Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 813 สำนักกระบี่โผผิน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 813 สำนักกระบี่โผผิน
ตอนที่ 813 สำนักกระบี่โผผิน
หลินสวินหันไป มุมปากหยักโค้งขึ้น หันมองเด็กหนุ่มหล่อเหลาที่กระโชกโฮกฮากใส่ตนพร้อมพูดเสียงเรียบ “เจ้าหนู ระวังภัยจะมาจากปาก”
เด็กหนุ่มหล่อเหล่าคนนั้นเดือดดาล ใช้นิ้วชี้หลินสวินพลางกล่าว “ภัยจะมาจากปากงั้นเหรอ เจ้ากล้าข่มขู่ข้า พูดมา! ใครส่งเจ้ามา ถ้าไม่ตอบตามความจริง วันนี้ก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไป!”
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
ใกล้ๆ เด็กหนุ่มรูปงาม ผู้คุ้มกันทั้งหมดต่างชักอาวุธออกมา จ้องหลินสวินอย่างเย็นชา ท่าทางเตรียมพร้อมลงมือตลอดเวลา
ความเย็นเยียบแวบผ่านเข้ามาในแววตาของหลินสวิน เขารู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจผิด
ทว่าแม้จะเข้าใจผิดก็ไม่ควรเผด็จการขนาดนี้หรือเปล่า
“หากข้าอยู่ต่อ เจ้าจะรับผลลัพธ์ได้หรือ”
หลินสวินพูดสบายๆ ความลุ่มลึกของเสียงคำรามผู่เหลาขับเคลื่อนไปอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้เสียงของเขาแฝงพลังชวนตะลึงที่น่าสะพรึงกลัว
เด็กหนุ่มรูปงามนั่นสั่นเทิ้มไปทั้งกาย เท้าเซถอยล้มลงกับพื้น สะเทือนไปทั้งร่าง
ผู้คุ้มกันเหล่านั้นหัวใจสะท้าน ร้อนรนอย่างที่สุด ยากจะเชื่อนัก ภาพนี้แปลกประหลาดเกินไป คำพูดเดียวเท่านั้นก็สยบคุณชายน้อยของพวกเขาได้แล้ว!
“เจ้ากล้าลอบโจมตี!”
เด็กหนุ่มหล่อเหล่าคนนั้นกรีดร้อง เคียดแค้นอย่างที่สุด “พวกเจ้ายังอึ้งอะไรอยู่ ไปฆ่าไอ้สารเลวนั่นซะ!”
หลินสวินขมวดคิ้ว ถ้าเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ หลังจากถูกโจมตีเช่นนี้จะต้องระแวงและระมัดระวัง ไม่กล้าเหิมเกริมกับตนอีก
แต่เด็กหนุ่มคนนี้กลับแตกต่าง เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเด็กหนุ่มที่ถูกเลี้ยงอย่างตามใจมาตั้งแต่เด็ก ที่ผ่านมายโสโอหังจนติดเป็นนิสัย ไม่เคยเสียเปรียบอะไรมาก่อน
“หุบปาก!”
เหตุการณ์เข่นฆ่ากำลังจะเกิดขึ้น ก็เห็นว่าตอนนี้เองในที่สุดหญิงสาวอ่อนโยนที่เดินออกจากเกี้ยวสมบัติก็หมดความอดทน ดุว่าเด็กหนุ่มรูปงาม “เสี่ยวเทียน เจ้าก่อเรื่องพอหรือยัง ไม่ถามความจริงให้รู้เรื่องก็ฆ่าฟันกัน นี่จะกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว!”
ตอนที่นิ่งเงียบนางดูอ่อนโยนมาก แต่พอโกรธขึ้นมากลับแฝงความน่าเกรงขามอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้สีหน้าของเด็กหนุ่มหล่อเหลาเปลี่ยนไป สุดท้ายก็อดกลั้นไม่เอ่ยวาจา
ในเวลานั้นหญิงสาวหันมองหลินสวิน พูดอย่างรู้สึกผิด “น้องชายคนเล็กคนนี้ของข้าถูกตามใจจนเสียคน จึงล่วงเกินคุณชาย หวังว่าคุณชายจะเข้าใจ”
หลินสวินขานรับว่าอ้อ ท่าทางคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ในเมื่อเจ้ารู้แต่แรกว่านิสัยของเขาแย่เพียงนี้ ก่อนหน้านี้กลับไม่ห้าม หรือต้องการพิสูจน์ความอดทนของข้า”
สีหน้าของหญิงสาวยิ่งรู้สึกผิด “ที่แท้คุณชายก็ดูออกแล้ว นี่เป็นความผิดของข้าจริงๆ หากคุณชายไม่พอใจ ข้ายินดีมอบความจริงใจให้คุณชายเป็นการชดเชย”
นางจริงใจมาก ไม่ได้เถียงและปกปิด ทำให้หลินสวินอึ้งไป ในใจแอบพูดว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา
“ไม่จำเป็น ในเมื่อเป็นเรื่องเข้าใจผิดข้าย่อมไม่ถือสาเด็กเมื่อวานซืน ขอตัว” หลินสวินโบกมือง่ายๆ แล้วพลันหมุนตัวจะจากไป
ผู้หญิงคนนั้นร้อนรนเล็กน้อย รีบเอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายมีนามว่าอะไร”
หลินสวินพูด “พบกันโดยบังเอิญเท่านั้น ถามเรื่องนี้ทำไม”
หญิงสาวอธิบาย “คุณชายอย่าได้เข้าใจผิด เมื่อครู่นี้ล่วงเกินไปมาก ข้าเพียงอยากชดเชยความผิดอย่างเต็มที่ มิฉะนั้นคงรู้สึกไม่สบายใจ”
หลินสวินถอนหายใจในใจ ไม่สนใจนัก ท่าทีของผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะจริงใจอ่อนโยน ความจริงแอบแฝงความเร้นลับเอาไว้
นางพูดไปพูดมา ก็เพื่ออยากยืนยันฐานะของตน จะได้คาดเดาจุดประสงค์ที่ตนมาที่นี่ก็เท่านั้น
ก็หมายความว่าจวบจนกระทั่งตอนนี้นางยังคงสงสัยว่า ที่จู่ๆ ตนปรากฏตัวหน้าเทือกเขาซึ่งมีชีพจรปราณวิญญาณแห่งนี้ เพราะมีจุดประสงค์อื่น
หลินสวินฝึกปราณมาถึงวันนี้ คลื่นลมอะไรบ้างที่ไม่เคยเจอ ความคิดเพียงเล็กน้อยเท่านี้เขามองออกในแวบเดียว ไม่จำเป็นต้องคาดเดาด้วยซ้ำก็
“หากเจ้าอยากชดเชยจริงๆ ก็ไปขุดสายแร่วิญญาณของเจ้าอย่างสบายใจเถอะ ของแค่นี้ไม่เข้าตาข้าหรอก” หลินสวินทิ้งประโยคนี้เอาไว้แล้วลอยตัวออกไปอย่างไม่ลังเลอีก
ผู้หญิงคนนั้นสีหน้าแข็งทื่อ ใบหน้างดงามร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เจ้าหมอนี่… ดันอ่านใจตนออกตั้งแต่แรกแล้วงั้นหรือ
นางคล้ายคิดอะไรอยู่ ตระหนักได้อย่างมีไหวพริบว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดายิ่ง ต่างจากเหล่าผู้กล้าที่โดดเด่นที่นางเคยเจอมา
“คุณชาย ข้านามว่าอวี๋เสวี่ยเจียว มาจากเมืองก่วมหิมะ ต่อไปหากมีวาสนาได้พบกันอีกจะชดเชยและตอบแทนแน่!”
นางพูดเสียงใส เสียงดังออกไปไกลมาก เพียงแต่เสียดายที่หลินสวินไปไกลแล้ว จึงไม่รู้ว่าได้ยินหรือไม่
“ท่านพี่ ด้วยฐานะของท่าน เหตุใดต้องเคารพเจ้าหมอนั่นขนาดนี้ ข้าว่าเจ้าหมอนั่นเจ้าเล่ห์อย่างเห็นได้ชัด มีเจตนาไม่ดี!” เด็กหนุ่มรูปงามนั่นไม่พอใจมาก เขามีชื่อว่าอวี๋เสวี่ยเทียน เป็นน้องชายแท้ๆ ของอวี๋เสวี่ยเจียว
ผู้คุ้มกันคนอื่นๆ ก็สงสัยมาก
ตระกูลอวี๋ของพวกเขาทรงอิทธิพลเป็นอันดับหนึ่งในเมืองก่วมหิมะ ชื่อเสียงเลื่องลือในรัศมีหนึ่งหมื่นลี้นี้ และด้วยฐานะหญิงสาวรุ่นเยาว์ตระกูลอวี๋ที่โดดเด่นที่สุด ในเมืองก่วมหิมะ อวี๋เสวี่ยเจียวเรียกได้ว่ามีชื่อเสียงโด่งดัง ฐานะสูงส่ง
แต่ตอนนี้นางกลับทั้งยอมถอยและขอโทษเด็กหนุ่มที่ไม่คุ้นหน้าคนนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า นี่เห็นได้ชัดว่าผิดปกติเกินไป!
อวี๋เสวี่ยเจียวชะงักไปครู่หนึ่งจึงถอนหายใจเบาๆ “พวกเจ้าจะเข้าใจอะไร เมื่อครู่นี้หากเขาต้องการช่วงชิงสายแร่วิญญาณแห่งนี้จริงๆ ในบรรดาพวกเราใครก็ขวางไม่อยู่”
นางฝึกวิชาลับจิตวิญญาณมาตั้งแต่เด็ก การรับรู้ยิ่งใหญ่อย่างที่สุด ตั้งแต่เห็นหลินสวินในแวบแรกนางก็รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่สุด ราวกับหุบเหวใหญ่ที่ลึกล้ำเกินจะคาดเดา!
“พวกเราออกมาเกือบเดือนแล้ว ควรจะกลับเมืองได้แล้ว…” จู่ๆ อวี๋เสวี่ยเจียวก็ตัดสินใจ ดูกะทันหันมาก ทำให้คนอื่นๆ ต่างอึ้งงัน
กลับเมืองก่วมหิมะหรือ
……
สองชั่วยามหลังจากนั้น
ทอดสายตามองไป ลักษณะภูมิประเทศเปลี่ยนเป็นราบเรียบและกว้างขวางขึ้น
บนทุ่งรกร้าง หมู่เขาค่อยๆ ซ่อนตัวบนเส้นขอบฟ้า สามารถมองเห็นเค้าโครงกำแพงเมืองขนาดใหญ่แห่งหนึ่งแต่ไกล
หลังจากหลินสวินมาถึงที่นี่ก็ชะลอความเร็ว มุ่งหน้าไปทางกำแพงเมือง
ตั้งแต่ออกจากนครเตโชจนถึงตอนนี้ เขาเดินทางอย่างยากลำบากในพื้นที่รกร้างมาเดือนกว่าแล้ว ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืนก็มีสัตว์อสูร สัตว์ปีศาจเดินอยู่ในภูเขาลึกเป็นเพื่อน
ตามการคาดเดาของหลินสวิน ตลอดทางเขาเดินผ่านมาอย่างน้อยหลายแสนลี้แล้ว ระหว่างทางนอกจากถูกผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬตามฆ่า ยังพบเจออันตรายอีกไม่รู้เท่าไหร่
ถึงอย่างไรในพื้นที่ดิบเถื่อนดั้งเดิมที่เทือกเขาที่เรียงราย สัตว์ปีศาจกระจายอยู่ทุกแห่งหน สัตว์อสูรหลากสายพันธุ์ปิดขวาง ทั้งยังมีอันตรายจากแมลงมีพิษ หนทางยากลำบากมาก หากคนทั่วไปอยากจะเดินทางบนเส้นทางเช่นนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย
แม้แต่ผู้ฝึกปราณทั่วไปก็ไม่กล้าเดินทางกลางป่าเขาอันกว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้เพียงลำพังเหมือนหลินสวิน
ตอนนี้ในที่สุดก็มองเห็นกำแพงเมืองหนึ่ง ทำให้ในใจหลินสวินเองตื่นเต้นขึ้นมา เขาจำเป็นต้องสอบถามและยืนยันเส้นทางไปแคว้นหงส์สถิตสักหน่อยก่อน
ในเวลาเดียวกันก็ต้องเปลี่ยนของใช้จำเป็นบางส่วน อย่างเช่นแกนวิญญาณที่ต้องใช้ในการฝึกปราณ รวมทั้งหยกควบรวมจิตระดับกลางที่ป้อนหนอนกินเทพ
อีกทั้งในเมืองก็สามารถรู้เรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในแดนฐิติประจิมในช่วงที่ผ่านมาได้
เมื่อออกจากเทือกเขากว้างสัตว์อสูรก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้นแล้ว ระหว่างทางหลินสวินเริ่มเจอคนบ้างแล้ว
ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้า เข้าออกผืนป่าโบราณเพื่อขุดและเก็บโอสถวิญญาณกับหญ้าวิญญาณ อีกทั้งรับซื้อพวกหนังสัตว์จากชาวเขา แม้หนทางจะอันตราย แต่กลับได้รับผลประโยชน์ไม่น้อยเลย
จากปากพวกเขา หลินสวินได้รู้ว่าเมืองที่อยู่ห่างไปนั่นชื่อว่าเมืองก่วมหิมะ ตั้งอยู่แถบชายแดนของแคว้นล้ำเมฆา
แคว้นล้ำเมฆาเป็นพื้นที่ที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งในแดนฐิติประจิม
เหตุผลก็อยู่ที่ว่า แคว้นนี้มีสำนักโบราณที่ทรงอิทธิพลอย่างมากต่อทั้งแดนฐิติประจิม…
สำนักกระบี่โผผิน!
ว่ากันว่าสำนักนี้มีลูกศิษย์แปดพันคน เป็นระดับหยั่งสัจจะสามพันคน มีรากฐานที่แข็งแกร่งน่าหวาดหวั่น ดึงดูดสายตาผู้คนที่สุด ในสำนักกระบี่โผผินมีราชันกระบี่หกคนและอริยะกระบี่กึ่งระดับหนึ่งคนควบคุมด้วยตัวเอง!
ราชันกระบี่!
เป็นชื่อเรียกผู้ยิ่งใหญ่ที่ฝึกปราณสายกระบี่ และเป็นราชันระดับสังสารวัฏแล้ว
ส่วนอริยะกระบี่กึ่งระดับยิ่งวิปริตกว่า เป็นบุคคลผู้น่าสะพรึงที่ก้าวผ่านอมตะนพเคราะห์แล้ว ขาดอีกเพียงก้าวเดียวก็จะกลายเป็นอริยะ
สำนักกระบี่โผผินสำนักเดียว ก็มีราชันกระบี่ถึงหกคนและอริยะกระบี่กึ่งระดับคนหนึ่งควบคุม แค่คิดก็รู้ว่าขุมอำนาจนี้แข็งแกร่งเพียงใด!
และเพราะเหตุนี้ สำนักกระบี่โผผินจึงถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งในแดนฝึกปราณศักดิ์สิทธิ์ของแดนฐิติประจิม ถือเป็นขุมอำนาจใหญ่แห่งหนึ่งในหมู่สำนักโบราณ
ถ้าพูดถึงฐานะ ก็ด้อยกว่าสำนักอันดับหนึ่งของแดนฐิติประจิมอย่างเรือนกระบี่เร้นปุจฉาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ถึงอย่างไรเรือนกระบี่เร้นปุจฉาก็มีอริยะที่แท้จริงควบคุม เพียงจุดนี้ก็สามารถแสดงถึงความโดดเด่นของรากฐานได้แล้ว
ฮูว~
บนฟากฟ้าจู่ๆ ก็เกิดคลื่นสะท้านขวัญ ปักษาเทพที่ขาวดั่งหิมะ น่าเกรงขามอย่างที่สุดตัวหนึ่งขวางกั้นกลางอากาศ บรรทุกชายหญิงรุ่นเยาว์สิบกว่าคน
ที่นี่ห่างจากประตูเมืองใหญ่อย่างเมืองก่วมหิมะไม่ไกลแล้ว ระหว่างทางมีเงาร่างมากมายเดินไปเดินมา ตอนนี้ต่างตื่นตกใจ อดเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้
จากนั้นเสียงฮือฮาก็ดังขึ้น
“นี่คือปักษาหิมะเลือดหงส์ตัวหนึ่ง มีสายเลือดหงส์ยักษ์โบราณ กลิ่นอายน่าสะพรึงมาก เกรงว่าจะมีอานุภาพเทียบได้กับราชันกึ่งระดับ!”
“ปักษาหิมะเลือดหงส์ ข้ารู้แล้ว พวกเขาเป็นผู้สืบทอดจากสำนักกระบี่โผผิน!”
สถานการณ์ดูสับสนวุ่นวายขึ้นมาในชั่วขณะ หลายคนยากจะปกปิดสีหน้าตะลึงและคลั่งไคล้ สำนักกระบี่โผผินเป็นแดนฝึกปราณศักดิ์สิทธิ์ที่สูงส่งที่สุดในแคว้นล้ำเมฆาเชียวนะ!
และตอนนี้ปักษาหิมะเลือดหงส์ตัวหนึ่งลงมาจากฟ้า บรรทุกผู้สืบทอดสำนักกระบี่โผผินรุ่นเยาว์สิบกว่าคน มาปรากฏตัวตรงชายแดนของเมืองก่วมหิมะ นี่จะไม่ให้อึ้งตะลึงได้อย่างไร
ที่มาพร้อมกับความตกตะลึงก็คือความสงสัยใคร่รู้ ว่าผู้สืบทอดสำนักกระบี่โผผินเหล่านี้มาเยือนเมืองก่วมหิมะเพื่อการใด
ตอนนี้หลินสวินเพิ่งมาถึงหน้าประตูเมืองนั่น กำลังเตรียมจะเข้าไป พบเห็นภาพนี้เข้าสายตาจึงถูกดึงดูดไปด้วย
พรึ่บ!
ปักษาหิมะเลือดหงส์ลดระดับลง ลมกระโชกแรงกวาดพื้นดิน เศษฝุ่นบินว่อน
ผู้สืบทอดสำนักกระบี่โผผินสิบกว่าคนลอยตัวลงสู่พื้นอย่างแผ่วเบา หนุ่มหล่อสาวสวย แต่ละคนราวกับเซียนมาเยือนโลก เรียกได้ว่าเป็นมังกรหงส์ในหมู่ผู้คน ต่างโดดเด่นในแบบที่แตกต่างกัน
โดยเฉพาะชายคนที่เป็นหัวหน้า เขาสวมเสื้อขนนก ศีรษะสวมเกี้ยวประดับรุ้งดารา เสื้อผ้าพลิ้วไหว ห้าวหาญองอาจ ท่าทางกระปรี้กระเปร่า
สายตาของเขาราวกับสายฟ้า เส้นผมดำราวกับหมึก รูปร่างสง่าดุจกระบี่ ยืนอยู่ตรงนั้นง่ายๆ เหมือนดั่งเซียนกระบี่ในตำนาน มีบุคลิกอันพลิกฟ้า
“สวรรค์ นั่นคงไม่ใช่จั๋วขวงหลันหรอกนะ”
ในที่นั้นมีคนอุทานด้วยความตกใจ สร้างความสะเทือนอย่างหนัก ผู้ฝึกปราณรอบๆ ต่างสูดหายใจไม่หยุด
จั๋วขวงหลัน!
ยอดคนรุ่นเยาว์แห่งสำนักกระบี่โผผิน เบียดตัวเข้ามาอยู่ในห้าอันดับแรกของศิษย์สืบทอดของสำนัก ชื่อเสียงโด่งดังอย่างมากในแดนฐิติประจิม เสมือนดวงดาวที่สะดุดตาในบรรดาคนรุ่นเยาว์ แสงประกายไกลหมื่นจั้ง
ต่อให้เป็นหลินสวิน เมื่อเห็นบุคลิกของคนผู้นี้แล้วยังอดหรี่ตาไม่ได้ สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของอีกฝ่าย เขามีความน่าเกรงขามซ่อนอยู่ น่าหวาดหวั่นอย่างมาก
ทว่าไม่นานสายตาหลินสวินก็ถูกชายคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ จั๋วขวงหลันดึงดูด
เหตุใดจึงเป็นเขา
เมื่อแน่ใจในตัวตนของชายคนนั้นแล้ว หลินสวินก็ใจสะท้าน ไม่อยากจะเชื่อนัก คิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอคนผู้นี้ที่นี่