Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 784 โทสะหยาจื้อ
บนสังเวียน การต่อสู้ปะทุขึ้น
ชิ้ง!
เฉิงลี่เสวี่ยรูปร่างผอมบาง มือกระชับกระบี่เขียวสามฉื่อ ก้าวย่างมาเบื้องหน้า ชั่วพริบตาทั้งร่างพลันมีพลังดุดันทะลวงเมฆา ปลายกระบี่สยบผู้คน
ทุกคน ณ ที่นั้นต่างตื่นเต้น กลั้นหายใจจดจ้องการต่อสู้เขม็ง เกรงแต่จะพลาดรายละเอียดอะไรไป
จากมุมมองผู้ฝึกปราณทุกคน นี่คือการประลองชั้นยอดครั้งหนึ่งของคนรุ่นเยาว์ ถึงอย่างไรความทรงพลังของเฉิงลี่เสวี่ยก็ประทับลึกในใจผู้คนอยู่ก่อนแล้ว
ส่วนหลินสวินซึ่งประดุจม้ามืดเด่นผงาด ก็ไม่ใช่พวกธรรมดาคนหนึ่งเช่นกัน
ผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์สองคนนี้เปิดฉากชิงชัยชนะ แน่นอนว่าต้องดึงดูดความสนใจของมวลชน
ฉัวะ!
ห้วงอากาศถูกปลายกระบี่สีเขียวแหวกผ่า ดุดันน่าหวาดกลัว คดเคี้ยวดุจแสงสายฟ้าเขียว นี่คือกระบี่ของเฉิงลี่เสวี่ย บัดนี้ตัวเขาราวกระบี่ออกจากฝักเล่มหนึ่ง
นัยน์ตาดำของหลินสวินฉายประกายวาบ หาได้ลังเลไม่ เงาร่างพลิ้วไหวดุจแสงแห่งห้วงมายา กำปั้นเปล่งประกายซัดกลับหนักหน่วง
ความสามารถที่เฉิงลี่เสวี่ยสำแดงทำหลินสวินยินดียิ่ง
ตูม!
การแข่งขันระหว่างทั้งสองรุนแรงดุเดือด บนสังเวียนปั่นป่วน
เฉิงลี่เสวี่ยแข็งแกร่งนัก ปลายกระบี่เขาดุจรุ้งศักดิ์สิทธิ์ สุกสกาวพราวแพรว ตัดสลับไขว้ขนานทลายนภากาศ ไอดุดันรุนแรงทำฟ้าดินเปลี่ยนสี แฝงท่วงท่าสง่างามแห่งเซียนกระบี่โบราณอย่างหนึ่ง
ด้านหลินสวินกลับใช้มือเปล่า อานุภาพล่องลอยไร้มลทิน เงาร่างพลิ้วไหวท่องเหินบนสังเวียน ไร้ซึ่งความหวาดหวั่น การเคลื่อนไหวสบายอารมณ์ ไม่แปดเปื้อนกลิ่นอายธุลี
บนอัฒจันทร์ฮือฮาไปทั้งแถบ ผู้ฝึกปราณทั้งหมดต่างร้องตะโกนสมใจอยาก กู่ร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงผู้คนดังก้องสะท้อนทั่วบริเวณ
เทียบกับการประลองน่าเบื่อไร้ความน่าสนใจก่อนหน้า การต่อสู้ชั้นยอดเวลานี้เห็นได้ว่ามีสีสันและสะท้านใจมากโดยไม่ต้องสงสัย
“สมกับเป็นเฉิงลี่เสวี่ยผู้ถูกสำนักกระบี่สนขจีหมายตา แค่เพียงปราณวิถีกระบี่นี้ ในหมู่คนรุ่นเยาว์ก็เรียกได้ว่าน่าตกตะลึง!”
“เด็กหนุ่มปริศนานั่นก็ใช่ย่อย ใช้มือเปล่าประมือกับเฉิงลี่เสวี่ย ช่างยากจะพบเห็น”
“การประลองนี้ท้ายที่สุดใครจะชนะกันแน่”
“ไม่เห็นต้องสงสัย แน่นอนว่าเป็นเฉิงลี่เสวี่ย!”
“ไม่ อาจเป็นเด็กหนุ่มปริศนานั่น!”
“ไม่ต้องเถียงกัน พูดถึงเรื่องพวกนี้ตอนนี้ไม่ใช่ว่ากล่าวเร็วไปหรอกรึ ตั้งตาดูก็พอแล้ว!”
บนอัฒจันทร์มีเสียงฮือฮาไม่หยุดหย่อน
ตูม!
อานุภาพของเฉิงลี่เสวี่ยดุดันยิ่งกว่าเดิม ชุดเขียวเริงระบำ กระบี่เขียวพวยพุ่ง สาดไอกระบี่ซึ่งเพียงพอให้แหวกภูเขาตัดแม่น้ำ
ท่วงท่าแห่งวิถีกระบี่นั้น ทำเอาผู้ฝึกปราณมากมายต่างอัศจรรย์ใจ ตกตะลึงอ้าปากค้างไม่อาจจินตนา เด็กหนุ่มคนหนึ่งเช่นนี้ ไยจึงมีความรู้ลึกซึ้งบนวิถีกระบี่อย่างลึกล้ำขนาดนี้
เปรียบเทียบกันแล้ว อานุภาพของหลินสวินกลับเหมือนราบเรียบนัก หรือพูดได้ว่าเอ้อระเหยยิ่ง ทุกการเคลื่อนไหวมีท่วงทำนองแห่งธรรมชาติอันเรียบง่าย ดูไปแล้วไม่สะดุดตา แต่กลับไม่เคยถูกเฉิงลี่เสวี่ยสะกดข่มตั้งแต่ต้นจนจบ
“คนหนึ่งเผยกระบี่คม อีกคนซ่อนแฝงอยู่ภายใน ทำให้ผู้คนไม่อาจแยกแยะว่าใครแกร่งกว่ากันแน่”
ผู้ฝึกปราณอาวุโสส่วนหนึ่งทอดถอนใจ หวนนึกถึงปีนั้นที่พวกเขายังอายุเท่านี้ ก็ยังไม่มีศักยภาพเช่นนี้
นี่ทำให้พวกเขาไม่อาจไม่สะท้อนใจ ในแต่ละยุคสมัยมักปรากฏอัจฉริยะจริงดังว่า!
“ผ่า!”
หว่างคิ้วเฉิงลี่เสวี่ยเจือความเฉียบขาด เงาร่างเปล่งประกายแสงรุ่งโรจน์ กระบี่เขียวกลางฝ่ามือพร่างพราวด้วยไอกระบี่สะเทือนพิภพ เกริกก้องฟ้าดิน กลิ่นอายสังหารมืดฟ้ามัวดิน!
แต่ไม่ว่าอานุภาพกระบี่ของเขาดุดันและรุนแรงมากเพียงใด ล้วนถูกหลินสวินสลายอย่างง่ายดายแล้วยังโจมตีโต้กลับ
ปัง!
หนึ่งหมัดของหลินสวินทะยานฟ้า ดุจเมฆกระจ่างกลางหุบเขา ไม่แปดเปื้อนธุลี ดูแล้วสบายอารมณ์ยิ่ง แต่กลับทำเอาเฉิงลี่เสวี่ยสั่นสะท้านไปทั้งตัว
“แข็งแกร่งยิ่ง!”
สีหน้าเขาจริงจังและเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม นัยน์ตาเปี่ยมแสงเจิดจรัส คมปลาบดุจปลายกระบี่ที่พร่างพราว
การต่อสู้กับหลินสวินทำให้ในใจเฉิงลี่เสวี่ยแช่มชื่นหาใดเปรียบ นี่คือความรู้สึกของการเจอคู่ต่อสู้ที่ฝีมือสูสี ทำให้เขามีใจต่อสู้ฮึกเหิมต่างจากอดีต โลหิตเดือดพล่านดุจเพลิงผลาญ
“ต่อสู้เช่นนี้สิถึงจะสะใจ!”
อานุภาพของเฉิงลี่เสวี่ยดุดันยิ่งกว่าเดิม กระบี่ของเขากำลังครวญคร่ำ เลือดลมพลุ่งพล่าน ผมดำทั้งศีรษะแผ่สยาย ทั้งตัวแผ่จิตต่อสู้ชวนประหวั่นออกมา
“ดี!”
ห่างออกไปผู้อาวุโสเลี่ยวเจินแห่งสำนักกระบี่สนขจีอดชื่นชมไม่ได้
เขามองออกว่าสำหรับเฉิงลี่เสวี่ย หลินสวินอาจเป็นศัตรูที่เข้มแข็งทรงพลังยิ่งยวด
แต่ขณะเดียวกันการต่อสู้กับคู่แข่งเช่นนี้ก็ช่วยกระตุ้นศักยภาพแฝงของเฉิงลี่เสวี่ยได้ ให้เขาได้เคี่ยวกรำในการต่อสู้
เปรียบดั่งหยกหมองมัวก้อนหนึ่ง เมื่อผ่านการขัดเกลาและเจียระไน ความงดงามและเนื้อแท้ของมันก็จะเผยออกมาทีละน้อย สุดท้ายจึงเปล่งแสงแวววาวเพริศพรายชวนให้ผู้คนในใต้หล้าชำเลืองมอง!
เห็นชัดว่าเลี่ยวเจินมองหลินสวินว่าเป็นเสมือนหินลับมีดชั้นเลิศก้อนหนึ่ง กำลังหล่อหลอมและขัดเกลาปลายกระบี่ของเฉิงลี่เสวี่ย!
“อานุภาพของเฉิงลี่เสวี่ยแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ!”
แม้แต่ผู้ฝึกปราณบนอัฒจันทร์ต่างสังเกตเห็น หลังจากการประลองดำเนินไป อานุภาพของเฉิงลี่เสวี่ยก็ดุจสายรุ้ง เพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ ชวนให้คนไหวหวั่นและตะลึงงัน
นี่มีความนัยโดยไม่ต้องสงสัย ว่าภายในร่างเฉิงลี่เสวี่ยมีศักยภาพแฝงอันน่าหวาดกลัวยิ่งยวด อีกทั้งพรสวรรค์เลิศล้ำ ปรากฏการยกระดับด้วยตนเองขณะต่อสู้
ตรงกันข้ามหลินสวินยังคงเอ้อระเหยดุจเมฆาเคลื่อนดังเดิม ท่าทางราบเรียบไม่สะทกสะท้าน ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยเผยความเลิศล้ำสะดุดตาเป็นพิเศษ
“ดูท่าแล้วเด็กหนุ่มนั่นคงแพ้แน่…”
ผู้ฝึกปราณมากมายทำการวิเคราะห์เช่นนี้
“หา พี่หลินสวินจะแพ้จริงหรือ”
ซย่าเสี่ยวฉงเบิกตาใสสะอาดจ้องสังเวียน เดิมนางมีความสุขที่จะเห็นหลินสวินประสบความพ่ายแพ้อยู่บ้าง จะได้โจมตีความหยิ่งทะนงอวดดีนั่นของเขาสักหน่อย
ทว่าเหตุการณ์นี้อาจมาเยือนจริง นางกลับทนไม่ไหวอยู่บ้าง ในใจยุ่งเหยิงนัก แอบกล่าวกับตัวเอง ‘ชนะก็ไม่ดี แพ้ก็ไม่ดี ข้านี่ช่างน้ำใจงามจริงเชียว…’
หากเสียงในใจนางถูกหลินสวินได้ยินเข้า เกรงว่ามุมปากคงกระตุกยกอย่างอดไม่อยู่อีกครา
ทว่าหลินสวินเวลานี้ไม่มีสมาธิมาใส่ใจซย่าเสี่ยวฉง
บัดนี้จิตใจเขาดื่มด่ำกับการเคี่ยวกรำวิถียุทธ์โดยสมบูรณ์ พลังขับเคลื่อนในร่างปรากฏสภาพต่างจากอดีตประการหนึ่ง
เลือดลมดุจพวยพุ่ง!
สารพลังดุจคลั่งโทสะ!
ทั่วสรรพางค์กายมีพลังประหลาดสั่นสะเทือน โหมกระหน่ำใส่แขนขาทั้งสี่ประดุจม้าป่าสลัดบังเหียน นี่ทำให้ผิวหนังเขาสั่นเทารางๆ คล้ายพยายามกำราบอะไรบางอย่าง
ลมหายใจของเขาปรากฏจังหวะพิกล ราวกับวาฬมังกรกลืนวารี คล้ายกระทิงเคี้ยวเอื้อง มีจังหวะจะโคนเฉพาะตัวและทรงพลังอย่างหนึ่ง
นี่ก็คือมรดกวิชาลับร่างที่เจ็ดแห่งมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร… โทสะหยาจื้อ!
วิชาลับนี้หาใช่วิธีต่อสู้ แต่เป็นเคล็ดวิชาที่กระตุ้นศักยภาพแฝงประเภทหนึ่ง
การฝึกวิชานี้ทำให้ผู้ฝึกปราณตกอยู่ในสภาวะ ‘คลั่งโทสะ’ จากนั้นปลดปล่อยอานุภาพซึ่งแกร่งกว่าศักยภาพแห่งตนเท่าหนึ่งออกมาระหว่างต่อสู้!
หยาจื้อคือหนึ่งในสัตว์ปีศาจบรรพกาล นิสัยดุดันโกรธง่าย เด็ดขาดป่าเถื่อน บ้าเลือดคลั่งสงคราม
รูปร่างมันคล้ายราชสีห์ แต่กลับมีหัวมังกรโดยกำเนิด ปากคาบกระบี่วิเศษ เท้าทั้งสี่ราวเสาค้ำสวรรค์ สามารถย่ำภูผาธาราสุริยันจันทรา!
สมัยบรรพกาลมีคำพูดว่า ‘หยาจื้อจะล้างแค้น’ หมายถึงทันทีที่ล่วงเกินหยาจื้อ จะต้องเจอการล้างแค้นอันเหี้ยมโหดของมัน (หมายเหตุจากนักเขียน จริงๆ แล้วสำนวนหยาจื้อจะล้างแค้นไม่ได้มีคำอธิบายแบบนี้ เป็นการประยุกต์ใช้เท่านั้น
แค่คิดก็รู้ว่าสัตว์ปีศาจเช่นนี้เจ้าอารมณ์ระดับใด
วิชาลับส่วนนี้เอา ‘โทสะหยาจื้อ’ มาตั้งเป็นนาม ว่ากันตามจริงคือเคล็ดวิชาที่ทำให้ผู้ฝึกปราณกระตุ้นร่างกาย เค้นศักยภาพแฝงและปะทุพลังออกมา!
ครืน…
ระหว่างการต่อสู้เลือดในร่างหลินสวินดุจคลั่งโทสะ ศักยภาพแฝงทั่วร่างถูกกระตุ้นปลุกเร้า เกิดสภาพกึกก้องกัมปนาทชวนประหวั่น
เพียงแต่เขาสะกดข่มมันไว้ตลอด ไม่ได้ใช้วิชาลับนี้ แต่ตั้งสมาธิหยั่งรู้จังหวะยามที่โคจรวิชาลับนี้ ใช้มันหยั่งถึงความเร้นลับที่อยู่ภายใน
มองจากภายนอกคงดูอะไรไม่ออกแต่แรก
แต่สิ่งที่ทุกคนล้วนไม่รู้คือ ขณะที่เฉิงลี่เสวี่ยขัดเกลาตนเองไม่หยุดระหว่างการต่อสู้ อานุภาพยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แท้จริงแล้วหลินสวินก็กำลังอาศัยการโจมตีของเฉิงลี่เสวี่ย มาจดจ่อกับการหยั่งรู้และอนุมานความเร้นลับของ ‘โทสะหยาจื้อ’ ระหว่างการต่อสู้เช่นเดียวกัน!
‘คนโบราณเคยกล่าวว่า ผู้กร้าวแกร่งสองคนเดือดดาล โลหิตไหลหลากห้าก้าว จักรพรรดิเดือดดาล โลหิตหลั่งดั่งชลธาร แต่เมื่อหยาจื้อเดือดดาล นั่นคือเขาถล่มดินทลาย สรรพสิ่งพินาศย่อยยับ!’
‘มรดกวิชาลับส่วนนี้น่าประหวั่นเกินไปแล้ว หากฝึกฝนถึงขีดสุด สามารถทำให้ข้าสำแดงพลังต่อสู้ทวีคูณ!’
‘หากนำมาต่อสู้ เกรงว่าไม่ต้องใช้ดาบหักก็สามารถจู่โจมสังหารยอดบุคคลระดับกระบวนแปรจุติได้!’
‘ทว่าวิชาลับเช่นนี้กลับมีจุดบกพร่อง ทำลายเลือดลมตนเอง ผลาญพลังมากเกินไป ได้แค่นำมาฝ่าวงล้อมและโต้กลับยามเข้าตาจน ไม่อาจนำมาต่อสู้เป็นเวลานาน’
การหยั่งถึงนานัปการผุดขึ้นในใจดั่งกระแสวารี ทำให้ความเข้าใจของหลินสวินต่อ ‘โทสะหยาจื้อ’ ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม
ทว่าไม่นานสภาวะหยั่งถึงวิถียุทธ์เช่นนี้ก็ถูกขัดกลางคัน ทำให้หลินสวินคืนสติทันใด
ก็เห็นตรงหน้าเฉิงลี่เสวี่ยเก็บกระบี่เขียวยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ทำการต่อสู้อีก นี่ทำให้หลินสวินอึ้งงันอย่างอดไม่ได้
แม้แต่ผู้ฝึกปราณทั้งหมดซึ่งกำลังดูการประลองต่างตะลึงงัน สับสนมึนงง พวกเขากำลังดูอย่างสะใจตื่นเต้นหาใดเปรียบ ไหนเลยจะคาดคิดว่าการต่อสู้กลับหยุดลงกลางคันอย่างกะทันหันเวลานี้!
นี่มันอะไรกัน
สายตาทั้งหมดต่างมองไปยังเฉิงลี่เสวี่ย
“ไม่ต้องสู้อีกแล้ว ข้ายอมแพ้”
เฉิงลี่เสวี่ยสีหน้านิ่งสงบ อานุภาพเฉียบขาดดุจกระบี่ทั่วร่างก็เก็บงำสำรวมดั่งกระแสวารี ทั้งตัวคืนสู่บุคลิกหนักแน่นคงทนราวสนเขียวอีกครั้ง
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ทั้งลานประลองพลันงงงันแทบไม่กล้าเชื่อ
การต่อสู้ก่อนหน้านี้เฉิงลี่เสวี่ยได้เปรียบกว่าชัดๆ อานุภาพเพิ่มระดับอย่างต่อเนื่อง เหตุใดจู่ๆ กลับยอมแพ้เช่นนี้
นี่ทำให้ผู้คนยากเข้าใจ รู้สึกคาดไม่ถึง
“ข้าในตอนนี้สู้เจ้าไม่ได้ แต่เมื่อมหาสงครามมาเยือนก็ไม่แน่แล้ว”
เฉิงลี่เสวี่ยมองหลินสวินอย่างจริงจัง หาได้เผยอารมณ์แม้เพียงเสี้ยว เห็นได้ว่านิ่งสงบยิ่ง และไม่มีความรู้สึกเชิงลบหลังยอมแพ้อย่างที่ควรจะเป็น
กล่าวจบเขาก็ไม่ใส่ใจสายตามึนงง ณ ที่นั้นโดยสิ้นเชิง หันหลังและจากไป
ประหนึ่งผลแพ้ชนะสำหรับเขา ไม่สลักสำคัญอะไรนานแล้ว
เพราะเขาหยั่งถึงแล้ว!
เมื่อครู่ขณะต่อสู้ ความเข้าใจในวิถีกระบี่ของเขาทะลวงเข้าขอบเขตใหม่อีกคราแล้ว ต่อสู้ต่อไปอีกก็ไม่มีความหมาย
ทว่าที่ทำให้เฉิงลี่เสวี่ยสับสนในใจคือ การต่อสู้เมื่อครู่ทำให้เขารับรู้อย่างชัดเจนว่า เมื่อเทียบกับหลินสวินแล้ว เขายังมีระยะห่างส่วนหนึ่ง…
เพราะไม่ว่าเขาเปลี่ยนเป็นแกร่งขึ้นเพียงใด อานุภาพเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่อาจสั่นคลอนหลินสวินได้โดยสิ้นเชิง!
บางทีคนอื่นอาจไม่รู้ถึงความน่ากลัวของหลินสวิน แต่ในฐานะคู่ต่อสู้ เฉิงลี่เสวี่ยกลับตระหนักถึงจุดนี้อย่างลึกซึ้ง
นี่คือศัตรูผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง เกรงว่ายามมหาสงครามมาเยือน คิดจะเอาชนะเขาต้องยากมากแน่!
แต่เฉิงลี่เสวี่ยหาได้หวาดกลัวไม่ เขามีพลังและความมั่นใจในตัวเองอยู่
‘เมื่อมหาสงครามมาเยือน ข้าจะตัดสินแพ้ชนะที่แท้จริงกับเจ้า…’
เฉิงลี่เสวี่ยพึมพำอยู่ในใจ เขาจากไปเพียงลำพังภายใต้สายตาคลางแคลง ตื่นตะลึง ยากเข้าใจนับไม่ถ้วน
ตั้งแต่ต้นจนจบสีหน้านิ่งสงบดุจทะเลสาบ
………………..