Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 851 มองว่าเป็นเหยื่อ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 851 มองว่าเป็นเหยื่อ
ตอนที่ 851 มองว่าเป็นเหยื่อ
ตระกูลจงหลี!
ตระกูลใหญ่ที่เก่าแก่และชื่อเสียงเลื่องลือ ในแดนฐิติประจิมสามารถเทียบหน้าเทียบตากับเหล่าสำนักโบราณได้
และจงหลีอู๋จี้ก็คือบุตรเทพแห่งยุคของตระกูลนี้ ชื่อเสียงโด่งดังในฐิติประจิมมานานแล้ว อานุภาพดุร้ายฉาวโฉ่ เป็นบุคคลเหี้ยมโหดไร้เทียมทานในบรรดาคนรุ่นเยาว์อย่างแน่นอน
ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ที่ชื่อเสียงของหลินสวินเพิ่งจะโด่งดังและสะเทือนแดนฐิติประจิม จงหลีอู๋จี้ก็เคยประกาศกร้าวต่อหน้าทุกคนแล้วว่าหากเทพมารหลินกล้าปรากฏตัวในเทศกาลโคมกถามรรค เขาจงหลีอู๋จี้จะเป็นคนแรกที่สังหารหลินสวิน!
วันนี้แม้จงหลีอู๋จี้ยังมาไม่ถึง แต่เหล่าคนในตระกูลของเขาก็ได้โดยสารคชสารมังกรหยกดำมา หมายจะแทรกแซงเรื่องนี้!
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำให้สะเทือนไปทั่วบริเวณ ผู้คนต่างหันมองไม่หยุด
แม้แต่บรรดาผู้กล้าในที่นั้นก็ขมวดคิ้ว ไม่คิดว่าในสถานการณ์เช่นนี้ตระกูลจงหลีกลับกล้าแทรกแซง ทั้งยังแข็งกร้าวถึงเพียงนี้ จะให้ซาหลิวฉานยกโอกาสสังหารเทพมารหลินให้ตรงๆ!
ถูกคนขัดจังหวะเช่นนี้ ทีแรกในใจซาหลิวฉานก็ไม่พอใจไม่น้อย หลังจากได้ยินท่าทีอันแข็งกร้าวของตระกูลจงหลียิ่งทำให้สายตาของเขาวาบแววเย็นเยียบ ในใจเดือดดาลยิ่ง
แต่ไม่ทันที่เขาจะตอบสนอง ในที่นั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกครั้ง!
แกว๊ก!
เสียงร้องใสสะเทือนเก้าสวรรค์แผ่กระจายไปทั่ว พลันเห็นบนฟากฟ้า ชายหญิงกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่บนหงส์เขียวตัวใหญ่ยักษ์เกรียงไกร ร้องคำรามเข้ามา
คนกลุ่มนี้แข็งกร้าวกว่าตระกูลจงหลี นั่งหงส์เขียวผ่านเหนือศีรษะของเหล่าผู้ฝึกปราณไปโดยตรง ก่อนจะลงมาเยือนในบริเวณนั้น
ผู้ฝึกปราณหลายคนไม่พอใจ คิดว่าการกระทำเช่นนี้แฝงความเย้ยหยัน แต่พอเห็นฐานะของผู้มาเยือนชัดแล้วสีหน้าต่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่กล้าพูดอะไรมาก
เผ่าหงส์เขียว!
นี่คือเผ่าใหญ่หนึ่งในห้าอันดับแรกของแดนฐิติประจิม เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในบรรดาสิ่งมีชีวิตวิญญาณต่างเผ่าพันธุ์ ไม่ด้อยกว่าตระกูลจงหลีเลยสักนิด!
“โชคดีที่ไม่ได้มาช้าเกินไป ถึงก่อนจงหลีอู๋จี้นั่นก้าวหนึ่ง”
เสียงไพเราะเสนาะหูราวกับกระดิ่งลมดังขึ้น พลันเห็นว่าบนหลังหงส์เขียวตัวนั้น หญิงสาวที่เป็นผู้นำซึ่งอยู่ในชุดสีเขียว ผมงามมวยม้วน ใบหน้างดงามไร้ที่ติเดินนำลงมาก่อน
นางงามมากจริงๆ ทั้งยังดูอ่อนเยาว์มาก เพียงแต่ท่าทางกลับดูเย็นชาและสันโดษเกินไป มีความรู้สึกเย่อหยิ่งที่ราวกับสลักอยู่ในขั้วกระดูก พาให้ไม่กล้าสบตา
ชิงเหลียนเอ๋อร์!
สีหน้าของผู้ฝึกปราณในที่นั้นเปลี่ยนไปอีกครั้ง นี่เป็นถึงธิดาเทพแห่งยุคของเผ่าหงส์เขียวเชียวนะ พรสวรรค์โดดเด่น ความสามารถน่าทึ่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ชื่อเสียงสะเทือนไปทั่วหล้าตั้งนานแล้ว
ผู้ฝึกปราณหลายคนในแดนฐิติประจิมต่างคิดว่า ชิงเหลียนเอ๋อร์ถึงขั้นมีพลังที่สามารถทัดเทียมจี้ซิงเหยา ผู้สืบทอดเรือนกระบี่เร้นปุจฉา!
ชิงเหลียนเอ๋อร์เองก็เป็นผู้กล้าไร้เทียมทานคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย หากไม่พูดถึงความสามารถ เพียงแค่ชื่อเสียงก็เหนือกว่าซาหลิวฉานและจงหลีอู๋จี้ไประดับหนึ่ง
ทันทีที่ชิงเหลียนเอ๋อร์มาถึง สายตาอันเยียบเย็นก็หยุดอยู่ที่หลินสวิน มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย มีความเย่อหยิ่งที่ไม่ปกปิดเลยสักนิด
คำพูดของนางเรียบช้าและผ่อนคลาย พูดนิ่งๆ ว่า “เจ้าก็คือหลินสวินที่ทุกคนยกให้เป็นเทพมารหรือ ดีมาก ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัวเสียที ตอนนั้นข้าเคยบอกว่า ข้าจะให้เจ้าคุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าทุกคน ยอมรับว่าตนไม่ได้เป็นอย่างที่เล่าลือ เจ้า… รู้หรือไม่”
คำพูดนี้ผู้ฝึกปราณในที่นั้นไม่มีใครไม่รู้ ช่วงก่อนหน้านี้ถึงขั้นเป็นที่ฮือฮาไปทั่วทั้งแดนฐิติประจิม
เพียงแต่คำพูดนี้แฝงความดูถูกและเย้ยหยันเทพมารหลินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ตอนนี้ชิงเหลียนเอ๋อร์พูดกับเทพมารหลินต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ นี่ดูตรงไปตรงมาเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ปกปิดแววเย้ยหยันเลยสักนิด ทำให้กลุ่มผู้ฝึกปราณลอบตกใจ
จู่ๆ หลินสวินก็ยิ้ม ดวงตาพินิจชิงเหลียนเอ๋อร์หัวจรดเท้า ก่อนจะพูดเหมือนกำลังใคร่ครวญบางอย่างอยู่ “ที่แท้เจ้าก็คือชิงเหลียนเอ๋อร์คนนั้น ต่ำทรามตามคาด!”
ทุกคนเบิกตาโพลง อึ้งจนอ้าปากค้าง แทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
เมื่อครู่นี้ชิงเหลียนเอ๋อร์ไม่เกรงใจเลยสักนิด ทันทีที่มาถึงก็สร้างความลำบากใจให้เทพมารหลิน แต่เห็นได้ชัดว่าเทพมารหลินก็ไม่ใช่คนที่จะยอมให้รังแกได้ง่ายๆ แข็งกร้าวยิ่งกว่านาง โต้กลับด้วยคำว่า ‘ต่ำทราม’ ตรงๆ!
แม้แต่เหล่าผู้กล้า มุมปากก็กระตุกอย่างยากจะสังเกตเห็นทีหนึ่ง ทอดสายตามองทั่วหล้า ใครบ้างจะกล้าด่าธิดาเทพคนปัจจุบันของเผ่าหงส์เขียวเช่นนี้
ไป๋หลิงซีอมยิ้ม นางเข้าใจหลินสวินดี ตอนอยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่าก็กล้าบีบบังคับให้หลิงเทียนโหวคุกเข่า บนโลกนี้จะมีเรื่องอะไรที่เขาไม่กล้าทำกัน
เพียงแค่ด่าว่าต่ำทรามเท่านั้น นี่ถือว่าเบาแล้ว
แต่ตอนนี้ผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะกลับไม่คิดเช่นนี้ พวกเขาต่างมุ่นคิ้ว สีหน้าแฝงความรังเกียจ คิดว่าคำพูดของหลินสวินหยาบช้าและไม่เข้าท่า
เพียงแต่พวกเขากลับมองข้ามไปโดยปริยายว่าคำพูดที่ชิงเหลียนเอ๋อร์พูดเมื่อครู่นี้ ยิ่งแฝงความเย้ยหยันอย่างไม่ปกปิดเลยสักนิด!
ในดวงตาคู่ใสของชิงเหลียนเอ๋อร์สาดประกายน่าหวาดหวั่น ถูกด่าว่าต่ำทรามต่อหน้าทุกคน นี่ทำให้นางเองยังคาดไม่ถึง
นางเป็นถึงธิดาเทพคนปัจจุบันของเผ่าหงส์เขียว ฝึกปราณมาจนถึงวันนี้ ฐานะนางสูงส่งราวกับจันทราบนฟากฟ้า เป็นที่ชื่นชมของผู้คนนับไม่ถ้วน เรียกได้ว่าขอลมได้ลม ขอฝนได้ฝน เคยถูกปฏิบัติเช่นนี้ซะที่ไหน
“ดูเหมือนว่า แม้ตายเจ้าก็ไม่ยอมรับผิดสินะ!”
ไอสังหารพลุ่งพล่านขึ้นในใจชิงเหลียนเอ๋อร์ นางก้าวเข้ามาเบาๆ เงาร่างเพรียวยาวแผ่แสงศักดิ์สิทธิ์อันน่าหวั่นหวาด อานุภาพน่าสะพรึงกลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
นางตัดสินใจแล้วว่าจะลงมือ สังหารหลินสวินเพื่อล้างความอับอาย!
“ช้าก่อน!”
แต่ในเวลานี้เอง คนตระกูลจงหลีที่นั่งคชสารมังกรหยกดำมาก็ตะเบ็งเสียง เข้ามาขัดขวาง
“เทพมารหลินคนนี้เป็นคนที่นายน้อยตระกูลข้าจะกำราบ ขอให้แม่นางถอยสักก้าว ยกเขาให้เป็นอย่างไร”
ชายหนุ่มที่ดูฉลาดเฉียบแหลมคนหนึ่งพูดขึ้น เขามีนามว่าจงหลีขุย นับว่าเป็นบุคคลชั้นยอดคนหนึ่งในตระกูลจงหลีเช่นกัน
“กล้าดีจริง! แม้จงหลีอู๋จี้มาด้วยตัวเองก็ไม่กล้าพูดเพ้อพกเช่นนี้ พวกเจ้าหลบไปไกลๆ จะดีกว่า!”
ชิงเหลียนเอ๋อร์เดือดดาล สายตาราวกับสายฟ้า กลิ่นอายทั่วร่างยิ่งน่าสะพรึง ทำให้พวกของจงหลีขุยสีหน้าเปลี่ยนไป
“เผ่าหงส์เขียว พวกเจ้าทำเกินไปแล้ว มีสิทธิ์อะไรให้พวกข้ายอมถอย” พวกเขาไม่พอใจ ยังคงไม่ถอย
“พอได้แล้ว!”
จู่ๆ ซาหลิวฉานก็ตะโกนออกมา
สีหน้าของเขาเย็นเยียบ เส้นผมสีฟ้าเข้มพลิ้วสยาย เสียงแฝงความเดือดดาล “พวกเจ้าเห็นข้าซาหลิวฉานเป็นตัวอะไร เหยื่อที่ข้าหมายตาไว้แล้ว จะยอมให้พวกเจ้าแทรกแซงได้อย่างไร รีบถอยไปซะ!”
ชั่วขณะนั้นสีหน้าของชิงเหลียนเอ๋อร์และเหล่าคนตระกูลจงหลีต่างอึมครึม พากันหัวเราะเยาะออกมา
“หุบปาก! เผ่าฉลามสมุทรของพวกเจ้าเก่งมาจากไหน มีสิทธิ์อะไรมาแย่งกับตระกูลจงหลีของพวกเรา”
“ซาหลิวฉาน ข้าขอเตือนว่าเจ้าอย่ายุ่งเรื่องนี้จะดีกว่า!”
ซาหลิวฉานเองก็เดือดดาลอย่างสิ้นเชิงแล้ว สายตาเผยความดุร้าย “พวกเจ้าคุยกับข้าอยู่หรือ”
พวกเขาทั้งสามฝ่ายประชันหน้ากัน ด่าว่าและข่มขู่อย่างไม่มีใครยอมใคร ทำให้ผู้ฝึกปราณรอบๆ ต่างอึ้งไม่น้อย
นี่จะแข็งกร้าวเกินไปแล้ว พวกร้ายกาจจากขุมอำนาจใหญ่ทั้งสาม อย่างเผ่าหงส์เขียว เผ่าฉลามสมุทรและตระกูลจงหลีล้วนอยากสังหารเทพมารหลินเป็นคนแรก ถึงขั้นเกิดความขัดแย้งเพราะเรื่องนี้!
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าพวกเขามองเทพมารหลินเป็นเหยื่อ ไม่ยอมให้ใครแตะต้อง ดูเผด็จการอย่างยิ่ง
แม้แต่สีหน้าของเหล่าผู้กล้าที่ติดตามสถานการณ์อยู่ห่างๆ ยังเปลี่ยนไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
“ดูสิ นี่ก็คือการตกเป็นที่ชิงชัง มีแต่คนโจมตี!” ชั้นเก้าของหอวสันตสารท ผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะต่างย่ามใจ
ไป๋หลิงซีไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ ตอนนี้คิ้วดกดำของนางขมวดเล็กน้อย รับรู้ได้ว่าสถานการณ์ของหลินสวินไม่สู้ดีนัก
ถูกขุมกำลังสามฝ่ายมองว่าเป็นเหยื่อ ในใจเขา… คงจะโกรธมากสินะ
สิ่งที่ทำให้ไป๋หลิงซีกังวลที่สุดคือ ในหอวสันตสารทแห่งนี้ยังมีผู้กล้าอีกไม่รู้เท่าไหร่ และไม่รู้ว่าใครยังจะแทรกแซงเรื่องนี้ มองหลินสวินเป็นคู่ต่อสู้ที่จะกำราบอีก
‘ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดหักโค่น และหลินสวินก็มาจากโลกชั้นล่าง เรียกได้ว่าไร้ที่พึ่งพิง สำหรับบุคคลชั้นยอดมากมายแล้ว เป็นเป้าหมายที่ดีที่สุดในการกดข่มอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องกังวลว่าจะนำพาผลลัพธ์หรือความเดือดร้อนอันใดมา…’
ไป๋หลิงซีพลันเดาเหตุผลหลายประการออก
นางถึงขั้นมั่นใจว่า หากหลินสวินเป็นลูกศิษย์ของสำนักใดสำนักหนึ่ง คนพวกนี้คงไม่กล้าท้าทายอย่างไม่เกรงกลัวเช่นนี้แน่!
สืบสาวไปถึงต้นเหตุ ก็ล้วนเพราะหลินสวินผงาดเร็วเกินไป ทว่าแม้ศักยภาพของเขาจะแข็งแกร่ง แต่กลับไม่มีภูมิหลังหรืออิทธิพลที่เพียงพอจะสั่นสะเทือนไปทั่วทุกสารทิศได้!
‘อยากผงาดขึ้นด้วยตัวคนเดียวในดินแดนรกร้างโบราณที่หมื่นเผ่ายึดครอง เป็นการยากมากจริงๆ…’ ไป๋หลิงซีถอนหายใจในใจ ยามนี้กลับมีความรู้สึกสงสารอย่างอธิบายไม่ถูก
หลายปีมานี้หลินสวินที่หัวเดียวกระเทียมลีบผ่านมาได้อย่างไร
เบื้องหลัง เขาทุ่มเทความพยายามที่ไม่มีใครรู้ไปเท่าไหร่ ผ่านการโจมตีและความขัดแย้งเช่นนี้มาแล้วเท่าไหร่
ไม่มีใครรู้!
……
บรรยากาศในที่นั้นตึงเครียด ไอสังหารคละคลุ้ง
พวกของชิงเหลียนเอ๋อร์ ซาหลิวฉานและจงหลีขุยประชันหน้ากัน ไม่ปกปิดอานุภาพของตนเลยสักนิด ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำให้ผู้ฝึกปราณในที่นั้นต่างอกสั่นขวัญแขวน
หลายสายตาที่มองหลินสวินต่างแฝงความเวทนา คราวนี้เทพมารหลินดวงซวยจริงๆ ถูกมองว่าเป็นเหยื่อ น่าสลดใจนัก
“แย่แล้ว สถานการณ์ของเทพมารหลินไม่สู้ดี สองหมัดยากจะต้านสี่มือ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ไม่เพียงแค่ซาหลิวฉานและชิงเหลียนเอ๋อร์ที่กำลังแย่งกัน จงหลีอู๋จี้นั่นก็อาจจะปรากฏตัวได้ตลอดเวลา!”
ในใจไป่เฟิงหลิวร้อนรน เขาไม่อยากเห็นหลินสวินถูกกำราบตั้งแต่ก่อนเทศกาลโคมกถามรรคจะเริ่มขึ้นหรอกนะ
“ข้าไปช่วยเขา!”
เยวี่ยเจี้ยนหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆ กัดฟันแน่น เหล่าผู้กล้าไร้เทียมทานพุ่งเป้าไปที่หลินสวินโดยพร้อมเพรียง เกิดการแย่งชิงปานกำลังช่วงชิงเหยื่อ นี่จะรังแกกันเกินไปแล้ว!
“เจ้าอย่าไปทำให้เรื่องวุ่นวายกว่าเดิมเลย” ไป่เฟิงหลิวรีบขวางเขาไว้ ขนาดนี้แล้ว เข้าไปตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย
“น่ารำคาญ! พวกเจ้าหุบปากให้หมด!”
ในสถานการณ์ที่วุ่นวายและตึงเครียดนี้ ในที่สุดหลินสวินก็หมดความอดทนแล้ว
ตอนที่พูดเงาร่างหลินสวินไหววูบ ทะยานขึ้นกลางอากาศมาอยู่กลางฟ้าทันใด นัยน์ตาดำราวกับสายฟ้าเย็นชา มองเหยียดหยันลงมา
“อยากตายก็ง่ายมาก พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันเถอะ!” เขาพูดอย่างเยียบเย็น เสียงสะเทือนออกในวงกว้างปานฟ้าคำราม
พริบตานั้นทั่วบริเวณเงียบสงัดลง
ผู้แข็งแกร่งสำนักโบราณและยอดฝีมือตระกูลอิทธิพลมากมาย รวมทั้งผู้กล้าจากทั่วทุกสารทิศ ผู้ฝึกปราณอีกไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ต่างมองไปยังหลินสวินที่อยู่กลางอากาศ
เด็กหนุ่มในชุดสีขาวพระจันทร์ ผมดำพลิ้วไสว ดวงตาเย็นเยียบปลอดปล่อยสายฟ้า สิ่งที่มาพร้อมกับเสียงตะโกนของเขาคือความยโสโอหัง ราวกับเทพมารในตำนานมองเหยียดหยันลงมายังพื้นโลก
ผู้ฝึกปราณทั้งหมดหัวใจสะท้าน ในสถานการณ์เช่นนี้ เทพมารหลินยังคงใจกล้าหาญทะลวงฟ้า จะเผชิญหน้ากับศัตรูทุกคนเพียงลำพัง เพียงลักษณะเช่นนี้ก็พาให้คนนับถือแล้ว