Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 826 ลมพัดใต้หล้า
ตอนที่ 826 ลมพัดใต้หล้า
สนามรบครอบคลุมพื้นที่พันลี้ ภูผาธาราถล่มทลาย พื้นดินแตกระแหง ต้นไม้ใบหญ้าแปรสภาพเป็นเถ้าธุลี เห็นแต่วินาศภัยเต็มตา
ไป่เฟิงหลิวมีฐานะเป็นสายสืบเผ่าวาทวาโยที่มากประสบการณ์คนหนึ่ง เพียงครู่เดียวเขาก็รับรู้ได้ว่าที่นี่เคยเกิดศึกนองเลือดสะท้านโลกาขึ้น!
“หึ เจ้าหนูแม้เจ้าไม่ต้องการแพร่งพรายข่าวออกไป แต่ข้าก็ไม่ได้อ่อนหัด สนามรบตรงหน้านี้ก็มีข่าวใหญ่เกี่ยวกับเจ้าให้ข้าขุดได้!”
ไป่เฟิงหลิวเผยรอยยิ้ม เมื่อคิดว่าตนจะขุดคุ้ยข่าวที่สามารถทำให้ผู้คนในใต้หล้าใจสั่นระรัวข่าวหนึ่ง ในใจเขาก็อดเต้นระส่ำไม่ได้ รู้สึกตื่นเต้นเร้าใจอย่างควบคุมไม่อยู่
สวบ!
เขาไม่รีรอแล้ว เงร่างวูบไหว เริ่มสืบเสาะในสนามรบอย่างรอบคอบ
ไป่เฟิงหลิวในเวลานี้ดูตั้งใจจดจ่อ ไม่วอกแวกเลยสักนิด ถึงกับมีกลิ่นอายศรัทธาแรงกล้า
แต่ละวิชาชีพมีศาสตร์เฉพาะต่างกันไป ผู้ฝึกปราณอื่นอาจเชี่ยวชาญการศึก การหลอมอาวุธ การหลอมยา การเลี้ยงสัตว์ การปลูกพืชวิญญาณ…
ทว่าสำหรับพวกเขาเผ่าวาทวาโยแล้ว การเสาะหาและเผยแพร่ข่าวสารเป็นความสามารถที่พวกเขามีมาแต่กำเนิด!
ไม่นานนักไป่เฟิงหลิวก็พบร่องรอยการต่อสู้ครั้งนี้มากมาย เพียงแต่ยิ่งเขาพบร่องรอยมากขึ้น เขากลับไม่อาจสงบใจให้เยือกเย็นได้แล้ว
“สวรรค์! มีกลิ่นอายแตกต่างกันของราชันกึ่งระดับห้าแบบ นี่ไม่ได้หมายความว่าที่นี่มีราชันกึ่งระดับห้าคนร่วมกันลงมือหรอกหรือ”
“สนามรบครอบคลุมพื้นที่พันลี้ ภูเขาถล่มทลาย ผืนดินถูกตีแตก แน่ใจได้ว่าศึกนี้ต้องดุเดือดถึงที่สุด และยืดเยื้อไปช่วงเวลาหนึ่ง… บ้าเอ๊ย! ราชันกึ่งระดับห้าคนร่วมกันลงมือยังฆ่าเจ้าหนูนี่ไม่ตายหรือ นี่มันเย้ยฟ้าเลยนะ!”
“เอ๊ะ เศษสมบัติมรรคราชัน! ทวนยาวสีเลือดหักสะบั้น ม้วนภาพที่ถูกฉีกขาด ซากค้อนยักษ์ที่แหลกละเอียด… พวกมัน… ถึงกับถูกทำลายจนสิ้นเลยหรือ”
“ไม่สิๆ ในสนามรบพบเศษซากศพที่หลงเหลืออยู่หลังราชันกึ่งระดับสี่คนสิ้นชีพไป นี่น่าจะพิสูจน์ได้ว่ายังมีราชันกึ่งระดับอีกคนหนึ่งหนีไปแล้ว…”
ท่ามกลางรัตติกาล ตาแก่ผอมแห้งราวไม้ไผ่ผู้หนึ่งกระโดดไปมาในบริเวณนั้นเหมือนหนูนา ปากก็ร้องโวยวายดังบ้างค่อยบ้างปนเปกันไป ดูประหลาดและน่าขัน
เพียงแต่ตัวไป่เฟิงหลิวเองกลับไม่รู้ตัวเลยสักนิด ว่าเวลานี้สีหน้าเขาผันแปรไม่ว่างเว้น ในใจยิ่งเต็มไปด้วยความประหลาดใจจนแทบจะควบคุมความรู้สึกของตัวเองไว้ไม่อยู่
ครู่ใหญ่เขายืนนิ่งแล้วพ่นลมหายใจยาว พูดพึมพำอย่างเหม่อลอยอยู่บ้างว่า “ถ้าข้าแพร่ข่าวศึกนี้ออกไป ต้องถูกหาว่าเสียสติแล้วแน่ๆ… ให้ตายสิ นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!”
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ เวลานี้ไป่เฟิงหลิวถึงค่อยๆ สงบใจขึ้นมาบ้าง เขาตัดสินใจแล้วว่า ไม่ว่าผู้อื่นจะเชื่อหรือไม่เขาก็ต้องเผยแพร่ข่าวนี้ออกไป!
นี่คือความเป็นมืออาชีพในฐานะของลูกหลานเผ่าวาทวาโยคนหนึ่ง
“แต่จะเผยแพร่ข่าวนี้อย่างไรดีถึงจะยิ่งน่าเชื่อถือล่ะ”
ไป่เฟิงหลิวตกอยู่ในภวังค์ความคิด สุดท้ายเขาก็กัดฟันแล้วนำใบไม้อัศจรรย์สีทองเจิดจ้าราวใบลานใบหนึ่งออกมา
นี่คือใบไม้ของต้นข่าวสารสีทอง ล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง ทั้งปริมาณก็น้อยนิด แม้แต่ในเผ่าวาทวาโยก็มีคนในเผ่าส่วนน้อยเท่านั้นที่ครอบครองได้
และในสถานการณ์ทั่วไป ต้องพบเรื่องใหญ่โตครึกโครมถึงที่สุดเท่านั้นถึงสามารถเลือกใช้ใบไม้ของต้นข่าวสารสีทองมาจารึกข่าวได้
“ให้ตายสิ! ข้าจนตรอกแล้ว จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็คราวนี้ล่ะ ยามข่าวนี้สะเทือนเลือนลั่นแดนฐิติประจิม ข้าก็สามารถไปขอใบไม้ของต้นข่าวสารสีทองจากเผ่าเพิ่มได้อย่างชอบธรรม!”
ไป่เฟิงหลิวกัดฟัน ตัดสินใจเด็ดขาด
ต่อมาเขาก็เริ่มสำแดงวิชาลับ ใบไม้สีทองส่องแสงเจิดจ้าฉายจอภาพออกมา แล้วเริ่มจารึกร่องรอยและรายละเอียดในสนามรบแห่งนี้
สำหรับไป่เฟิงหลิวแล้ว ต้องทำเช่นนี้เท่านั้นถึงสามารถพิสูจน์ได้ว่าข่าวที่ตนเผยแพร่ออกไปไม่ได้แต่งขึ้น จึงจะทำให้ทุกคนในโลกเชื่อเรื่องศึกนองเลือดสะท้านโลกอันเหลือเชื่อนี้ได้!
เมื่อทำทุกอย่างนี้จนเสร็จสิ้น เขาเพียงรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ตั้งหน้าตั้งตาคอยยิ่งนัก
เขาคาดการณ์ได้ว่าเมื่อตนกระจายข่าวนี้ออกไป ในแดนฐิติประจิมต้องเกิดความครึกโครมใหญ่ราวภูผาถล่มทะเลหวีดร้องแน่!
เด็กหนุ่มเทพมารระดับหยั่งสัจจะผู้หนึ่ง กลับประจันหน้ากับราชันกึ่งระดับจากเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬห้าคนโดยลำพังได้ ท้ายที่สุดด้วยมาดผยองเย้ยฟ้า ยังปลิดชีพไปสี่คน หลบหนีไปหนึ่งคน!
นี่ กวาดตามองไปยังผู้กล้าแห่งยุคในรุ่นเยาว์ทั่วทั้งแดนฐิติประจิม ใครจะทำได้กัน
หืม?
จู่ๆ ไป่เฟิงหลิวที่ตกอยู่ในห้วงความคิดบ้าคลั่งก็พลันแข็งทื่อไปทั้งตัว สัญญาณอันตรายถึงที่สุดผุดขึ้นในใจ ทำให้เขาขนลุกเกรียว
ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่ามีชายชราสวมอาภรณ์สีดำสองคนก้าวเดินผ่านห้วงอากาศจากที่ไกลลิบ
ราชันระดับสังสารวัฏ!
เหงื่อกาฬผุดพรายทั่วร่างไป่เฟิงหลิว ในใจประหวั่นพรั่นพรึงอย่างยิ่งยวด เขาขึ้นเหนือล่องใต้หลายปีมานี้ สายตาคู่นี้ขัดเกลาจนร้ายกาจหาใดเทียบมานานแล้ว มองปราดเดียวก็ดูออกว่าสองคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าราชันที่มาจากเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ!
ซวยแล้ว…
เมื่อไป่เฟิงหลิวคิดขึ้นได้ ว่าข่าวที่ตนจะเผยแพร่ออกไปเป็นไปได้สูงว่าจะเกิดผลแง่ลบอย่างยิ่งยวดต่อเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ เขาก็มีความรู้สึกว่าตนเสียท่าเข้าแล้ว
“หึ! แมลงหวี่สมควรตายพวกนี้อีกแล้ว ช่างแทรกซึมเก่งเสียจริง ที่ไหนๆ ก็มีร่องรอยของพวกมัน”
เหนือห้วงอากาศ โก่วหยางทงส่งเสียงหึหยันดุจอสนีบาต สะท้านขวัญจนไป่เฟิงหลิวสั่นเทาไปทั้งตัว ทรุดลงกับพื้น
เพียงแต่ในตอนที่เขานึกว่าตนจะเสียท่า กลับได้ยินเสียงเรียบเฉยเสียงหนึ่งดังขึ้น…
“ช่วยข้าอย่างหนึ่งแล้วจะไว้ชีวิตเจ้า” เป็นเสียงที่โก่วหยางป๋อเปล่งออกมา
ไป่เฟิงหลิวผงะไป พยักหน้าไม่ว่างเว้น “ขอผู้อาวุโสสั่งมา”
“กระจายข่าวหนึ่ง บอกว่าคนที่กล้าติฉินนินทาเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬทุกคนต้องชดใช้ความผิดด้วยชีวิต”
เมื่อพูดจบโก่วหยางป๋อและโก่วหยางทงก็ทะยานอากาศจากไปด้วยกัน ชั่วพริบตาก็หายลับไปอย่างไร้ร่องรอย
เฮือก!
ไป่เฟิงหลิวสูดหายใจลึกเยียบเย็น หน้าเปลี่ยนสีอย่างยิ่ง นี่ไม่ได้หมายความว่าสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันสองคนนี้จะร่วมกันสังหารเทพมารหลินหรอกหรือ
ทว่าครู่ต่อมาเขาก็หัวเราะเสียงดังออกมา สีหน้าลิงโลดกล่าวว่า “สวรรค์! ท่านดีกับข้ามากไปแล้ว! พิสูจน์ข่าวใหญ่ปานนี้ได้ ภายหลังข้ายังต้องกังวลว่าจะไม่ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงในเผ่าอีกหรือ”
เขายิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น ขาดแค่ไมได้วาดไม้วาดมือเริงระบำเท่านั้น
และในยามฟ้าแรกสางนี้เอง ไป่เฟิงหลิวก็ออกจากพื้นที่รกร้างนี้ กลับสู่เมืองหนึ่งในแดนฐิติประจิมด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี
ในวันเดียวกันนั้น เขาติดใบไม้ต้นข่าวสารสีทองไว้บนลำต้นของต้นข่าวสารเก่าแก่กลางเมืองต้นนั้น
พรึ่บ!
เรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นแล้ว ต้นข่าวสารทุกต้นในเขตแคว้นหลายพันและเมืองนับหมื่นทั้งแดนฐิติประจิมล้วนเกิดคลื่นไหวกระเพื่อม บนลำต้นบังเกิดเงาใบไม้สีทองเจิดจ้าใบหนึ่ง
ชั่วครู่เดียวผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนถูกดึงดูด แย่งกันมาดูทั้งแดนฐิติประจิม
เพราะพวกเขารู้ดีว่า เมื่อใบไม้ต้นข่าวสารสีทองของเผ่าวาทวาโยปรากฏ ย่อมหมายความว่ามีเรื่องใหญ่โตยิ่งยวดเกิดขึ้น!
“ข่าวกระจายออกไปแล้ว ข้าจะยิ้มดูความผันผวนของอิทธิพลใต้หล้า!”
ส่วนไป่เฟิงหลิวผู้เป็นตัวต้นเรื่อง ในขณะที่ปล่อยข่าวออกไปกลับห้ามไม่ให้หัวเราะร่าไม่ได้อีกแล้ว
……
แคว้นอินทรีสมบัติ เมืองวารีเขียว
ด้านหน้าต้นข่าวสารมีผู้คนมากมาย ผู้ฝึกปราณรวมตัวหนาแน่น เกิดเสียงร้องตื่นตระหนกระลอกแล้วระลอกเล่าอยู่เรื่อยๆ ทุกคนสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความตกตะลึง
ฟางหลินหานยืนนิ่งอยู่ในนั้น ใบหน้าหล่อเหลาที่มักจะมีกลิ่นอายคึกคะนองราวปีศาจแต่งแต้ม กลับบังเกิดสีหน้าผันแปรไม่ว่างเว้นอยู่ตลอด
ครู่ใหญ่เขาถึงพึมพำอย่างขุ่นเคืองว่า “น้องหลินนะน้องหลิน เสียแรงที่ข้าคิดว่าเจ้าเป็นสหาย เจ้ากลับไม่บอกข้าว่าเจ้าก็คือ ‘เทพมารหลิน’!”
จากนั้นเขาก็เผยสีหน้าพิกลอย่างอดไม่ได้ “ทุกคนในใต้หล้าล้วนบอกว่าข้าฟางหลินหานบ้าระห่ำไร้ที่สิ้นสุด ใจกล้าเกินใคร แต่เทียบกับเจ้าแล้วกลับไม่เท่าไร อย่างน้อยข้าก็ไม่ได้ผยองและวิปริตเท่าเจ้า…”
ไกลออกไปยิ่งมีผู้ฝึกปราณกำลังเร่งมามากขึ้นเรื่อยๆ ดูยิ่งใหญ่นัก
ฟางหลินหานเมื่อเห็นเช่นนี้ สีหน้ากลับเคร่งขรึมอย่างยากจะเห็น
เขารับรู้ได้ว่าข่าวที่เผ่าวาทวาโยปล่อยออกมานี้ไม่ต่างอะไรกับเจาะชั้นฟ้าให้แตกออก ครู่เดียวก็ผลักให้หลินสวินอยู่เหนือยอดคลื่น!
“เจ้าต้องตั้งรับให้ดี ตอนเทศกาลโคมกถามรรค หากไม่มีเจ้าเข้าร่วมต้องขาดสีสันไปไม่น้อยแน่…”
ฟางหลินหานพึมพำ
…..
แคว้นเขี้ยวลอย เมืองแสงคลื่น
เยวี่ยเจี้ยนหมิงกำลังร่ำสุรา ท่าทางของเขาสง่างาม คิ้วตรงราวกระบี่ ดวงตาราวดารา มีกลิ่นอายสุภาพเหนือธรรมดา ชวนให้ผู้อื่นจับจ้องยิ่งนัก
เพียงแต่เขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ เขากำลังครุ่นคิดเรื่องที่จะไปเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคที่เขาพยับคราม
ฉับพลันเสียงฮือฮาครึกโครมหาใดเทียบระลอกหนึ่งดังขึ้น ดึงดูดความสนใจของเยวี่ยเจี้ยนหมิง
“ข่าวใหญ่! ใบไม้สีทองของเผ่าวาทวาโยปรากฏขึ้นอีกแล้ว! ลือกันว่าเกี่ยวกับเด็กหนุ่มเทพมารที่ชื่อหลินสวิน!”
ทันใดนั้นก็เห็นผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนพุ่งมาที่ใจกลางเมือง แสงเคลื่อนที่ราวห่าฝน งดงามสะดุดตา ดูยิ่งใหญ่ถึงที่สุด
หลินสวินหรือ
คงไม่ใช่เขากระมัง
เยวี่ยเจี้ยนหมิงไตร่ตรองแล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
หน้าต้นข่าวสารในเมือง เยวี่ยเจี้ยนหมิงยืนนิ่งครู่ใหญ่ ในใจก็สั่นสะท้านไม่หยุด ไม่อาจสงบใจได้อยู่นาน
เป็นเขาดังคาด!
เพียงแต่ที่ทำให้เยวี่ยเจี้ยนหมิงไม่อาจคาดคิดได้ก็คือ เด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่บังเอิญพบที่ภูเขาโคม่วงในตอนนั้น ตอนนี้กลับมีพลานุภาพเพียงนี้แล้ว!
‘เทพมารหลิน… เทพมารคนหนึ่ง! ตอนนั้นข้าไม่ได้ดูคนผิดจริงๆ แต่ว่า นี่ก็ออกจะน่าตะลึงมากเกินไปหน่อย’
ในใจเขาทอดถอนใจอย่างยิ่ง ‘ข้ามอบป้ายหยกเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคให้เจ้าแล้ว ก็ดูว่าเจ้าจะมาหรือไม่…’
……
แคว้นต้าถัง เมืองฉางอัน
ที่นี่เป็นจุดศูนย์กลางของแดนฐิติประจิม เมืองฉางอัน และถูกมองเป็น ‘นครศักดิ์สิทธิ์แห่งการฝึกปราณ’ ของแดนวิภูนี้ เนื่องจากใกล้ๆ เมืองนี้มีสำนักเก่าแก่สามสำนักตั้งอยู่!
ในนั้น ยังมี ‘เรือนกระบี่เร้นปุจฉา’ ที่มีฉายาว่าเป็นสำนักอันดับหนึ่งแห่งแดนฐิติประจิมด้วย
ในเกี้ยวสมบัติสีเขียวไม่สะดุดตาคันหนึ่ง มีเสียงใสเย็นรื่นหูเสียงหนึ่งดังขึ้น “ข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดถึงอึกทึกปานนี้”
ผู้ที่ขับเกี้ยวสมบัติเป็นหญิงชราชุดเขียวผู้หนึ่ง เมื่อได้ยินดังนั้นก็ไปสืบความเล็กน้อยก่อนตอบว่า “บนต้นข่าวสารในเมืองปรากฏใบไม้สีทองขึ้นใบหนึ่ง น่าจะมีเรื่องใหญ่โตถึงที่สุดเกิดขึ้นเจ้าค่ะ”
“ไปดูซิ”
“เจ้าค่ะ”
ไม่นานนักเกี้ยวสีเขียวก็หยุดลงหน้าต้นข่าวสาร หญิงสาวในชุดกระโปรงดำรูปร่างเพรียวบาง สวมผ้าคลุมหน้าผู้หนึ่งเดินออกมา
“เหตุใดถึงเป็นเขา”
เมื่อตาเห็นจอภาพที่ใบไม้ทองควบรวมขึ้นซึ่งแขวนอยู่บนลำต้นของต้นข่าวสารนั้น เงาร่างผอมเพรียวของเด็กสาวชุดดำก็แข็งทื่ออย่างยากสังเกตเห็น