Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 787 นัยน์ตาเฉาเฟิง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 787 นัยน์ตาเฉาเฟิง
“เจ้าหนุ่ม นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
ชายชุดดำหนึ่งในนั้นถาม เขากำลังแสร้งใจดีสู้เสือ “อยูดีๆ เหตุใดต้องถามพวกเราว่ามีแกนวิญญาณติดตัวหรือไม่”
หลินสวินแสยะยิ้มกล่าว “อย่าเสแสร้งเลย นี่มันเวลาไหนแล้ว ยังต้องแสร้งทำต่ออีกรึ”
ยามค่ำคืน รอยยิ้มหลินสวินเจิดจ้ายิ่ง แต่เมื่อเข้าสู่สายตาของชายชุดดำทั้งสองนั่น ในใจพวกเขากลับไม่อาจสงบได้ยิ่งกว่าเดิม
นี่มันแปลกประหลาดไปแล้ว พวกเขาเป็นพวกร้ายกาจระดับกระบวนแปรจุติ สองมือเปื้อนโลหิตนอง ถือเป็นมือหนึ่งของโลกมืดนครเตโช
แต่บัดนี้กลับจิตใจกระสับกระส่ายเพราะเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง นี่ทำพวกเขาตระหนักได้อย่างฉับไวว่าเป้าหมายที่ต้องจัดการครานี้ผิดปกติอย่างยิ่ง!
“ให้ข้าลองเดา พวกเจ้าหากไม่ใช่มาจากลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน ก็เป็นนักฆ่าที่ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินหามา จุดประสงค์ก็เพื่อสังหารข้าถูกหรือไม่”
หลินสวินย่างก้าวเข้าประชิด
ชายชุดดำทั้งสองถูกเผยจุดประสงค์ ทั้งเห็นหลินสวินเป็นฝ่ายเข้าใกล้ นอกจากขุ่นเคืองอยู่ในใจ ยังเกิดความหวาดหวั่นรุนแรงอย่างไม่อาจเลี่ยง
ทะแม่งเกินไปแล้ว!
เจ้าเด็กนี่ทำไมถึงไม่เกรงกลัวสิ่งใดเช่นนี้
ฟุ่บ!
เกือบชั่วพริบตา ทั้งสองคล้ายรู้กันอยู่ในที ตัดสินใจเลือกฉับพลัน… หนี!
ทั้งยังรวดเร็วถึงที่สุด ทะยานออกไปสองทิศทางต่างกันไป
มีเพียงหลินสวินที่รู้ดีว่าว่าพวกเขากำลังหยั่งเชิง ดูเหมือนวิ่งหนี แต่จริงๆ เป็นการลองดูว่าตนจะตอบสนองอย่างไรก็เท่านั้น
หากอันตรายพวกเขาจะจากไปโดยสิ้นเชิง
แต่หากเห็นว่าตนแค่ข่มขู่ให้กลัว พวกเขาก็จะหวนกลับมาสังหารทันที!
ไม่อาจไม่พูดถึง นี่เป็นตัวร้ายกาจสองคนที่ระวังตัวและรอบคอบยิ่ง เปี่ยมประสบการณ์การต่อสู้ คนทั่วๆ ไปไม่อาจเทียบได้
ทว่าพวกเขาละเลยไปประเด็นหนึ่ง คืนนี้หลินสวินนั่งเฉยรอคอยมาตลอด ซ้ำปรากฏตัวเองเวลานี้ ไม่ใช่เลือกถอยหลบปลายดาบ มีหรือจะคิดตื้นๆ หวังแค่เขย่าขวัญพวกเขา
สวบ!
แทบจะในเวลาเดียวกับที่พวกเขาเคลื่อนไหว หลินสวินก็เคลื่อนไหวด้วย ทั้งยังไวกว่า สำแดงก้าวย่างชือน้ำแข็งพุ่งตามหนึ่งในชายชุดดำ
ตูม!
ท่ามกลางรัตติกาล ชายชุดดำนั่นหนาวสะท้านไปทั้งร่าง เงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ ก็เห็นประทับโบราณเจิดจรัสแยงตาตกลงมาจากฟากฟ้า แหวกฝ่าความมืดมิด
ประทับปี้อั้น!
เพียงแต่ต่างจากในอดีต ประทับปี้อั้นเวลานี้เสมือนมีสัตว์เทพปี้อั้นปรากฏอย่างแท้จริง ลายเส้นคมชัด ถลึงตาถมึงทึง พลานุภาพล้นฟ้า!
ชายชุดดำในใจพลันสั่นสะท้าน ไม่ทันได้ตอบสนองร่างกายก็ถูกกดทับหนักหน่วงติดพื้น กล้ามเนื้อและกระดูกทั่วร่างแตกดังกร๊อบๆ เลือดออกเจ็ดทวาร
ตูม!
พื้นดินถูกทุบจนเกิดหลุมมหึมา ชายชุดดำนั่นนอนอยู่กลางหลุมใหญ่ชักกระตุกไปทั้งตัว ราวถูกทับแบนไม่อาจลุกขึ้นยืน!
นี่ทำเขาตระหนกและหวาดกลัว เขาเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติ โลดแล่นทั่วสารทิศบนโลกมาหลายปี ไหนเลยจะคิดว่าแค่การโจมตีเดียวตนก็ถูกจู่โจมคว่ำคะมำได้
บัดซบ!
เขาดิ้นรนสุดกำลัง ทั้งร่างอบอวลแสงประกาย เพิ่งหมายหยัดกายขึ้นก็ถูกเท้าข้างหนึ่งย่ำกระดูกสันหลังแตก กลั้นเสียงร้องทุรนทุรายไม่ไหวอีกต่อไป เบื้องหน้าพลันสับสนมึนงง
พลังเช่นนี้น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว ทำเอาเขาล้วนไม่กล้าเชื่อว่านี่คือสิ่งที่เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งทำได้!
เขาถูกทำให้ขวัญเสียจนหนาวสั่นไปทั้งตัว สังหรณ์ว่าปฏิบัติการครานี้ผิดพลาด มาเจอสัตว์ประหลาดไม่อาจต่อกรตนหนึ่งเข้าแล้ว
“รออยู่นิ่งๆ ไปเถอะ!”
หลินสวินมอบบาทาแก่เขาอีกครา เตะหัวชายชุดดำแทบแตก ลูกตาพลันกลอกเหลือกหมดสติโดยสมบูรณ์
อีกทิศทางหนึ่ง พรรคพวกชายชุดดำกำลังหลบหนี พร้อมกับลอบตัดสินใจอยู่ในที ว่าประเดี๋ยวหากเห็นว่าเด็กหนุ่มนั่นไม่ไล่ตามมาจะย้อนกลับไปสังหารทันที!
ทว่าเมื่อเขาเหลียวหลังเห็นพรรคพวกตนถูกการโจมตีเดียวกดอัดติดพื้นลุกไม่ขึ้น พลันตระหนกจนวิญญาณแทบลอยล่อง
ตูม!
เขาไม่กล้าลังเลอันใดอีก เริ่มหนีกระเจิดกระเจิงอย่างบ้าคลั่ง ถูกทำให้กลัวเข้าจริงๆ แล้ว
เขารู้ศักยภาพของสหายตนดีว่าทรงพลังระดับใด แต่บัดนี้กลับถูกการโจมตีเดียวสยบได้ นี่น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว
แม่งเอ๊ย!
เจ้าสัตว์ประหลาดตัวจ้อยนี่โผล่มาจากไหนกันแน่
“คืนสังหารไร้จันทร์ลมแรง สถานการณ์เช่นนี้หากสหายเช่นเจ้าพลาดไปคงน่าเสียดายแย่”
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งดังขึ้นริมหู ชวนตระหนกจนชายชุดดำแข็งทื่อไปทั้งตัว เขาหนีมาล่วงหน้ายังสามารถตามมาได้เช่นนี้?
“สหายน้อย พวกเราแค่รับการจ้างวาน หาใช่คนของลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน หวังว่าเจ้าจะเมตตาปล่อยให้ข้ารอดชีวิต”
ชายชุดดำตาลีตาลาน ร้องตะโกนลั่น
ทว่าการกระทำของเขากลับตรงกันข้าม ขณะกล่าววาจาพลันซัดแสงโลหิตบาดตาสายหนึ่งออกมา แหลมคมดุจเหล็กหมาด พุ่งเข้าใส่คอหลินสวิน!
วู้ม!
แสงโลหิตนั่นทะยานผ่านอากาศ ส่งเสียงประหลาดปานดูดจิตชิงวิญญาณ ประหลาดหาใดเปรียบ
หลินสวินเลิกคิ้ว ไม่ยอมสัมผัสมัน สำแดงผนึกป้าเซี่ยและประทับปี้อั้นในเวลาเดียวกัน
ก็เห็นแสงโลหิตนั่นถูกพันธนาการค้างกลางฟ้า จากนั้นจึงถูกประทับปี้อั้นชวนประหวั่นบดทำลายแตกละเอียด ละอองแสงโปรยปราย
ขณะเดียวกันหลินสวินใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งทะลวงหมัดออกไปข้างหน้านานแล้ว
เสียงดังปึงพร้อมกับที่ชายชุดดำคนนั้นถูกซัดกระเด็น หกคะเมนลงบนพื้นนอกระยะสิบกว่าจั้ง คะมำก้นชี้ฟ้า หัวแตกเลือดอาบฟันร้าวหมดปาก
เขาหวาดกลัวถึงขีดสุด นี่ยังใช่เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะจริงรึ ทำไมมีพลังน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ แม้แต่ผู้กล้าชั้นยอดแห่งยุคในปัจจุบันคงไม่ถึงขั้นนี้กระมัง
โจมตีคราเดียวบดขยี้สหายเขา ตอนนี้จู่โจมอีกคราแม้แต่เขายังถูกสยบ นี่พาให้เขามือเท้าเย็นเฉียบ พังทลายโดยสิ้นเชิง
หลินสวินหิ้วเขาขึ้นมา หันหลังย้อนกลับไปข้างชายชุดดำอีกคน เริ่มลงมือปอกลอกทรัพย์หลังศึกอย่างแคล่วคล่อง
ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน สีหน้าหลินสวินพลันไม่น่าดูอยู่บ้าง นี่เป็นมือฉมังระดับกระบวนแปรจุติสองคน แต่บนตัวนอกจากวัตถุดิบวิญญาณจุกจิกส่วนหนึ่งแล้ว ถึงกับไม่มีแกนวิญญาณสักก้อน!
นี่มันอัตคัดเกินไปแล้วกระมัง
วันนี้ยามหลินสวินทำลายปราณของต่งไห่ผู้ดูแลลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน ก็คาดการณ์อยู่ก่อนแล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่วางมือยุติเรื่องราวแน่
คืนนี้เขาจึงรอคอยโดยเฉพาะ นึกไม่ถึงว่าบนตัวคู่ต่อสู้ที่รอคอยกลับไม่มีทรัพย์สินแม้แต่น้อย!
นี่ทำให้หลินสวินไม่พอใจมาก สายตาเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยม กล่าวว่า “ข้าไม่อยากรู้เหตุผล ข้าแค่อยากยืนยัน ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินส่งพวกเจ้ามาใช่หรือไม่”
…
หลังจากนั้นไม่นาน หลินสวินหิ้วร่างไร้วิญญาณสองศพออกไปจากถนน เงาร่างลับหายท่ามกลางรัตติกาลเวิ้งว้างอันห่างไกล
ฟุ่บ!
ขณะหลินสวินเพิ่งจากไป เงาร่างสูงโปร่งผึ่งผายหนึ่งลอยล่องมาถึง เขายืนอยู่ตรงนั้นสังเกตสนามรบสักพัก ค่อยมองไปยังทิศทางที่หลินสวินจากไป
“ในเวลาสั้นๆ ผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติสองคนล้วนพ่ายแพ้ในเงื้อมมือเจ้า ศักยภาพเจ้าเด็กนี่แกร่งกว่าที่ข้าคาดอยู่บ้าง!”
นัยน์ตาเขาสาดแสงประกายเจิดจ้า ริมฝีปากบางดุจปลายดาบเม้มน้อยๆ จิตต่อสู้ในใจพลุ่งพล่านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
คนผู้นี้ก็คือฟางหลินหานผู้สืบทอดอาศรมดาบแปดวิทูร
“เจ้าหนูรอก่อนเถอะ ต่อให้เจ้าไม่ยอมสมัครใจทุกทาง ไม่ช้าก็เร็วข้าต้องประลองกับเจ้าสักตั้งให้ได้!”
…
ผ่านไปครู่หนึ่ง
ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินพลันเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ แสงเพลิงทะลวงเมฆาพุ่งกระจายทั่วรัตติกาล เกิดความโกลาหลขึ้นฉับพลัน
มหาอัคคีภัยครั้งนี้สาหัสเหลือประมาณ กระทั่งหลังเที่ยงคืนจึงถูกดับ ทว่าสิ่งที่เหลือไว้ล้วนเกลื่อนกลาดระเนระนาด ทั้งลานประลองยุทธ์ถูกทำลายอย่างรุนแรง
ส่วนหลินสวินย้อนกลับโรงเตี๊ยมนานแล้ว
เพลิงอัคคีซึ่งเผาทำลายลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินแน่นอนว่ามาจากฝีมือเขา
ดังคำกล่าวที่ว่า ผู้อื่นมีเมตตาให้ก็ควรสนองตอบ ไม่เช่นนั้นจะเสียมารยาท ก่อนหน้านี้เขาเคยใช้ต่งไห่ที่ถูกทำลายปราณเป็นการเอ่ยเตือนแล้ว แต่เห็นชัดว่าฝ่ายตรงข้ามไม่คิดอดกลั้น ดังนั้นคืนนี้จึงส่งมือสังหารสองคนมาล้างแค้น
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินมีหรือจะยอมทน
เพลิงนี้คือบทเรียนที่เขามอบแก่ลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน
หากภายใต้สถานการณ์เช่นนี้อีกฝ่ายยังไม่คิดเก็บมือ เช่นนั้นขั้นต่อไปหลินสวินคงทำได้แค่อำมหิตยิ่งกว่า
…
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลินสวินตื่นจากสมาธิเหมือนไม่มีอะไรเกินขึ้น พาซย่าเสี่ยวฉงเดินออกไปข้างนอก
เขาต้องการแลกหยกควบรวมจิตระดับกลางส่วนหนึ่ง พร้อมกับถือโอกาสหาลานประลองยุทธ์อีกแห่งมาเคี่ยวกรำวิถียุทธ์และหาแกนวิญญาณ
‘ความเร้นลับของโทสะหยาจื้อถูกข้าทำความเข้าใจหมดแล้ว ขั้นต่อไปคือหยั่งถึงร่างที่แปดแห่งมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร… นัยน์ตาเฉาเฟิง’
ขณะเดินบนท้องถนนอันคึกคัก หลินสวินใคร่ครวญอยู่เงียบๆ
เมื่อคืนยามจัดการชายชุดดำระดับกระบวนแปรจุติสองคนนั่น เขาใช้พลังของโทสะหยาจื้อ เร่งเร้าพลังต่อสู้ให้เท่าทวีชั่วพริบตา ถึงได้กำราบอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
มิฉะนั้นหากเปลี่ยนเป็นเขาก่อนหน้านี้ คิดทำถึงขั้นนี้ยังต้องอาศัยดาบหักหรือธนูวิญญาณไร้แก่นสารจึงจะได้
เพีงแต่ที่ทำให้หลินสวินแปลกใจคือ จากการหยั่งถึงเมื่อคืน เขาพบว่าร่างที่แปดแห่งมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร ‘นัยน์ตาเฉาเฟิง’ ไม่ใช่มรดกวิชายุทธ์ แต่เป็นเคล็ดมายาหยั่งรู้ฟ้าดิน เสาะหาเส้นปราณอย่างหนึ่ง!
ก็เหมือนกับมรรคาแห่งฮวงจุ้ย ทว่าอาศัย ‘นัยน์ตาเฉาเฟิง’ สามารถมองทะลุอสสาร ส่องสำรวจ ‘แดนสมบัติ’ ที่ซ่อนอยู่ใต้ฟ้าดินภูผาธารา!
อย่างไรจึงเรียกว่าแดนสมบัติ
ก็คือแหล่งรวบรวมชีพจรปราณวิญญาณ!
เช่นเดียวกัน สถานที่ซึ่งซุกซ่อนสมบัติวิญญาณ สิ่งอัศจรรย์ วาสนา วัตถุวิญญาณสะเทือนใต้หล้า ล้วนเรียกว่าแดนสมบัติเหมือนกัน
อย่างเช่นสายแร่ปราณล้ำค่า แหล่งวิญญาณปริศนานานัปการเป็นต้น
พวกแกนวิญญาณ หยกควบรวมจิตที่พบเห็นได้ประจำบนโลกนี้ ล้วนแต่ขุดค้นมาจากชีพจรปราณวิญญาณทั้งสิ้น
กล่าวง่ายๆ คือเคล็ดมายาอย่างนัยน์ตาเฉาเฟิงนี้ ก็คือวิชาอัศจรรย์ที่มีไว้เพื่อหาชีพจรปราณวิญญาณโดยเฉพาะ
แต่ที่ทำให้หลินสวินปวดหัวคือ การฝึกฝนและหยั่งถึงปริศนาแห่งวิชาลับนี้ต้องมุ่งหน้าไปยังป่าลึกกลางหุบเขา เช่นนี้จึงจะสามารถสัมผัสปริศนาแห่งนัยน์ตาเฉาเฟิงได้มากที่สุดว่าคืออะไร แล้วจึงจะบรรลุเป้าหมายแห่งการแสวงชีพจรปราณ
‘ดูท่า คงได้แค่ฝึกฝนเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ก่อนแล้ว…’
ในนครเตโชนี้ หลินสวินคงทำได้แค่วางการฝึกมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรลงก่อนชั่วคราว
“ข่าวใหญ่ๆ เมื่อคืนลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงินเกิดเพลิงไหม้ ถูกเผาจนแทบเหี้ยน แม้แต่คลังเก็บของยังถูกเผาเกลี้ยง ตามรายงานกล่าวว่าเป็นไปได้สูงที่จะเป็นการแก้แค้นจากศัตรูของลานประลองยุทธ์ไก่ฟ้าสีเงิน!”
บนถนน ชาวเผ่าวาทวาโยกำลังส่งต่อข่าว ชักนำให้เกิดเสียงฮือฮาจากผู้สัญจรเป็นระลอก
เผ่าวาทวาโย ถูกขนานนามว่าเป็นเผ่าพันธุ์ซึ่งหูไวตาไวที่สุดในดินแดนรกร้างโบราณ
หูทั้งสองของพวกเขาเรียวแหลม นัยน์ตาเว้าเป็นโพรง ผิวปรากฏสีเขียวอ่อน ด้านหลังมีปีกสีสดงดงามคู่หนึ่งโดยกำเนิด พลังชีวิตแข็งแกร่งยิ่งยวด
พวกเขามีพรสวรรค์หยั่งรู้เหนือธรรมดา ชำนาญการค้นหารวบรวมและจัดระเบียบข่าวสาร ชื่นชอบการสืบเสาะและเผยแพร่ข่าวสารที่ลึกลับและร้อนแรงที่สุดนานัปการแต่กำเนิด
ดินแดนรกร้างโบราณมีคำพูดขำขันหนึ่งที่แพร่หลายกล่าวว่า ขอเพียงที่ไหนเกิดเรื่องใหญ่หลวง ต้องมีเงาร่างผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโย พวกเขาคิดก่อข่าวโจษขาน ฉะนั้นจึงวิ่งเร็วกว่าใคร!
…………………