างสิ้นเชิง จิตใจสั่นสะท้าน ส่งเสียงอึกทึกพลุ่งพล่านไม่หยุด
การโจมตีเดียว!
ตั้งแต่เริ่มต่อสู้จนถึงตอนนี้ ผู้แข็งแกร่งซึ่งขึ้นมาประลองบนสังเวียนกับ ‘เด็กหนุ่มปริศนา’ นั่น ไม่มีสักคนสามารถต้านทานการโจมตีเดียวของเขา!
ท่าทางกร้าวแกร่งผงาดผยองนั่นเสมือนดั่งเทพเซียน
กระทั่งตอนนี้เสียงฮือฮาและเสียงอุทานบนอัฒจันทร์เงียบสงัด เพราะต่างถูกสั่นสะเทือนจนบื้อใบ้ ตกอยู่ในความอึ้งงัน
การต่อสู้เช่นนี้แม้ชวนตื่นตระหนก แต่จำนวนครั้งยิ่งมากกลับเห็นได้ว่าน่าเบื่ออยู่บ้าง ล้วนถูกกระบวนท่าเดียวตีพ่าย ตื่นตระหนกก็ส่วนตื่นตระหนก ทว่าไม่อาจพูดถึงความมีสีสันแต่อย่างใด
เพียงแต่เมื่อเทียบกันแล้ว ผู้ดูแลลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินกลับดีอกดีใจยิ่ง เสมือนขุดพบอัญมณีเลอค่าไร้เทียมทาน ทยอยส่งข้ารับใช้มากมายออกไปส่งข่าวยังโลกภายนอกอย่างต่อเนื่อง ทำการป่าวร้องชวนเชื่อแบบวางระเบิด
“เด็กหนุ่มปริศนาเปิดตัวอย่างกร้าวแกร่งอีกครา กรำศึกจนตอนนี้ไร้ศัตรูต่อกร!”
“เด็กหนุ่มปริศนากับเฉิงลี่เสวี่ยใครแข็งแกร่งใครอ่อนแอกันแน่ วันนี้จะเผยคำตอบ!”
“มีใครไม่พอใจหรือ เช่นนั้นก็มาลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินสิ เด็กหนุ่มปริศนาต้องการเพียงความพ่ายแพ้สักครา!”
การป่าวประกาศชวนเชื่อเจือปลุกระดมเด่นชัดสารพัดรูปแบบแพร่กระจายทั่วนครเตโชวันนี้ ถล่มผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าอย่างบ้าคลั่ง
ชั่วขณะเดียวก็ก่อให้เกิดความครึกโครมและปฏิกิริยาตอบกลับใหญ่หลวง ผู้ฝึกปราณมากมายล้วนถูกดึงดูด พากันมุ่งหน้ามาลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน
มีคนอยากรู้อยากเห็น ว่าเด็กหนุ่มปริศนาซึ่งถูกลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินคุยโวจนเหนือธรรมชาติคนนั้น ความสามารถเป็นจริงดังคำโอ้อวดหรือไม่
และมีคนโมโห เห็นว่าลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินบังอาจเหลือเกิน เพื่อป่าวประกาศชวนเชื่อถึงกับใช้คำว่า ‘ต้องการเพียงความพ่ายแพ้สักครา’ นี่คิดประกาศศึกกับผู้แข็งแกร่งทั่วนครเตโชหรือ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เป้าหมายของลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินก็สำเร็จแล้ว ผู้ฝึกปราณที่มาดูดุจดั่งน้ำหลากสาดซัด แต่ละคนล้วนต้องจ่ายค่าผ่านประตูก้อนหนึ่ง นี่ก็หมายความว่าวันนี้พวกเขาหาเงินได้เต็มกระบุงโกยแน่!
ผู้ดูแลลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินยิ้มจนหน้าบาน สายตาที่มองหลินสวินราวมองดูสมบัติล้ำค่าสุดที่รัก
เขากำลังวางแผนภายในใจ ควรทำอย่างไรจึงจะสามารถรั้งม้ามืดผู้นี้ไว้ได้ สร้างเป็นป้ายป่าวประกาศอันใหม่ดึงดูดผู้แข็งแกร่งให้มากขึ้น
ทว่าไม่ทันไรอารมณ์เขาก็แย่ลง คิ้วขมวดอยู่บ้าง กล่าวพึมพำ “ยุ่งแล้ว…”
ในสังเวียน หลินสวินชนะติดกันสามสิบเก้ายก ผู้ฝึกปราณบนอัฒจันทร์ต่างส่งเสียงโหวกเหวก หมายให้เฉิงลี่เสวี่ยปรากฏตัวตัดสินแพ้ชนะกับหลินสวิน
“แม่งเอ๊ย เฉิงลี่เสวี่ยทำไมยังไม่โผล่มาอีก หรือว่าเขาจะกลัว”
“คู่ต่อสู้อ่อนแอเกินไปแล้ว การประลองเช่นนี้ดำเนินต่อไปยังมีอะไรน่าดู พวกเจ้าลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินเลือกผู้แข็งแกร่งที่ต่อยตีเป็นมาหน่อยไม่ได้รึ”
“เฮ้อ แม้ข้าจะรู้ว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ไม่ได้เรื่อง เป็นพลังต่อสู้ของเด็กหนุ่มปริศนานั่นดุดันป่าเถื่อนเกินไป แต่… การประลองที่กระบวนท่าเดียวตัดสินแพ้ชนะเช่นนี้มันน่าเบื่อซะจริง”
เสียงบ่นจุกจิก เสียงตำหนิต่อว่า เสียงด่าไม่พอใจเริ่มดังขึ้น และยิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ มีสัญญาณว่าจะควบคุมไม่อยู่
ผู้ดูแลลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินหน้าพลันเปลี่ยนสี แม้ในคำชวนเชื่อบอกว่าวันนี้จะให้หลินสวินและเฉิงลี่เสวี่ยตัดสินแพ้ชนะ แต่เขาไหนเลยจะทำเช่นนี้ได้จริง
ต้องรู้ว่าก่อนหลินสวินปรากฏตัว เฉิงลี่เสวี่ยเป็นตัวเรียกแขกอันเด่นดังที่ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินสร้างขึ้นมา!
เพราะมีเฉิงลี่เสวี่ยอยู่จึงทำให้พวกเขามีจุดขายมาป่าวร้องชวนเชื่อ ดึงดูดผู้ฝึกปราณมาต่อเนื่องไม่ขาดสาย
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าเฉิงลี่เสวี่ยแพ้หรือหลินสวินพ่าย สำหรับพวกเขาลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินก็ไม่ต่างอะไรกับการทำลายป้ายประกาศชวนเชื่อทองคำ
ทำอย่างไรดี
ผู้ดูแลลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินอึ้งงัน เขาสนใจแค่การป่าวประกาศชวนเชื่อและหาเงิน ไหนเลยจะคิดถึงผลลัพท์เลวร้ายที่ตามมาเช่นนี้
ในลานประลองฝูงชนล้วนโมโหเกรี้ยวกราด ต่างแสดงออกถึงความไม่พอใจ เอะอะโวยวายหมายให้เฉิงลี่เสวี่ยขึ้นสังเวียน
หลินสวินก็ไม่พอใจกับสิ่งนี้มาก เพราะเขากำลังพยายามเก็บแกนวิญญาณ แต่บัดนี้กลับได้รับผลกระทบ ไม่มีผู้แข่งขันยอมขึ้นสังเวียนเลย!
ต่างเอะอะโวยวายให้เฉิงลี่เสวี่ยมาประลองกับตน นี่ทำให้หลินสวินรู้สึกเสียเวลาและเสียแกนวิญญาณโดยเปล่าประโยชน์!
ขณะเดียวกันหลินสวินก็สงสัยอยู่บ้าง เสียงเรียกหาเฉิงลี่เสวี่ยนั่นดังขนาดนี้ ต้องเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งแน่ หากสามารถประลองกับคู่ต่อสู้เช่นนี้ หลินสวินก็อยากให้มันกลายเป็นจริงเช่นกัน
ว่ากันตามตรง ตั้งแต่ต่อสู้จนถึงตอนนี้เขาล้วนไม่ทันได้เคี่ยวกรำวิชายุทธ์ คู่แข่งก็ล้มคว่ำคนเล่าคนเล่า นี่ทำให้ตัวเขารู้สึกเบื่ออยู่บ้าง
‘บนโลกนี้แม้มีผู้กล้ามากมาย แต่เทียบกันแล้วส่วนมากกลับเป็นพวกคุณสมบัติธรรมดา…’
หลินสวินเข้าใจแจ่มแจ้ง เทียบกับสิ่งมีชีวิตมากมายในแดนรกร้างโบราณ ผู้กล้าที่โชติช่วงเจิดจรัสศักยภาพโดดเด่นอย่างแท้จริงท้ายที่สุดก็มีจำนวนน้อย ซ้ำยังกระจายอยู่ต่างพื้นที่ในใต้หล้า
คิดอยากเจอคนร้ายกาจโดดเด่นยิ่งยวดในนครเตโช ที่สุดแล้วก็อาจเป็นไปไม่ได้
นี่ไม่ใช่ว่าชนรุ่นเยาว์นครเตโชไร้ยอดฝีมือชั้นเลิศ แต่เป็นหลินสวินที่ในระดับหยั่งสัจจะตอนนี้เรียกได้ว่าไร้ผู้เทียบเทียม สามารถข้ามระดับไปต่อสู้กับมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติโดยสมบูรณ์!
แต่หลินสวินดันเลือกสังเวียนประลองระดับเดียวกัน นี่ก็หมายความว่าผู้ที่สามารถขึ้นสังเวียนต่อสู้กับเขาล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะทั้งสิ้น
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่ายิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาว หลินสวินทอดถอนใจที่หาคู่ต่อสู้ได้ยาก เขาพลันเข้าใจความรู้สึกที่ฟางหลินหานหมายประลองกับตน
แน่นอนว่าไม่ใช่การดูถูกผู้แข็งแกร่งทั้งใต้หล้า เพียงแต่เป็นการทอดถอนใจอย่างหนึ่งภายใต้ความกลัดกลุ้มของหลินสวิน
มุมลับตาคนแห่งหนึ่ง ณ ที่นั้น ชายหนุ่มชุดเขียวคนหนึ่งสีหน้านิ่งสงบยิ่ง มีเพียงนัยน์ตาที่เจือความมุ่งหวังวูบหนึ่ง จับจ้องหลินสวินซึ่งอยู่บนสังเวียนหมายเลขสิบเก้าที่ห่างออกไป
“ข้าอยากไปประลอง”
ชายหนุ่มชุดเขียวร่างผอมบางหน้าตาธรรมดา กลับมีบุคลิกแข็งแกร่งและคงทนดุจสนเขียวอย่างหนึ่ง
“ไม่ได้ ทันทีที่แพ้จะทำลายชื่อเสียงเจ้า ทั้งยังจู่โจมสภาวะจิตอันเด่นผงาดของเจ้า ถึงอย่างไรเจ้าก็ยังไม่เคยขุดค้นพลังแฝงอย่างสมบูรณ์ กำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงและเติบโต”
“ตรงกันข้าม เด็กหนุ่มนั่นฮึกเหิมเต็มเปี่ยม คมกริบไม่อาจต้าน มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งยิ่งยวด หาใช่พวกอัจฉริยะทั่วๆ ไปแน่”
“ดังนั้นเวลานี้เจ้าไม่เหมาะไปร่วมประลอง”
ด้านข้าง ผู้อาวุโสชุดคลุมนิลคนหนึ่งเกลี้ยกล่อมเสียงอบอุ่น
เขาคือผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักกระบี่สนขจีนามเลี่ยวเจิน เขามีสายตาแหลมคม เล็งเห็นพลังแฝงอันน่าทึ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวเฉิงลี่เสวี่ย จึงทำลายกฎเกณฑ์รับเขาเป็นผู้สืบทอดสำนักกระบี่สนขจี
“แต่ว่า… หากไม่ไปประลอง สภาพจิตใจของข้ากลับจะมีพันธนาการและอึดอัด จากนี้ต่อให้บำเพ็ญเพียรก็ยากตั้งปณิธาน ไม่อาจประสบผลสำเร็จยิ่งใหญ่อะไร”
เฉิงลี่เสวี่ยสูดหายใจลึก กล่าวแน่วแน่จริงจัง “การต่อสู้แห่งมหาสงคราม สิ่งที่สู้ก็คือใจที่กล้าหาญมองไปเบื้องหน้า ไร้หวาดหวั่น หากไร้ซึ่งสภาวะจิตเช่นนี้ ต่อไปข้าจะเอาอะไรมาก้าวสู่ยอดมรรคาเล่า”
“อาจารย์ อภัยที่ศิษย์ยากทำตามคำสั่ง!”
พูดจบเขาหาได้ลังเลอีก ก้าวเดินไปยังสังเวียนหมายเลขสิบเก้าที่ห่างออกไป สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่นในทุกย่างก้าว
เลี่ยวเจินอึ้งไป จากนั้นสีหน้าพลันซับซ้อน สุดท้ายจึงเผยความรู้สึกพอใจสายหนึ่ง “ลูกนกอินทรีท้ายที่สุดต้องเคี่ยวกรำผ่านลมฝนจึงจะบินได้ไกล อาศัยสภาวะจิตเช่นนี้ อนาคตอันผงาดง้ำของเด็กคนนี้ต้องไม่อาจขวางกั้นแน่!”
…
เฉิงลี่เสวี่ยในชุดคลุมเขียวขึ้นสังเวียนหมายเลขสิบเก้า ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาและโห่ร้องยินดีทั่วบริเวณ ผู้ฝึกปราณทั้งหมดต่างตื่นเต้นดีใจหาใดเปรียบ
ก่อนหน้านี้การประลองที่เกิดขึ้นบนสังเวียนหมายเลขสิบเก้าน่าเบื่อเกินไป เรียบง่ายและหยาบกระด้าง ถึงแม้สะเทือนใจผู้คนยิ่งยวด แต่กลับไม่น่าหลงใหลและน่าจดจ่อ
ทว่าตอนนี้กลับแตกต่าง เพราะเฉิงลี่เสวี่ยมาแล้ว!
เทียบกับหลินสวิน เฉิงลี่เสวี่ยถูกผู้ฝึกปราณจับตามองกว่าโดยไม่ต้องสงสัย แทบทุกคนต่างรู้ดี ว่าเด็กหนุ่มคนนี้แต่ก่อนเป็นแค่คนตัวเล็กๆ ที่ไร้ชื่อเสียงในเมืองห่างไกลคนหนึ่ง
แต่หลังจากเข้าสู่นครเตโชก็สำแดงพลังน่าอัศจรรย์ ประดุจมัจฉากระโดดข้ามประตูมังกร ถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก กลายเป็นเด็กหนุ่มอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงเลื่องลือคนหนึ่ง
นี่ไม่ใช่ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินปั้นแต่งออกมา แต่เป็นความสามารถโดยแท้จริง ถึงได้ทำให้เฉิงลี่เสวี่ยมีชื่อเสียงอย่างทุกวันนี้
“เย้ ในที่สุดก็มียอดฝีมือมาแล้ว!”
ซย่าเสี่ยวฉงโห่ร้องยินดี ก่อนหน้านี้นางรู้สึกเบื่อหน่ายไร้รสชาติ ในใจรู้สึกเหงาแทนหลินสวินแล้ว การปรากฏตัวของเฉิงลี่เสวี่ยจึงทำให้นางรู้สึกถึงความน่าสนใจจนได้
“พี่ชายคนนั้นพยายามเข้านะ เอาชนะเขาให้ได้!” ซย่าเสี่ยวฉงกล่าวพูดเสียงกังวาน
หลินสวินมุมปากกระตุกขึ้นอีกคราอย่างอดไม่อยู่ หลังพบซย่าเสี่ยวฉง เขาก็พบว่าจำนวนครั้งที่มุมปากเขากระตุกเปลี่ยนเป็นไม่ว่างเว้นอย่างเด่นชัด…
แต่จากนั้นหลินสวินก็เอาความสนใจไปไว้ที่เฉิงลี่เสวี่ยซึ่งอยู่บนพื้น
นี่คือเด็กหนุ่มที่ธรรมดาสามัญคนหนึ่ง แต่กลับมีบุคลิกคงทนหนักแน่น มั่นคงดุจหินผา กร้าวแกร่งราวสนเขียว
แค่เพียงบุคลิกก็ทำให้หลินสวินรู้ว่า เฉิงลี่เสวี่ยต้องเป็นคนที่มีสภาวะจิตและเจตจำนงแข็งแกร่งยิ่งยวดคนหนึ่ง
คนประเภทนี้ต่อให้ปัจจุบันยังไม่โดดเด่นขึ้นมาอย่างแท้จริง แต่ไม่ช้าก็เร็วต้องมีวันที่สร้างความแตกตื่นให้ทุกผู้คน แค่กางปีกก็บินทะยานเหนือฟากฟ้าอย่างไม่ผิดจากที่คาดแน่!
“เฉิงลี่เสวี่ย ขอสหายยุทธ์ชี้แนะ”
สายตาเฉิงลี่เสวี่ยจับจ้องมองหลินสวินอย่างนิ่งสงบ มีบรรยากาศแน่วแน่อย่างหนึ่ง
“หลินสวิน”
หลินสวินกล่าวสั้นกระชับ แม้รู้ว่าเฉิงลี่เสวี่ยไม่ธรรมดา แต่นี่กลับไม่สามารถนำมาซึ่งภัยคุกคามและแรงกดดันที่แท้จริงให้กับหลินสวิน
ทว่าเทียบกับการต่อสู้ก่อนหน้าแล้ว ท่าทีของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาก
…………………..