Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 795 ป้ายคำสั่งเซียนเหิน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 795 ป้ายคำสั่งเซียนเหิน
รอยยิ้มตรงมุมปากของนางหุบลง ไม่ได้ทำให้หลินสวินรู้สึกลำบากใจอีกต่อไป กล่าวว่า “พ่อหนุ่ม นั่งลงเถิด เวลาของข้ามีไม่มาก พวกเรามาใช้จังหวะนี้พูดคุยกันให้เต็มที่”
ยามสิ้นเสียง กลิ่นอายทั่วร่างนางพลันเปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้ยังดุจดังหญิงงามล้ำไร้ที่เปรียบผู้ล่มแคว้นล่มเมือง รูปโฉมชวนพิศพาให้ผู้คนหลงใหลอยู่เลย
ทว่ายามนี้กลับเปี่ยมด้วยกลิ่นอายพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ คิ้วตาคมขรึม สงบนิ่งสำรวม มีกลิ่นอายมองโลกอย่างปรุโปร่ง หลุดพ้นเหนือโลกีย์โดยสิ้นเชิง
สิ่งนี้ทำให้หัวใจของหลินสวินสั่นสะเทือน ตระหนักได้ว่าอาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงจะต้องเป็นคนที่น่ากลัวทรงพลังเป็นที่สุดผู้หนึ่งอย่างแน่นอน!
หลินสวินไม่ได้เกรงใจ นั่งลงด้านข้างตามอัธยาศัย สายตาชำเลืองมองปราดหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ คราวนี้จึงพบว่าซย่าเสี่ยวฉงนอนแผ่กายหลับอยู่บนเตียงนานแล้ว
“ข้านามว่าลิ่นเหวินจวิน มาจากเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว ก่อนหน้านี้เป็นเพราะถูกเรื่องบางอย่างทำให้ล่าช้า ดังนั้นจึงได้มาพบเจ้าในเวลานี้”
ลิ่นเหวินจวินแนะนำตัวเองหนึ่งหนแล้วกล่าวว่า “ได้ยินเสี่ยวฉงบอกว่าเจ้าจะไปแดนชัยบูรพาหรือ”
หลินสวินพยักหน้า
“หากจะมุ่งหน้าไปแดนชัยบูรพาจำเป็นต้องข้ามผ่านอุปสรรคกฎเกณฑ์ของโลก มีเพียงอริยบุคคลที่ควบคุมกฎแห่งห้วงอากาศเท่านั้นจึงจะสามารถผ่านไปได้อย่างอิสระ”
เสียงของลิ่นเหวินจวินราบเรียบ เอ่ยวาจาเนิบนาบ “ส่วนผู้ฝึกปราณทั่วไปคิดจะมุ่งสู่แดนชัยบูรพา มีเพียงสองหนทาง”
“หนึ่ง ลงมือด้วยตัวเอง เดินทางบนถนนกั้นแดนแตกร้าวที่อยู่ระหว่างเขตแดนโลก แต่ถนนกั้นแดนอันตรายปั่นป่วนมากที่สุด แม้เป็นอริยบุคคลเดินอยู่ในนั้นก็ยังพบเจออันตรายมากมาย เรียกได้ว่าเก้ามรณาหนึ่งรอดพ้น”
หลินสวินพยักหน้า หลายวันมานี้เขาเองก็เคยสืบถามมา สิ่งที่เรียกว่า ‘ถนนกั้นแดน’ ก็คือทางผ่านระหว่างโลกสู่โลก ภยันตรายล้นเหลือ เปี่ยมด้วยภัยธรรมชาติและพิบัติเคราะห์แสนเข็ญที่ไม่อาจคาดเดาได้ โดยทั่วไปแล้วนอกจากพวกไม่สนเป็นตายก็ไม่มีใครเลือกข้ามแดนด้วยวิธีนี้
“วิธีที่สองก็คืออาศัยค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ ก็สามารถย้ายจากแดนฐิติประจิมไปถึงแดนชัยบูรพาได้โดยสวัสดิภาพ”
ลิ่นเหวินจวินกล่าวต่อว่า “เพียงแต่วิธีนี้ดูเหมือนเรียบง่าย ทว่าผู้ฝึกปราณทั่วไปกลับไม่มีคุณสมบัติจะยืมใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณได้เลย อย่างไรเสียค่ายกลโบราณระดับนี้อริยุบคคลก็เป็นผู้จัดวาง การใช้งานเพียงครั้งเดียวจำเป็นต้องสิ้นเปลืองแกนวิญญาณขั้นสูงจำนวนมหาศาล”
“ไม่เพียงเท่านี้ ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณซึ่งอยู่ในระดับที่สามารถไปแดนชัยบูรพาได้ ทั่วทั้งแดนฐิติประจิมมีเพียงสิบกว่าแห่งเท่านั้น และส่วนใหญ่ก็อยู่ในมือของสำนักโบราณ ใช่ว่าใครจะสามารถยืมใช้งานได้ตามอำเภอใจ”
เมื่อรู้เรื่องเหล่านี้ หัวคิ้วของหลินสวินขมวดมุ่นโดยพลัน การไปแดนชัยบูรพาไม่ได้เรียบง่ายเหมือนอย่างที่เขาคิดขนาดนั้นจริงๆ ด้วย
“กล่าวโดยสรุป หากคิดอยากยืมใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ อย่างแรก จะต้องได้รับความเห็นชอบจากสำนักโบราณหนึ่งแห่ง สอง จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนเหลือคณา”
ลิ่นเหวินจวินกล่าวถึงจุดนี้ ดวงตาเรียวชี้คู่นั้นจับจ้องหลินสวินแล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้เจ้าน่าจะรู้ดี การชำระค่าใช้จ่ายเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ปัญหายากอย่างแท้จริงมีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือได้รับความยินยอมจากสำนักโบราณแห่งหนึ่ง”
หลินสวินพยักหน้า ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว ทันใดนั้นหัวใจของเขาพลันกระตุกคราหนึ่ง เอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสจะชี้แนะทางสว่างแก่ผู้น้อยได้หรือไม่”
จากที่เขาดู อาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงปล่อยให้เขารอตั้งหลายวันขนาดนี้ น่าจะไม่ใช่เพียงพูดเรื่องสัพเพเหระเหล่านี้
ดังคาด มุมปากลิ่นเหวินจวินผุดเส้นโค้งหนึ่งสาย กล่าวว่า “อาจเรียกไม่ได้ว่าชี้แนะ ข้าให้เจ้ารอนานหลายวันเช่นนี้ อันที่จริงก็แค่อยากดูเสียหน่อยว่าเจ้าควรค่าให้ข้าทำเช่นนี้หรือไม่ ตอนนี้ดูแล้ว เจ้าฝืนผ่านด่านไปได้แล้ว”
หลินสวินลอบเหงื่อตกอยู่ในใจ นี่ก็ต้องทำการทดสอบด้วยหรือ หญิงผู้นี้กระทำการใดผู้คนจับไม่ได้ไล่ไม่ทันจริงๆ
“รับปากข้าหนึ่งเรื่อง พาเสี่ยวฉงไปเขาบรรพตเขียวของแคว้นหงส์สถิต รอเมื่อถึงที่นั่นแล้วย่อมมีคนช่วยเจ้าจัดเตรียมการเดินทางสู่แดนชัยบูรพา”
ลิ่นเหวินจวินกล่าวถึงตรงนี้พลันเหยียดกายนั่งหลังตรง ท่าทางเคร่งขรึมจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “เจ้าคิดว่าอย่างไร”
แคว้นหงส์สถิต? เขาบรรพตเขียว?
หลินสวินไม่เคยได้ยินชื่อสถานที่นี้มาก่อน ทว่าดูจากท่าทางเคร่งขรึมของลิ่นเหวินจวิน กลับทำให้เขาตระหนักได้ว่าหากตนปฏิเสธ อีกฝ่ายจะต้องผิดหวังเป็นที่สุดแน่นอน
“แน่นอน หากเจ้าปฏิเสธก็ไม่เป็นไร เพียงแต่…”
ทันใดนั้นลิ่นเหวินจวินพลันถอนใจหนึ่งเฮือก เรียวคิ้วมุ่นขึ้น เรียกได้ว่าบนรูปโฉมงามทรงเสน่ห์ปานล่มเมืองมีความจนใจและเศร้าหมองอย่างที่สาธยายไม่ได้ ไม่ว่าชายใดได้เห็นอาการเช่นนี้ของนาง เกรงว่าทุกคนคงบังเกิดความสงสารในหัวใจทั้งสิ้น
สักพักนางจึงได้สติ กล่าวเสียงเบา “อันที่จริงข้าก็ไร้หนทาง เดิมทีคิดว่าหลายวันมานี้จะสามารถค้นพบวิธีคลี่คลาย นึกไม่ถึงเลยว่าศัตรูจะตัดทางเลือกทั้งปวงของข้า ทำให้ข้าไม่มีทางล่าถอยอีก สำหรับแผนปัจจุบัน ก็มีเพียงแผนโง่เขลานี้เท่านั้นแล้ว”
ศัตรู!
ไม่มีทางล่าถอย!
หลินสวินรับรู้ได้อย่างว่องไวว่าสถานการณ์ของลิ่นเหวินจวินอาจจะมาถึงขั้นอับจนหนทางแล้วก็เป็นได้ ภายใต้ความจนปัญญาถึงได้เลือกฝากฝังซย่าเสี่ยวฉงไว้กับคนแปลกหน้าอย่างตน
นิ่งเงียบสักพักหลินสวินก็ตกปากรับคำ “เสี่ยวฉงเป็นเพื่อนคนแรกที่ข้าได้พบในแคว้นวิญญาณอัคนี ในเมื่อผู้อาวุโสไหว้วาน ข้าย่อมเห็นเป็นหน้าที่ไม่อาจบอกปัด”
ไม่เพียงทำเพราะได้รับความช่วยเหลือในการเดินทางไปแดนชัยบูรพา ที่สำคัญยิ่งกว่าคือเรื่องนี้เกี่ยวโยงถึงซย่าเสี่ยวฉง ทำให้หลินสวินไม่สามารถนั่งนิ่งดูดายได้
เห็นหลินสวินรับปากอย่างเต็มใจเช่นนี้ ทำให้ลิ่นเหวินจวินอดรู้สึกผิดคาดไม่ได้ นัยน์ตาฉายแววโล่งอก ทว่าจากนั้นนางก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ กล่าวว่า “เจ้าฟังข้าให้จบก่อนแล้วค่อยตัดสินใจดีกว่า ในนี้มีภยันตรายมากมาย ย่อมไม่อาจปกปิดเจ้า”
ตั้งแต่ยุคบรรพาล เผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวก็มีศัตรูเก่าเผ่าหนึ่ง… เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ!
จิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว สุนัขสวรรค์มายาทมิฬ สองเผ่าพันธุ์ใหญ่ดุจดั่งน้ำกับไฟ ต่างฝ่ายต่างเข่นฆ่ากันไม่สิ้น ความบาดหมางฝังลึกสะสมมาหลายชั่วอายุ ไม่สามารถสลายได้สักนิด
เพียงแต่จนถึงปัจจุบัน เผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวได้ล่มสลายแล้ว คนในเผ่าเบาบางประปราย อิทธิพลไม่ยิ่งใหญ่เหมือนเมื่อก่อน มิได้รุ่งเรืองดั่งสมัยบรรพกาลแล้ว
กระทั่งเพื่อความอยู่รอด เผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวไม่อาจไม่หลบซ่อน ใช้ชีวิตตรากตรำเสี่ยงภัยอย่างที่คนนอกไม่สามารถจิตนาการได้
ย้อนมองเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ กลับต่างจากเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวอย่างสิ้นเชิง
พวกเขาหยัดยืนมาจนถึงทุกวันนี้ อิทธิพลยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ รากฐานมั่นคงแข็งแกร่ง ผู้มีพรสวรรค์มากมาย ยอดฝีมือดั่งเมฆินทร์ เรียกได้ว่าเป็นขุมอำนาจใหญ่แห่งหนึ่งในดินแดนรกร้างโบราณ!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ในฐานะศัตรูเก่าคู่อาฆาต สถานการณ์เอาตัวรอดของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวที่แต่เดิมก็ล่มสลายและโรยราอยู่แล้ว แค่คิดก็รู้ว่าจะตรากตำเพียงใด
ลิ่นเหวินจวินก็มาจากเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว เดิมทีนางยังมีอีกฐานะหนึ่ง นั่นก็คือเจ้าสำนักแห่งสำนักยุทธ์กลุ่มดาว แต่ไม่ทราบว่าข่าวรั่วไหลได้อย่างไร ทำให้ตัวตนของนางถูกเปิดเผย เรียกความสนใจของศัตรูเก่าเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ
เมื่อสิบกว่าวันก่อน ลิ่นเหวินจวินก็เคยถูกยอดฝีมือที่เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬส่งมาปิดล้อมเอาไว้ จนเกือบถูกจับตัวไป
“ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วกระมัง ศัตรูของข้าคือเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ นี่เป็นอิทธิพลยิ่งใหญ่น่ากลัว ปกคลุมทั่วสารทิศในดินแดนรกร้างโบราณ หากเจ้ารับปากเรื่องนี้ก็อาจจะพลอยติดร่างแห ถูกเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬล้างแค้นเอาได้”
ลิ่นเหวินจวินกล่าวเสร็จก็มองหลินสวินเงียบๆ นางตัดสินใจไว้แล้ว แม้ว่าหลินสวินไม่รับปาก นางก็จะช่วยเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้สักแรง
การทดสอบของซย่าเสี่ยวฉงที่ภูเขาโคม่วงนางได้ยินมาก่อนแล้ว รู้ดีว่าหากไม่ได้หลินสวิน ซย่าเสี่ยวฉงอาจจะประสบอันตรายที่ไม่อาจคาดเดาได้มากมาย
สายตาของหลินสวินมองไปทางซย่าเสี่ยวฉงที่นอนหลับอยู่บนเตียง นึกถึงประสบการณ์ต่างๆ ที่เขาได้พบระหว่างทางกับซย่าเสี่ยวฉงตั้งแต่มาถึงดินแดนรกร้างโบราณ มุมปากผุดรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่งขึ้นมา
นี่คือเด็กสาวที่ไร้เดียงสา บริสุทธิ์ ซุกซนและน่ารักคนหนึ่ง ขาวสะอาดจนเหมือนกับกระจกแก้วกระดาษขาว
แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ซย่าเสี่ยวฉงเป็นเพื่อนคนแรกที่เขาได้พบหลังจากเข้ามาในดินแดนรกร้างโบราณ!
นี่มันถูกกำหนดไว้แต่แรกแล้ว ไม่ว่าสถานการณ์อะไร หลินสวินก็ไม่อาจกอดอกชมดูอยู่เฉยๆ เป็นแน่
ดังนั้นยามเขาเก็บสายตากลับมา ก็ตกลงรับหน้าที่เรื่องนี้อย่างสงบนิ่ง เขาเข้าใจภัยอันตรายในนั้น แต่ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ
ในดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้ เขาคือเด็กกำพร้าตัวคนเดียว ย่อมไม่กริ่งเกรงผู้ใด ยิ่งกว่านั้นในบรรดาศัตรูคู่อาฆาตของเขามีสำนักกระบี่เทียมฟ้า แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ และอื่นๆ อีกมากมาย
ดังคำกล่าวที่ว่ามีเหามากแล้วไม่กลัวคัน คนเปลือยเท้าไม่กลัวผู้สวมรองเท้า หลินสวินไม่สนใจด้วยซ้ำว่าด้วยเหตุนี้จะไปล่วงเกินขุมอำนาจอีกหนึ่งเผ่า
“เจ้าแน่ใจหรือ”
ลิ่นเหวินจวินทำใจแล้วว่าจะถูกหลินสวินปฏิเสธ ทว่าคิดไม่ถึงจริงๆ หลังจากหลินสวินรู้เหตุผลทั้งหมดนี้แล้วยังคงตกปากรับคำอย่างเยือกเย็นเช่นนี้อยู่ดี
หลินสวินยิ้มแล้ว “ผู้อาวุโส ท่านคิดว่าข้าเหมือนกำลังล้อเล่นอยู่หรือ”
“เพราะอะไร” ลิ่นเหวินจวินอึ้งงัน ดูเหมือนได้รู้จักหลินสวินใหม่อีกครั้งไม่มีผิด
“ข้ามีน้องสาวคนหนึ่งชื่อซย่าจื้อ”
หลินสวินเอ่ยเหตุผลประหลาดอย่างหนึ่งออกมา ทั้งยังกล่าวอย่างจริงจังมากว่า “เสี่ยวฉงก็แซ่ซย่า นี่ก็คือโชคชะตา สวรรค์ลิขิตไว้แต่แรกแล้วว่าควรมีเหตุและผลเช่นนี้ หากข้าปฏิเสธ ไม่ใช่ว่าจะผิดประสงค์ของสวรรค์หรอกหรือ”
ดวงตาเรียวชี้ของลิ่นเหวินจวินทอประกายแวววาว ดุจดั่งคลื่นวสันต์ว่ายเวียน งามพิลาศเหนือสรรพสิ่ง นางคล้ายซาบซึ้งยิ่ง สักพักกว่าจะกล่าวคำเนิบช้าออกมา “โชคของเสี่ยวฉงดีกว่าข้า อย่างน้อยนางก็ได้พบชายที่ควรค่าแก่การฝากฝัง ส่วนข้า… อย่าเอ่ยถึงดีกว่า”
นางคล้ายนึกถึงอดีตอันสุดแสนจะทานทนบางอย่างขึ้นมา
ส่วนหลินสวินก็อดยิ้มเจื่อนไม่ได้ อะไรคือควรค่าแก่การฝากฝัง?
แต่ว่าลองคิดดูแล้ว หลินสวินก็เข้าใจว่าเหตุใดซย่าเสี่ยวฉงมักชอบเอาคำพูดของอาจารย์นางมาหักล้างโต้แย้งตน
ก่อนหน้านี้ลิ่นเหวินจวินจะต้องเคยถูกทำร้ายจิตใจมามากเป็นแน่!
“รับป้ายคำสั่งเซียนเหินชิ้นนี้ไป”
จู่ๆ ลิ่นเหวินจวินก็ล้วงป้ายคำสั่งหนึ่งอันออกมาหลังจากลังเลเล็กน้อย ก่อนยื่นให้หลินสวิน “อย่าปฏิเสธเลย เจ้ายึดมั่นเที่ยงธรรม ข้าเองก็ไม่อาจไม่ตอบแทน ถือเสียว่าสมบัติชิ้นนี้เป็นน้ำใจส่วนหนึ่งจากข้าแล้วกัน”
ป้ายคำสั่งนี้ประดุจตีหลอมมาจากหยกมันแพะ ขนาดเท่าฝ่ามือ รัศมีสีเขียวอ่อนหลายสายอาบไล้ แสงแวววาวดั่งหยกมรกต
มองเห็นได้รำไรว่าในป้ายคำสั่งนั้นรายล้อมด้วยไอเซียน ละอองแสงดุจเหาะเหิน ถึงขนาดมีกลิ่นอายประหนึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์ประการหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าลึกลับและไม่ธรรมดา
ป้ายคำสั่งเซียนเหิน?
หัวใจของหลินสวินสั่นสะเทือน ป้ายคำสั่งหยกชิ้นนี้ถึงขั้นกล้านำคำว่า ‘เซียนเหิน’ มาตั้งชื่อ นี่มันผิดธรรมดามากเกินไปแล้ว!
พริบตานั้นเขาก็สรุปได้ว่าป้ายคำสั่งนี้จะต้องประเมินมูลค่าไม่ได้ มีที่มาน่าทึ่งเป็นที่สุดอย่างแน่นอน!
ดังคาด ครู่ต่อมาลิ่นเหวินจวินก็สื่อจิตกล่าวว่า ‘เจ้าจะต้องดูแลรักษาของสิ่งนี้ให้ดี อย่าเผยออกไปง่ายๆ เด็ดขาด มันเป็นถึงสมบัติลับที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวของข้า และเกี่ยวข้องกับความลับยิ่งใหญ่ของ ‘แหล่งสถานคุนหลุน’ หนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาล แม้แต่อริยะได้พบเห็น ก็จะต้องบังเกิดความละโมบอยากฆ่าคนเพื่อชิงสมบัติ!’
……………..