Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 846 ตีวัวกระทบคราด
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 846 ตีวัวกระทบคราด
ตอนที่ 846 ตีวัวกระทบคราด
เด็กสาวสวมชุดสีขาว ผมดำสลวยดุจดั่งน้ำตกทิ้งตัวระช่วงเอวเรียวคอด แต่งแต้มออกมาเป็นทรวดทรงน่าหลงใหล อ้อนแอ้นผอมเพรียว
นางกลับงามพิสุทธิ์ ประดุจเซียนผ่องโศภิตโดดเด่น ภายใต้รัศมีของนาง บรรดาชายหญิงละแวกใกล้เคียงต่างหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
เวลานี้นางก้าวเท้าแผ่วเบาเดินมาทางหลินสวินราวกับเทพธิดามาเยือนโลก กลีบปากแดงเอิบอิ่มเจือรอยยิ้ม ดวงตาใสกระจ่างพราวระยับคู่นั้นฉายแววแปลกประหลาด
ไป่เฟิงหลิวนิ่งงัน งงเป็นไก่ตาแตกเล็กน้อย เมื่อครู่เขายังยุหลินสวินไปเกี้ยวเด็กสาวคนนี้อยู่ ไหนเลยจะคิดว่าพริบตาเดียว อีกฝ่ายถึงกับเป็นฝ่ายมาหาถึงที่!
“คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเจ้าที่นี่” เสียงของไป๋หลิงซีเจือความดีใจ เป็นความดีใจและความประหลาดใจที่ได้พบคนรู้จักในต่างแดน
“เจ้า… จำข้าได้?” หลินสวินประหลาดใจ ได้พบเพื่อนเก่า ในใจของเขาก็เบิกบานเช่นกัน
“เจ้าอย่าลืมสิ ข้ากำเนิดมาพร้อมกับพรสวรรค์จิตวิญญาณ ‘ดารานิรันดร์’ คนที่ถูกข้าจดจำ ต่อให้กลายเป็นเถ้าธุลีข้าก็จำได้ทั้งนั้น” ไป่หลิงซีแย้มรอยยิ้ม ดวงตาสุกใสมองอย่างเป็นมิตร ผมงามดั่งน้ำตก อาภรณ์สีขาวพลิ้วไสว มีความงามโดดเด่นเหนือโลกีย์
หลินสวินตะลึงทันที มองไปยังเด็กสาวเบื้องหน้าที่เติบโตเป็นสาวงามเต็มตัว ในใจก็เต็มไปด้วยความรู้สึกต่างๆ นานา
ปีนั้นตอนอยู่ค่ายกระหายเลือด ทุกคนเพิ่งจะอายุสิบสามสิบสี่ปี ไป๋หลิงซีก็เผยความสง่างามเหนือพิภพตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
ผู้คนมากมายต่างเชื่อว่านางจะต้องเป็นผู้กล้าหญิงคนหนึ่งของจักรวรรดิในอนาคต จะเจิดจ้าปานอาทิตย์ดวงใหญ่บนเวิ้งฟ้า และเป็นที่จับจ้องของคนทั่วโลกอย่างแน่นอน
และยามนี้ผ่านไปหลายปี อีกฝ่ายเป็นผู้สืบทอดของแดนพิสุทธิ์อมตะแห่งแดนกาฬทักษิณแล้ว ซ้ำยังเจริญวัยงดงามขึ้นเรื่อยๆ ท่วงท่าสง่างาม ดรุณีสะท้านโลก
ยามนี้เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี แสงแดดอุ่นๆ ปกคลุมร่างอรชรของไป๋หลิงซีจนกลายเป็นชั้นแสงเรืองพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ดวงหน้าสวยกระจ่างนวลเนียนยังคงสงบนิ่งเหมือนที่ผ่านมา ประดุจเซียนสาวตำหนักพระจันทร์
ไป๋หลิงซีมองสำรวจหลินสวินจากหัวจรดเท้า จากกันนานปี ยามนี้พบกันอีกครั้งทำให้นางรู้สึกสะท้านไหวในใจอยู่มากเช่นกัน
“เจ้าก็มาร่วมเทศกาลโคมกถามรรคด้วย? จริงสิ ลำพังแค่พรสวรรค์และรากฐานที่เจ้ามีอยู่ในปีนั้น การมาเข้าร่วมเทศกาลโคมหนนี้ก็เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว” นางกล่าวพลางยิ้มบางๆ
“เจ้าล่ะ ไม่ใช่ว่ามาร่วมเทศกาลโคมกถามรรคด้วยหรือ” หลินสวินก็ยิ้มเช่นกัน
ไม่เหมือนมุมมองความรู้สึกที่มีต่อเซี่ยอวี้ถัง หลินสวินและไป๋หลิงซีมีมิตรภาพแบบ ‘เพื่อนร่วมชั้น’ ต่อกัน หนำซ้ำตอนที่อยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่า ความสัมพันธ์ของทั้งสองยังนับว่าไม่เลวทีเดียว
ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน ชายหญิงพวกนั้นที่มาพร้อมกับไป๋หลิงซีล้วนเดินเข้ามากันหมด ต่างพากันมองสำรวจหลินสวินด้วยความประหลาดใจ
เพียงแต่เมื่อเห็นท่าทางธรรมดา กลิ่นอายเรียบง่ายไม่ได้สะดุดตาแต่อย่างใดของอีกฝ่าย พวกเขาต่างเก็บสายตาที่มองสำรวจ รู้สึกไม่เห็นด้วยเล็กน้อย
“ศิษย์น้องหลิงซี คิดไม่ถึงว่าเจ้ายังมีคนรู้จักในแดนฐิติประจิมด้วย ไม่ทราบว่าคุณชายท่านนี้ชื่อเรียงเสียงไร พอจะแนะนำพวกเราได้หรือไม่”
หญิงสาวสวมชุดคลุมกระเรียนสีเพลิง รูปร่างทรงเสน่ห์คนหนึ่งเอ่ยถามพลางหัวเราะน้อยๆ คำพูดเจือการประชดประชันที่เหมือนมีแต่ไม่มีเสี้ยวหนึ่ง
“นั่นสิศิษย์น้องหลิงซี เจ้าเป็นถึงดาวรุ่งที่น่าจับตามองที่สุดในแดนพิสุทธิ์อมตะของพวกเรา แม้แต่ศิษย์พี่อวี่หลิงคงก็ยังชื่นชมเจ้า คิดดูแล้วเพื่อนของเจ้าก็คงไม่ใช่พวกธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน”
ชายหญิงคนอื่นๆ ก็พลอยเอ่ยปากด้วย เพียงแต่ท่าทางของพวกเขาเจือแววสัพยอกล้อเลียน เห็นได้ชัดว่ากำลังโห่เย้ยและไม่ให้เกียรติเป็นอย่างยิ่ง
หัวคิ้วของหลินสวินขมวดมุ่นอย่างจับสังเกตได้ยาก
กลับเห็นดวงหน้างามกระจ่างของไป๋หลิงซีไม่ไหวติง กล่าวราบเรียบ “พวกท่านพูดไม่ผิด เพื่อนของข้าคนนี้ไม่ใช่พวกธรรมดาทั่วไปจริงๆ รอให้เทศกาลโคมกถามรรคเริ่มขึ้น พวกท่านก็จะรู้จักเขาเอง แต่ว่าถึงตอนนั้นหวังว่าศิษย์พี่ทั้งหลายคงไม่ตื่นตระหนกตกใจยกใหญ่เป็นกระต่ายตื่นตูมเหมือนตอนนี้”
คำพูดนี้กล่าวออกมาอย่างราบเรียบเฉยเมย นี่เป็นการตอบโต้ที่ไร้ร่องรอยอย่างไม่ต้องสงสัย
กระต่ายตื่นตูม?
สีหน้าของบรรดาชายหญิงเหล่านั้นผุดแววไม่พอใจเสี้ยวหนึ่ง หญิงสาวเสื้อคลุมกระเรียนสีเพลิงคนนั้นยิ่งส่งเสียงหัวเราะหยันออกมา ปรายตามองหลินสวิน สำรวจตรวจสอบอย่างไม่กลัวเกรง
ครู่ใหญ่กว่าจะเอ่ยพูดคล้ายกับสะดุ้งสุดตัว “ไม่ถูกนะ เหตุใดข้าถึงมองไม่ออกว่าเพื่อนคนนี้ของศิษย์น้องหลิงซีน่าทึ่งเพียงใด คนเช่นนี้มีอยู่ทั่วไปตามท้องถนน บอกว่าหาตัวจับยากยังเป็นการยกยอเขาเลย หรือว่า… นี่คือเพื่อนที่ศิษย์น้องหลิงซีผูกมิตรด้วย?” คำพูดนี้ตรงไปตรงมายิ่ง ไม่เพียงวิพากษ์วิจารณ์หลินสวินซึ่งหน้า หนำซ้ำยังใช้โอกาสนี้ตีวัวกระทบคราด ลอบถากถางว่าไป๋หลิงซีไม่ระวังในการคบหาเพื่อน
ชายหญิงคนอื่นๆ ยิ้มเงียบๆ รอชมเรื่องสนุก
การถากถางและวิจารณ์โดยไม่ปกปิดแต่อย่างใดเช่นนี้ หลินสวินเคยเจอมานักต่อนักแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าผู้สืบทอดของแดนพิสุทธิ์อมตะจะถึงกับยกตนข่มท่านเช่นนี้ ไม่เห็นใครในสายตาด้วยเช่นกัน
เขาขมวดคิ้ว สัมผัสได้ว่ายามที่ไป๋หลิงซีฝึกปราณอยู่ในแดนพิสุทธิ์อมตะ เกรงว่าคงถูกเพื่อนร่วมสำนักกีดกันและเห็นเป็นศัตรูด้วยเช่นกัน
กลับเห็นหมอกอึมครึมเสี้ยวหนึ่งฉายผ่านดวงหน้างดงามราวกับหยกของไป๋หลิงซี นางก้าวไปข้างหน้าเพียงลำพัง ดึงหลินสวินไปด้านข้างแล้วสื่อจิตกล่าว ‘เจ้าอย่าได้ใส่ใจ พวกเขาก็แค่อยากถือโอกาสนี้ถากถางและเย้ยหยันข้าก็เท่านั้น ยามนี้ข้าไม่ถือสาพวกเขา รอเมื่อมีโอกาส ข้าจะทำให้พวกเขานึกเสียใจที่ทำเช่นนี้’
เอ่ยถึงช่วงสุดท้ายเสียงของนางเจือแววเย็นเยียบวูบหนึ่ง แสงเรืองรองพลุ่งพล่านในดวงตาใสกระจ่าง เห็นได้ชัดว่าลุแก่โทสะแล้ว
หลินสวินเอ่ยถาม ‘อยากให้ข้าช่วยหรือไม่’
ไป๋หลิงซียิ้มน้อยๆ น้ำเสียงเจือความมั่นใจที่ไม่เหมือนใคร ‘ก็แค่พวกเหลือเดนที่ยกตนข่มท่านกลุ่มหนึ่งเท่านั้น จัดการกับพวกเขา ข้าคนเดียวก็พอแล้ว เมื่อก่อนตอนอยู่ในสำนักพวกเขากีดกันเห็นข้าเป็นศัตรูก็ช่างเถิด ข้าก็คร้านจะถือสาเอาความพวกเขา แต่การกระทำของพวกเขายามนี้แตะขีดจำกัดของข้าแล้ว หากไม่เผยโฉมให้พวกเขาดูเสียหน่อย คงคิดว่าข้าไป๋หลิงซีกลัวพวกเขาจริงๆ’
หลินสวินยิ้มแล้ว เด็กสาวตรงหน้าคนนี้งดงามไร้ทัดเทียม แปลกแยกโดดเด่น และมั่นใจในตัวเองเหมือนที่ผ่านมา มีความหยิ่งทระนงของตนประการหนึ่ง
‘เพียงแต่ตอนนี้ต้องผิดต่อเจ้าแล้ว ทำให้เจ้าถูกคนสบประมาทแบบไร้สาเหตุ’ ไป๋หลิงซีค่อนข้างรู้สึกผิด
หลินสวินคลี่ยิ้ม ‘ข้าจะคิดเสียว่าหมาเห่าแล้วกัน’
‘เจ้ายังใจกล้าเต็มกำลังเหมือนปีนั้นไม่มีผิด’ ไป๋หลิงซีก็ยิ้มเช่นกัน มีความงามน่าอัศจรรย์ราวกับดอกไม้ตูมที่เบ่งบานหลังสายฝน
“ศิษย์น้องหลิงซี ศิษย์พี่อวี่กำลังรอพวกเราอยู่ ได้เวลากลับไปแล้ว” ไกลออกไป ชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกนเรียก
ไป๋หลิงซีขมวดคิ้วเรียว ดวงตาใสกระจ่างฉายแววโกรธกรุ่นเสี้ยวหนึ่ง มีหรือนางจะฟังไม่ออกว่านี่คือการจงใจขัดจังหวะของอีกฝ่าย ไม่อยากให้ตนโอ้เอ้อยู่ที่นี่
“ไปเถิด ยามเทศกาลโคมกถามรรคเริ่มขึ้นยังมีโอกาสได้พบกันอีก” หลินสวินกล่าวยิ้มๆ
ไป๋หลิงซีร้องอืมคราหนึ่ง ชี้ไปที่หอวสันตสารทที่อยู่ห่างออกไปแล้วกล่าวว่า “อีกเดี๋ยวเจ้าจะไปที่นั่นใช่หรือไม่”
“ใช่ ข้าจะไปหาสหายคนหนึ่ง”
“เจ้าต้องระวังตัว เท่าที่ข้ารู้ยามนีพวกร้ายกาจส่วนหนึ่งพักอยู่ที่นั่น ทุกคนต่างเห็นเจ้าเป็นเป้าโจมตี อยากเหยียบเจ้าไว้แทบเท้ากันทั้งนั้น”
ไป๋หลิงซีเอ่ยเตือน
“ทำไมเจ้า… ก็รู้ด้วย” หลินสวินตะลึงงัน
กลีบปากแดงแวววาวของไป๋หลิงซีคลี่เป็นรอยยิ้ม นัยน์ตาใสกระจ่างไหลเวียนดั่งคลื่นน้ำ กล่าวว่า “แดนฐิติประจิมยามนี้ ใครบ้างไม่รู้จักชื่อเสียงของเทพมารหลิน”
กล่าวจบนางก็เยื้องย่างจากไป เงาร่างชดช้อย
หลินสวินลูบจมูกป้อยๆ เพียงแต่ยามที่เห็นไป่เฟิงหลิวที่อยู่ห่างออกไป สีหน้าของเขาพลันอึมครึมทันที
ก็เห็นเจ้าเฒ่าสากกะเบือคนนี้ทำลับๆ ล่อๆ เข้าไปใกล้ไป๋หลิงซี กล่าวด้วยสีหน้ากระตือรือร้น “แม่นางหลิงซี ท่านคงเป็นหญิงคนสนิทของคุณชายหลิน?”
ไม่ต้องคาดเดาแต่อย่างใด เขากำลังขุดคุ้ยข่าวใหญ่เกี่ยวกับ ‘เทพมารหลิน’ อีกแล้ว!
เพียงแต่ไม่รอให้เขาถามไถ่จนได้คำตอบ ท้ายทอยก็ถูกหลินสวินเงื้อมือตบเข้าหนึ่งฉาด และด่าว่าเขาอยู่ด้านข้าง
“นี่คือเพื่อนเจ้า?” ไป๋หลิงซีถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“เปล่า นี่คือเฒ่าสากกะเบือไร้ศีลธรรมคนหนึ่ง” หลินสวินจนปัญญาเล็กน้อย
ไป๋หลิงซียิ้มละไม ค่อยๆ เดินจากห่างไป
ไป่เฟิงหลิวเห็นเช่นนี้ ดวงตากลับทอประกาย กล่าวพึมพำในใจ ‘น่าสนใจ น่าสนใจมากๆ แค่ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนถึงขั้นไหนแล้ว โอ้ รอสบโอกาสค่อยระเบิดข่าวประเด็นร้อนนี้ออกไป…’
กระทั่งพาดหัวข่าวเขาก็คิดไว้เรียบร้อยแล้ว นั่นคือ ‘เรื่องลับที่ไม่อาจบอกใครระหว่างเทพมารหลินกับหญิงสาวผู้เลอโฉมแห่งแดนพิสุทธิ์อมตะ’!
ยิ่งคิดไป่เฟิงหลิวก็ยิ่งฮึกเหิม แดนพิสุทธิ์อมตะเป็นถึงสำนักโบราณชั้นนำในแดนกาฬทักษิณ เทพมารหลินในฐานะที่ผงาดในแดนฐิติประจิม แต่สามารถคบหากับผู้สืบทอดที่มาจากแดนพิสุทธิ์อมตะได้ ขอเพียงแพร่งพรายออกไป จะต้องบังเกิดความฮือฮาครั้งใหญ่เป็นแน่!
ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะมีผู้ฝึกปราณชายอิจฉาริษยาเท่าไร และไม่รู้ว่าเด็กสาวใสซื่อที่เลื่อมใสเทพมารหลินจะใจสลายไปเท่าใด…
ผัวะ!
ขณะที่ไป่เฟิงหลิวยิ่งคิดยิ่งลำพองขึ้นเรื่อยๆ ท้ายทอยก็ถูกตีอีกหนึ่งหน พาให้เขาโซซัดโซเซออกไป เซจนเกือบล้มคว่ำ
จากนั้นเขาก็เห็นสายตาไม่เป็นมิตรที่มีไอสังหารพวยพุ่งของหลินสวิน
“หากเจ้ากล้าทำเรื่องเกินควรออกไป ข้ารับรองว่าสักวันหนึ่งจะไปเหยียบเผ่าวาทวาโยของพวกเจ้า แล้วโค่นต้นข่าวสารทองคำที่พวกเจ้าเทิดทูนประหนึ่งสมบัติบรรพบุรุษนั่น!” หลินสวินเน้นถ้อยเน้นคำ
เขามองปราดเดียวก็มองทะลุความคิดสกปรกของเจ้าเฒ่าสากกะเบือผู้นี้แล้ว ไม่รู้ว่าจะเล่นอุบายอัปรีย์อะไรอีก
ไป่เฟิงหลิวสูดหายใจดังเฮือกหนึ่งครา สีหน้าเปลี่ยนไปยกใหญ่ กล่าวเป็นพัลวัน “สาบานต่อสวรรค์ ข้ารับรองว่าจะไม่แพร่ข่าวโคมลอยแน่”
เขากังวลมากจริงๆ หากเทพมารหลินเดือดดาลจนไปโค่นต้นข่าวสารทองคำแห่งเผ่าวาทวาโยของพวกเจ้า ผลที่ตามมาคงร้ายแรงเป็นล้นพ้น
ทั้งสองเดินหน้าต่อไป ไม่นานนักในที่สุดหลินสวินก็เห็นหอวสันตสารทเก่าแก่มีชื่อเสียงทั่วแดนฐิติประจิมหลังนั้น
มันสูงราวร้อยจั้ง ทั่วตึกสร้างมาจากหยกเคลือบ ทอดมองจากระยะไกลราวกับมังกรขาวห้อทะยานสู่เวิ้งนภา สูงตระหง่านตระการตา
แสงแดดส่องกระทบ ทำให้หอวสันตสารทชโลมด้วยแสงแวววาวเจิดจรัส ทั้งเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ เจือกลิ่นอายเก่าแก่อย่างยิ่ง
หน้าประตูใหญ่ของหอวสันตสารทมีเงาร่างผู้แข็งแกร่งบางส่วนปักหลักอยู่ ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ ขวางไม่ให้ผู้ฝึกปราณคนอื่นเข้าไป
แต่ถึงอย่างนั้นในพื้นที่ละแวกใกล้เคียงก็ยังมีเงาร่างผู้ฝึกปราณจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ ต่างชะเง้อชะแง้มอง ทุกครั้งที่มีผู้กล้าปรากฏตัว ในลานก็จะระเบิดเสียงฮือฮาขึ้นเป็นระลอก
เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกปราณเหล่านี้ต่างมาชมดูความคึกคัก
ขณะที่หลินสวินมาถึงบริเวณใกล้เคียง ก็บังเอิญเห็นขบวนของพวกไป๋หลิงซีหายเข้าไปด้านในประตูหอวสัตสารทพอดี
‘ดูท่าอวี่หลิงคงบุคคลไร้เทียมทานของแดนพิสุทธิ์อมตะที่มาจากแดนกาฬทักษิณคนนั้น จะต้องมาถึงแล้วเป็นแน่…’
หลินสวินเพิ่งตระหนักได้เอาตอนนี้ว่า หากอวี่หลิงคงมาถึงแล้ว จี้ซิงเหยาธิดาเทพแห่งเรือนกระบี่เร้นปุจฉาก็น่าจะมาถึงแล้วเหมือนกันใช่หรือไม่
ขณะที่กำลังขบคิด ดวงตาหลินสวินกลับหดรัดโดยพลัน
ก็เห็นในประตูบานใหญ่หอวสันสารทแห่งนั้น เวลานี้ถึงกับมีเงาร่างหนึ่งเหินลอยยออกมา เซล้มหมดสภาพกับพื้นเสียงดังปึง ฝุ่นควันคลุ้งตลบ เห็นชัดว่าสะบักสะบอมหาใดเปรียบ