Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 825 ไป่เฟิงหลิว
ตอนที่ 825 ไป่เฟิงหลิว
โก่วซวีสิงเสียการควบคุมโดยสิ้นเชิง
สีหน้าของเขาปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ ทรวงอกกระเพื่อมไหว ไม่มีความสงบนิ่งและสุขุมอีกแล้ว
ราชันกึ่งระดับห้าคนออกโจมตี กลับเหลือเพียงคนเดียวที่หนีกลับมาหัวซุกหัวซุน ส่วนอีกสี่คนที่เหลือประสบเคราะห์ทั้งสิ้น นี่ทำให้โก่วซวีสิงไม่อาจยอมรับได้
ความล้มเหลวคราวก่อนเป็นเพราะราชันอสูรเนตรทองนอเดียวตัวหนึ่งลงมือ เช่นนั้นแล้วคราวนี้เล่า
หรือเจ้าเด็กนั่นจะขอให้สิ่งมีชีวิตระดับราชันสักตนมาช่วยเขา
จากนั้นโก่วอิงก็เล่าเรื่องศึกใหญ่ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อย่างหมดเปลือก ทั้งแสดงอย่างชัดเจนว่าหลินสวินไม่ได้เป็นแค่ผู้กล้าแห่งยุคทั่วๆ ไป
พลังต่อสู้ของเขา รวมถึงวิชาลับและสมบัติที่ใช้ล้วนเรียกได้ว่าน่าพรั่นพรึงและเย้ยฟ้า ไม่มีทางใช้สามัญสำนึกทั่วไปมาประเมินได้
“เป็นเช่นนี้เชียว…”
เมื่อโก่วซวีสิงได้รู้ความจริงก็แทบจะพังทลาย เขารู้สึกว่าน่าขันเกินไปแล้ว
เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งนะ ภายใต้การล้อมโจมตีของราชันกึ่งระดับห้าคน ไม่เพียงไม่ถูกสังหาร กลับถูกเขาเอาชนะในคราวเดียวได้อย่างนั้นหรือ
หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ใครจะเชื่อกัน
เดิมทีในใจโก่วหยางป๋อกับโก่วหยางทงยินดีปรีดานัก ออกจะมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นอยู่บ้าง ย่ามใจที่ได้เห็นโก่วซวีสิงพบความล้มเหลว
แต่เมื่อได้ยินคำอธิบายถึงการต่อสู้ที่เกิดขึ้นจริงจากโก่วอิง พวกเขาก็สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันตา แววตาไหววูบไม่ว่างเว้น
“เด็กนี่ต้องก้าวเข้าสู่มกุฎมรรคาแล้วแน่ๆ อีกทั้งวิชาลับที่ครอบครองก็ต้องสะท้านโลกาหาใดเปรียบ”
โก่วหยางป๋อเอ่ยเสียงต่ำลึก “แต่หากเพียงเท่านี้ ยังไม่มีทางข้ามระดับใหญ่หนึ่งระดับไปฆ่าราชันกึ่งระดับได้”
“ใช่แล้ว ที่สำคัญที่สุดคงจะอยู่ที่สมบัติที่เขาใช้ชิ้นนั้น!” โก่วหยางทงก็เอ่ยปาก ดวงตาขุ่นมัวปรากฏแสงน่าหวาดหวั่น
“และหากว่ากันเรื่องสมบัติในยุคปัจจุบัน แม้แต่ยอดศาสตรามรรคราชัน ก็ไม่มีทางสังหารราชันกึ่งระดับคนหนึ่งได้ซึ่งหน้า ถ้าสันนิษฐานเช่นนี้ สมบัตินี้ต้องเป็น…”
พูดถึงตรงนี้ ราชันทั้งสองอย่างโก่วหยางป๋อและโก่วหยางทงล้วนหนังตากระตุก พูดพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายว่า “สมบัติอริยมรรค!”
เมื่อพูดคำนี้ออกมา โก่วซวีสิงและโก่วอิงล้วนหน้าเปลี่ยนสีไม่หยุด จิตใจไม่อาจสงบนิ่งได้
สมบัติอริยมรรคหรือ
เพียงแค่ความหมายที่คำนี้แสดงออกมาก็ทำให้ผู้อื่นรู้สึกราวขาดอากาศหายใจแล้ว
เพราะสมบัติชั้นนี้มีอานุภาพน่าหวั่นกลัวเหนือจินตนาการ ตามคำร่ำลือ สมบัติอริยมรรคที่แท้จริง เพียงกลิ่นอายก็สามารถกำราบจนราชันเงยหน้าขึ้นมาไม่ได้!
โก่วหยางป๋อนิ่วหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ อาจจะเป็นศาสตราจิตชั้นยอดชิ้นหนึ่งก็ได้ แต่ว่าถ้าเป็นเช่นนี้จริง นั่นหายากยิ่งกว่าสมบัติอริยมรรคเสียอีก…”
ศาสตราจิต ไร้เทียมทานและหาได้ยาก ใช้วัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงหลอมขึ้นมา พบเห็นได้ในสมัยบรรพกาลเท่านั้น ในโลกยุคปัจจุบัน ต่อให้เป็นราชันที่แท้จริงก็แทบจะครอบครองสมบัติเช่นนี้ได้ยาก
อานุภาพของศาสตราจิตอาจไม่น่ากลัวเท่าสมบัติอริยมรรค แต่มันกลับหายากกว่า กระทั่งว่าศาสตราจิตบางชิ้นก็เป็นสมบัติล้ำค่าแห่งอริยมรรค!
อย่างไรเสียศาสตราจิตก็เป็นเพียงนามเรียกทั่วไป หมายถึงสมบัติลี้ลับล้ำค่าที่สามารถใช้วิชาจิตขับเคลื่อนควบคุม
สบบัติอริยมรรคที่มีคุณประโยชน์เหลือเชื่อบางชิ้นก็มีพลานุภาพเช่นนี้เช่นกัน
“ยานสมบัติที่เหมือนสมบัติอริยมรรคชำรุดลำหนึ่ง ดาบหักที่เหมือนศาสตราจิตไร้เทียมทานเล่มหนึ่ง… และพลังของเจ้าเด็กนี่ก็น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ เป็นไปได้สูงที่จะก้าวเข้าสู่มกุฏมรรคา ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ก่อนหน้านี้เจ้าเด็กนี่จะต้องเคยได้รับมหาศุภโชค!”
โก่วหยางทงผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาวาวโรจน์ราวตัดรัตติกาล
“ก็ถึงเวลาที่พวกเราจะลงมือแล้ว”
อีกด้านหนึ่งโก่วหยางป๋อก็ลุกขึ้นช้าๆ เอ่ยปากเสียงเบา
“ไป!”
ราชันทั้งสองไม่ลังเลสักนิด เงาร่างไหววูบ หายตัวไปในอากาศ
ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่ได้ถามความเห็นของโก่วซวีสิงเลย ประหนึ่งละเลยเขาไปแล้ว
เห็นได้ชัดว่าตั้งแต่พวกเขาแน่ใจว่าหลินสวินมีศุภโชคอยู่กับตัว ตัวตนของหลินสวินก็ดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้สำเร็จ
ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ต่อให้มีฐานะเป็นราชัน แต่พวกเขาก็มีความปรารถนาต่อสมบัติอริยมรรคอย่างยิ่งยวด!
……
ครู่เดียวโก่วซวีสิงก็สีหน้าเหยเกหาใดเทียบ โกรธจนกัดฟันกรอด
เขารู้ว่าพริบตาที่ตาแก่สองคนนี้เคลื่อนไหว เขาก็ไม่มีโอกาส ‘ทำความดีชดใช้ความผิด’ อีกแล้ว ที่รอเขาอยู่ต้องเป็นบทลงโทษรุนแรงจากเผ่า รวมถึง…
การโจมตีและเหยียบย่ำที่เข้ามาซ้ำเติมเขานับไม่ถ้วน!
ไม่แน่ว่าชั่วชีวิตนี้จะเชิดหน้าขึ้นมาไม่ได้อีก!
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้… ทำไม… ทำไมกัน…”
โก่วซวีสิงยิ่งคิดยิ่งไม่ยินยอม ตัวเขามีสัญญาณคล้ายพังทลาย อกสั่นขวัญแขวน
“นายน้อย ไม่แน่ว่าสถานการณ์อาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ท่านคิดก็ได้ แม้เป็นตาแก่สองคนนั้นลงมือ แต่ใครจะรับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่พ่ายแพ้ล่ะ”
โก่วอิงพลันเอ่ยปาก ทำให้โก่วซวีสิงผงะไป
“ท่านคิดดูสิ ถ้าตาแก่สองคนนั้นล้มเหลวขึ้นมา ผลลัพธ์นั้นก็ยิ่งรุนแรง ความรับผิดชอบก็ไม่ได้อยู่ที่นายน้อยด้วย อย่างไรเสียขนาดราชันยังทำอะไรเจ้าเด็กนั่นไม่ได้ นับประสาอะไรกับท่านเล่า”
คำพูดของโก่วอิงราวมีมนตร์สะกด ทำให้โก่วซวีสิงที่เดิมทีหดหู่กลัดกลุ้มหาใดเปรียบกลับมาสุขุมเยือกเย็นในทันใด
“เจ้ากำลังบอกว่าตาแก่สองคนนี้ก็อาจจะคว้าน้ำเหลวกลับมาหรือ” โก่วซวีสิงกล่าวอย่างลังเล
“ก่อนที่ผลลัพธ์ของเรื่องราวจะออกมา ใครก็ไม่อาจรับประกันได้”
ดวงตาโก่วอิงไหววูบ “แต่นายน้อยอย่าลืมว่า คราวก่อนใต้เท้าโก่วขุ่ยก็ลงมือเอง ก็ไม่ใช่ว่า…”
พูดยังไม่ทันจบ ความคิดก็แสดงออกมาอย่างหมดสิ้น
โก่วซวีสิงสงบเยือกเย็นลงโดยสมบูรณ์ เพียงแต่ในใจเขายังสิ้นหวังดังเดิม เดิมทีโก่วขุ่ยถูกราชันอสูรเนตรทองนอเดียวโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ถึงได้ประสบเคราะห์
แต่ครั้งนี้เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับระชันสองคนร่วมกันลงมือ เจ้าเด็กนั่นจะยังมีโอกาสรอดชีวิตได้อย่างไร
พูดไปก็น่าเศร้า เวลานี้โก่วซวีสิงกลับไม่ต้องการให้หลินสวินตายไป
เพื่อรักษาตำแหน่งในเผ่าของตนไว้ เขากลับไม่อาจควบคุมให้ตนไม่คิดเช่นนี้ ความรู้สึกย้อนแย้งพรรค์นี้ทรมานจิตใจเขาดุจยาพิษ
“หวังว่า… จะเป็นเช่นนี้เถิด…”
ครู่ใหญ่โก่วซวีสิงถึงถอนหายใจลึกๆ สีหน้าเขาปรวนแปรไม่แน่นอน ดูน่าสะพรึงกลัวอยู่บ้างภายใต้รัตติกาล
……
“ออกมา!”
แนวเขาสูงต่ำเป็นระลอกท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี หลินสวินที่กำลังเหินทะยานอยู่พลันหยุดฝีเท้า ดวงตาราวสายฟ้ามองไปยังที่ไกลออกไปโดยฉับพลัน
“ถ้าไม่ปรากฏตัวอีก ก็อย่าโทษที่ข้าจะฟันเจ้า” มุมปากของหลินสวินยกขึ้น
“คุณชายโปรดอย่าขุ่นเคือง”
ทันใดนั้นในที่มืดใต้ตัวเขา เงาร่างเงาหนึ่งก็กระโจนผลุงขึ้นมา คารวะซ้ำไปซ้ำมาทั้งที่เหงื่อผุดเต็มหน้า เอ่ยว่า “ข้าผู้ชราไป่เฟิงหลิวแห่งเผ่าวาทวาโย รออยู่ที่นี่เพียงเพื่อสอบถามเรื่องราวบางอย่างจากคุณชายขอรับ”
นี่คือชายชราผู้หนึ่ง รูปร่างผอมบาง ผิวดำคล้ำ ท่าทางจริงใจตรงไปตรงมา
ความจริงแล้วเขาเป็นมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง ประกายแสงที่ฉายออกมาอย่างไม่รู้ตัวจากดวงตาคู่นั้นทำให้หลินสวินรับรู้ได้ว่า ตาแก่ผู้นี้ไม่ได้ตรงไปตรงมาอย่างที่แสดงออก
หลินสวินร้องอ้อ คล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “เจ้าอยากถามอะไร”
ไป่เฟิงหลิวหรือ
ชื่อนี้ไม่เห็นสมกับความจริงเลย !
กลับเห็นว่าไป่เฟิงหลิวหัวเราะแห้งๆ สองครั้งก็ก้าวมาข้างหน้าแล้วกล่าวว่า “คุณชาย ตอนนี้ท่านมีกิตติศัพท์ระบือไกล ชื่อเสียงสะเทือนสี่สมุทร เสมือนเป็นหนึ่งในบุคคลไร้เทียมทานที่ถูกจับตามองอย่างยิ่งในหมู่คนรุ่นเยาว์ไปแล้ว ช่วงนี้ไม่รู้ว่ากิตติศัพท์ของท่านจะเกริกก้องในเมืองต่างๆ อีกไม่รู้เท่าไร…”
“เลิกพูดจาไร้สาระแล้วเข้าประเด็นเสียที” หลินสวินเอ่ยตัดบทอย่างไม่เกรงใจ
ไป่เฟิงหลิวหัวเราะอย่างอักอ่วนแล้วพูดว่า “เอ่อ ความจริงก็ง่ายดายนัก ข้าผู้ชรามาจากเผ่าวาทวาโย เพียงต้องการทราบเรื่องความแค้นของท่านกับเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ อีกทั้งยังต้องการทราบสถานการณ์การต่อสู้ระหว่างท่านกับเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬตลอดทางมานี้”
หลินสวินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ตาแก่นี่แจ้นมาถึงพื้นที่รกร้างห่างไกลเช่นนี้ ก็เพื่อสืบเรื่องพวกนี้หรือ
นี่ทำให้หลินสวินนับถืออยู่บ้าง เผ่านี้ไม่เสียแรงที่เป็นชนเผ่าที่ข่าวสารรวดเร็วที่สุดในดินแดนรกร้างโบราณ ทันทีที่จะสืบข่าว ก็วิ่งมารวดเร็วกว่าใคร
แต่ในใจนับถือก็ส่วนนับถือ หลินสวินไม่คิดจะถูกตาแก่นี่ ‘สัมภาษณ์’ จึงปฏิเสธไปตรงๆ แล้วหันกายจากไป
ล้อเล่นน่า ตอนนี้เขาถูกตามฆ่าอยู่ จะไปแพร่งพรายข่าวคราวเกี่ยวกับตัวเองได้อย่างไร
เมื่อเห็นว่าหลินสวินปฏิเสธอย่างหมดจดเช่นนี้ ไป่เฟิงหลิวก็งงงวยในทันใด ครู่หนึ่งถึงพึมพำว่า “ผู้โดดเด่นวัยเยาว์คนอื่น เมื่อได้ข่าวว่าพวกเราเผ่าวาทวาโยจะมาสืบข้อมูลจากพวกเขา ต่างอยากเล่าเรื่องที่น่าลำพองใจที่สุดในชีวิตของพวกตนให้พวกเราเผ่าวาทวาโยได้กระจายกิตติศัพท์ของพวกเขาออกไป แต่ดูเจ้าหมอนี่สิ ไม่สนใจเลยสักนิด ไม่เข้าใจจริงๆ…”
แม้ไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ไป่เฟิงหลิวยังต้องปลุกจิตใจตัวเองให้ฮึกเหิม แล้วไปสืบข่าวที่เกี่ยวข้องกับหลินสวินอย่างเต็มที่
ช่วยไม่ได้ ช่วงที่ผ่านมานี้ในเขตแดนสิบกว่าแคว้นของแดนฐิติประจิม ต่างมีข่าวเกี่ยวกับศึกใหญ่ของ ‘เทพมารหลิน’ กับเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬกระจายไปอย่างกว้างขวาง
อีกทั้งข่าวนี้ยังอึกทึกครึกโครมถึงที่สุด คลื่นลมที่ก่อขึ้นมหึมานัก กระทั่งตอนนี้ยังถ่ายทอดด้วยความเร็วน่าตะลึงไปทั่วแดนฐิติประจิม
อย่างไรเสียในรุ่นเยาว์ เทพมารหลินย่อมเป็นผู้โดดเด่นคนแรกที่กล้าท้าทายเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬเช่นนี้ นอกจากนี้ยังมีผลการต่อสู้ชโลมเลือดมาพิสูจน์ว่าเขาไม่ใช่แค่คุยโว
โดยเฉพาะประโยคนั้นของเขาที่พูดว่า ‘จะสังหารสุนัขมายาทมิฬทั่วหล้า’ ยิ่งกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนแลกเปลี่ยนกันอย่างแข็งขัน
และตอนนี้ผู้ฝึกปราณหลายคนต่างรู้ว่า หลังจากเทพมารหลินออกจากเมืองก่วมหิมะ ก็ถูกผู้แข็งแกร่งที่เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬส่งมาตามสังหาร
นี่ทำให้ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นล้วนเริ่มติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด พากันสันนิษฐานว่าคราวนี้เทพมารหลินจะประสบเคราะห์หรือไม่ ทั้งจะสามารถฝ่าเส้นทางสายโลหิตแล้วจากไปอย่างยิ่งใหญ่ได้หรือเปล่า
ส่วนเผ่าวาทวาโยที่มองว่าการถ่ายทอดข่าวในใต้หล้าเป็นความรับผิดชอบของตนย่อมไม่อาจละเลยเรื่องนี้ได้ ส่งสายสืบจำนวนมากไปสืบข่าวรอบด้าน
ไป่เฟิงหลิวก็เป็นสายสืบที่อาวุโสที่สุดคนหนึ่ง เขามากด้วยประสบการณ์ มีกิตติศัพท์ว่าเป็น ‘ไป่ผู้เจนจัด’
“โธ่ น่าเสียดายนะ ไม่ใช่ง่ายๆ กว่าจะรอจนเจ้าหนูนี่มาถึง แต่เจ้าหนูนี่กลับไม่ร่วมมือ… ดูท่า มีแต่ต้องให้ข้าไปสืบเสาะเองเสียแล้ว…”
ไป่เฟิงหลิวถอนหายใจ จากนั้นก็ปลุกใจให้ฮึกเหิม ตามรอยไปตามทางที่หลินสวินจากมา ไม่ได้ไล่ตามเด็กหนุ่ม
นี่เป็นประสบการณ์ที่เขาบ่มเพาะมานานปี สัญชาตญาณบอกเขาว่าทางที่หลินสวินจากมานี้ต้องผ่านศึกนองเลือดมามากมาย
ในเมื่อมีการต่อสู้ ก็ต้องมีสนามรบเหลือทิ้งไว้ หลินสวินอาจจะไม่อยากแพร่งพรายเรื่องเหล่านี้ แต่ขอเพียงหาสนามรบพบ ก็จะสืบหาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในการต่อสู้ได้!
ดังคาด ไม่นานนักไป่เฟิงหลิวก็ตามหาสนามรบที่เสียหายไปทั่วได้
เพียงแต่ชั่วขณะที่เขาได้เห็นสนามรบนี้ ด้วยประสบการณ์ขึ้นเหนือล่องใต้มานานปี ได้ผ่านหูผ่านตามามากของเขา ก็ยังทำให้เขาตัวแข็งทื่อ สูดหายใจเยียบเย็นอย่างอดไม่ได้