Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 860 เทศกาลโคมกถามรรคเปิดม่าน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 860 เทศกาลโคมกถามรรคเปิดม่าน
ตอนที่ 860 เทศกาลโคมกถามรรคเปิดม่าน
อาทิตย์สีแดงค่อยๆ ลอยเด่นอยู่บนนภา รุ่งอรุณส่องแสงพร่างพราว
กลางฟ้าดินเปี่ยมด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์แผ่กระจายออกไป ก่อให้เกิดระลอกคลื่นแปลกประหลาด พาให้ผู้ฝึกปราณทั้งหมดในเมืองผาดาราแตกตื่นทันที
“เทศกาลโคมกถามรรคเริ่มขึ้นแล้ว!”
เสียงร้องด้วยความตื่นเต้นดังขึ้นเป็นระยะๆ ฮือฮาไปทั่วราวกับพายุกาฬวาตก็ไม่ปาน
สวบๆๆ!
เพียงชั่วครู่เท่านั้น ลำแสงนับไม่ถ้วนทะยานขึ้นจากกลางมือง แน่นขนัดปานสายฝน สดใสเจิดจรัส ทั้งหมดต่างพุ่งหวือไปนอกเมือง
“เขาพยับครามกำลังจะปรากฏแล้ว!”
“เร็วเข้า นี่เป็นถึงเทศกาลเอิกเกริกที่ไม่เคยมีมาก่อน ต่อให้ไม่สามารถเข้าร่วมได้ ก็ต้องจับจองตำแหน่งได้เปรียบสักแห่งเพื่อรอชมให้ได้”
“ระยำเอ๊ย อย่าเบียดสิ!”
คลื่นเสียงอลหม่านดังก้องกลางฟ้าดิน คึกคักเอ็ดอึงเป็นที่สุดราวกับผึ้งแตกรัง
“โฮก!”
อสูรกิเลนเพลิงเขียวตัวหนึ่งห้อทะยานสู่อากาศ เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ลุกโชน แหวกว่ายกลางห้วงอากาศ กลิ่นอายราวกับราชัน ทุกที่ที่เคลื่อนผ่านเหล่าผู้ฝึกปราณต่างต้องหลบฉาก
ขบวนของมู่เจี้ยนถิงแห่งอารามพรางมรกตนั่งอยู่บนนั้น ท่วงท่าแสนสบาย
อีกด้านหนึ่งเสียงร้องก้องกังวานสายหนึ่งดังหนึ่งราวกับอสนีคลอนเก้าสวรรค์ ก็เห็นแสงสีทองแถบหนึ่งโฉบปราดขึ้นไป นั่นคือนกจาบกาฬทองตัวหนึ่งที่เรียวปีกงดงาม เรือนร่างราวกับหลอมสร้างมาจากทองคำ มีความยาวหลายสิบจั้ง
มันบรรทุกนคนจากตำหนักปรกอุดมหายลับไปในห้วงอากาศเพียงชั่วขณะ รวดเร็วถึงขีดสุด
โครม!
พื้นดินสั่นสะเทือน คชสารมังกรหยกดำตัวมหึมาดั่งภูผาแบกบรรทุกขบวนของจงหลีอู๋จี้ แหวกพุ่งทะลุโดยตรง ห้อทะยานออกไปพาให้เกิดฝุ่นควันโขมง
และละแวกใกล้เคียง สิงห์อสนีหยกขาวที่ทั่วร่างอาบสายฟ้าพร่าตาตัวหนึ่งส่งเสียงคำรามแห่งลมสายฟ้า พุ่งทะยานขึ้นสู่เวิ้งนภาอย่างแรง เหลยเชียนจวินที่มาจากเผ่ามหาอสนีนั่งหลังเหยียดตรงชายเสื้อโบกสะบัดอยู่บนหลังของมัน
“โฮก!”
ทันใดนั้นเสียงคำรามดุจดั่งมังกรดังก้องทั่วฟ้าดินเป็นระลอก ก็เห็นแสงสีทองบาดตาหาใดเปรียบแผดร้องอยู่บนเวิ้งฟ้า
นั่นคือเจียวทองเก้าหัวตัวหนึ่งที่บรรทุกตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลังหนึ่ง ลอยล่องแหวกผ่านใต้ผืนฟ้า ทอดมองจากไกลๆ ดูประหนึ่งอาทิตย์สีทองดวงใหญ่เคลื่อนผ่านเวิ้งนภา น่าตกตะลึงเป็นล้นพ้น
นั่นคือผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะซึ่งมาจากแดนกาฬทักษิณอย่างไม่ต้องสงสัย!
ประเดี๋ยวเดียวในเมืองผาดารามีทั้งปักษาเทพร่ายระบำ สัตว์ปีศาจห้อทะยาน ลำแสงสารพัดตัดสลับ ภาพที่แสนเกรียงไกรระดับนั้นเรียกได้ว่าสะท้านโลก ร้อยพันปียังยากจะพานพบสักครั้ง
นี่ก็คืออิทธิพลของเทศกาลโคมกถามรรค!
“คนมากมายขนาดนี้เชียว”
หลินสวิน เยวี่ยเจี้ยนหมิงและไป่เฟิงหลิวก็เร่งออกเดินทางมุ่งสู่นอกเมืองแล้วเช่นกัน
“ส่วนใหญ่คือคนที่มาชมดูเรื่องสนุก ผู้ที่สามารถเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคอย่างแท้จริงก็มีเพียงบรรดาผู้กล้าอย่างพวกเจ้าเท่านั้น”
ไป่เฟิงหลิวทอดถอนใจ บนใบหน้าชราเปี่ยมด้วยแววละห้อย กล่าวอย่างเนิบนาบว่า “คิดถึงในตอนนั้น ผู้เฒ่าอย่างข้าก็นับว่าเป็นอัจฉริยะสะท้านโลกที่คนทั้งเผ่าวาทวาโยต่างเคารพเลื่อมใส มีความสามารถรอบรู้ครอบจักรวาล องอาจสั่นคลอนรอบทิศ เสียดายก็แต่เกิดไม่ถูกจังหวะ มีเจตจำนงสูงส่งแห่งการเข้าถึงมรรคในใต้หล้า กลับได้แต่ทอดถอนใจจนปัญญา!”
เจ้าเฒ่าสากกะเบือคนนี้ยิ่งโม้ก็ยิ่งเกินธรรมดา หลินสวินทำหน้าดูแคลน คร้านจะสนใจเขาแล้ว
ไม่นานนักพวกเขาก็เหินออกนอกเมือง พริบตาเดียวนัยน์ตาหลินสวินพลันหดรัดลง
ก็เห็นว่าในป่าเขากว้างใหญ่ ยามนี้ถึงกับมีกลิ่นอายปานอริยเทพชโลมอยู่ชั้นหนึ่ง ละอองแสงแต้มสีสันพันหมื่นสายโปรยปรายลงมาจากเวิ้งฟ้าประดุจสายน้ำตก ลุกโชนเจิดจรัส ส่องสะท้อนที่แห่งนั้นให้เป็นดั่งภาพฝันมายา
โครมครืน!
ผืนแผ่นดินของที่แห่งนั้นกำลังเคลื่อนไหว ส่งเสียงสะเทือนเลือนลั่นน่าสะพรึงออกมา ราวกับมีบางสิ่งกำลังทำลายพื้นดินตรงนั้นออกมา
ในความเลือนราง แว่วเสียงสัทครรลองมหามรรคเสียงแล้วเสียงเล่าก้องสะท้อนฟ้าดิน เบาหวิวแต่เคร่งครัด ดุจดั่งกระแสเสียงของอริยบุคคลบรรพกาลกำลังท่องคัมภีร์
“แสงอรุณศักดิ์สิทธิ์ฟ้าประทาน เสียงธรรมก้องกระหึ่ม นี่คือนิมิตแห่งการปรากฏเขาพยับคราม!”
ผู้ฝึกปราณรุ่นอาวุโสส่วนหนึ่งโห่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
ชั่วขณะนั้นผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนต่างเร่งฝีเท้าไปทางนั้น ล้วนมีท่าทางเร่งรีบถึงที่สุด
หลินสวินก็อดไหวหวั่นไม่ได้เช่นกัน ยังไม่ทันปรากฏ ก็ทำให้เกิดปรากฏการณ์ฟ้าดินปั่นป่วนอันยิ่งใหญ่เช่นนี้แล้ว ที่มาของเขาพยับครามแห่งนี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่!
ไม่นานนักบนเวิ้งนภาถึงกับมีดอกไม้พิสุทธิ์มหามรรคดอกแล้วดอกเล่าปรากฏขึ้น ร่วงสยายลอยล่องลงมา ทั้งศักดิ์สิทธิ์และไร้อัตตา
หลังจากนั้นก็มีนิมิตต่างๆ ปรากฏตามมา ทั้งมังกรฟ้าเหินทะยาน นกเซียนบินฉวัดเฉวียน รุ้งวิเศษแหวกห้วงอากาศ เมฆมงคลรวมตัว ขับเน้นฟ้าดินบริเวณนั้นให้ประหนึ่งดินแดนพิสุทธิ์แห่งเซียน น่าอัศจรรย์ถึงขีดสุด
ผู้ฝึกปราณมากมายต่างสูดหายใจเฮือก ล้วนเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคเป็นครั้งแรก มีหรือจะคิดถึงว่าจะได้เห็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์เช่นนี้กับตา
ส่วนบรรดาผู้กล้าบางส่วนแววตาลุกวาว จิตใจสั่นสะท้าน เปี่ยมด้วยความปรารถนา พวกเขากำลังจะเข้าร่วมในเทศกาลโคมกถามรรค ได้เห็นปรากฏการณ์ประหลาดสะท้านโลกเช่นนี้ต่อหน้า ย่อมคิดเตลิดเปิดเปิงอย่างเลี่ยงไม่ได้เป็นธรรมดา
“การปรากฏตัวของเขาพยับครามในครั้งนี้ไม่ธรรมดาเกินไปแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต หรือเพราะมหาสงครามใกล้มาเยือนจึงทำให้บริเวณนี้แตกต่างออกไปหรือ”
ผู้ฝึกปราณรุ่นอาวุโสบางส่วนรู้สึกหวั่นหวาด สั่นสะท้านอย่างอธิบายไม่ถูก
พวกเขาเคยพบเห็นความยิ่งใหญ่อลังการของเทศกาลโคมกถามรรคมาก่อนในอดีต แต่ก็ไม่เหมือนครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าความมหัศจรรย์เช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างแน่นอน
“ปีนั้นตอนที่มู่ซางเสวี่ยเจ้าสำนักเรือนกระบี่เร้นปุจฉายังเยาว์วัย ก็เคยได้รับศุภโชคชิ้นใหญ่ในเทศกาลโคมกถามรรค ความสำเร็จครั้งเดียวก็ทำให้มีตำแหน่งในปัจจุบันแล้ว ก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้บุคคลไร้เทียมทานคนใดจะได้รับวาสนาระดับนี้อีก”
บางคนหวนรำลึก
ตูม!
ทันใดนั้นกลางฟ้าดินที่มีแสงอรุณศักดิ์สิทธิ์คละคลุ้ง ลำแสงพลุ่งพล่าน บังเกิดก้องกระหึ่มหนึ่ง ปั่นป่วนเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ประดุจเสียงเมื่อครั้งจักรวาลแรกกำเนิด
และขณะเดียวกันนั้น ห้วงอากาศปริแตก ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกหนึ่งปรากฏขึ้น
ภูเขาลูกนี้ตั้งตระหง่านกลางอากาศ ความสูงเต็มหมื่นจั้ง สูงตระหง่านผ่าเผย แสงมงคลสีม่วงที่ราวกับจับต้องได้พวยพุ่งทั่วตัวภูเขา
มันสูงเหลือเกิน สูงตระหง่านผ่าเผยเหมือนทะลุออกนอกนภา มโหฬารดุจไร้ขอบเขต ทำให้ผู้คนเพียงทอดมองจากระยะไกลก็รู้สึกว่าตัวเล็กจ้อยเหมือนดั่งมด เสมือนเป็นสถานที่พำนักของเทพไท้ในตำนาน
เขาพยับคราม!
เวลานี้มีผู้ฝึกปราณกระจายอยู่แน่นขนัดกลางฟ้าดินราวกับสายน้ำไหลเชี่ยว แต่กลับไม่มีเสียงฮือฮาใด ต่างพากันดวงตาแข็งค้าง ถูกภาพเบื้องหน้าทำเอาตื่นตะลึง
ส่วนบรรดาคนรุ่นอาวุโสที่ก่อนหน้านี้เคยพบเห็นเขาพยับครามมาก่อนแล้ว เวลานี้ก็ยังตกตะลึงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ภูเขาแห่งนี้อัศจรรย์เกินไปแล้ว ไม่เหมือนสิ่งที่บนโลกใบนี้จะมีได้
‘หากตำนานเป็นเรื่องจริง สำนักสูงสุดที่ตั้งอยู่บนภูเขาแห่งนี้ในช่วงบรรพกาล เบื้งลึกเบื้องหลังจะน่าสะพรึงเพียงใด!’
หลินสวินก็อดร้องอุทานในใจไม่ได้
“ดูเร็ว นั่นก็คือต้นโคมสำริดมรรคโบราณ!” ทันใดนั้นมีคนร้องตะโกนขึ้นมา
จากนั้นทุกคนต่างมองเห็น มีแสงสีม่วงสุกสกาวกำลังโหมกระหน่ำแยกเขาพยับครามแห่งนั้นจากกึ่งกลาง ปรากฏต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่สูงพันจั้งต้นหนึ่ง
ทั้งลำต้นราวกับถูกหล่อมาจากน้ำสำริด สีสันเรียบง่าย เจือกลิ่นอายเก่าแก่เข้มข้น
ต้นไม้ต้นนี้หยาบใหญ่ราวกับมังกรยึดพื้นที่ เปลือกไม้แตกระแหง ปกคลุมด้วยลวดลายแน่นขนัด กิ่งก้านแต่ละกิ่งราวกับดาบกระบี่ แข็งแรงเก่าแก่ แผ่ขยายออกไปทั่วสารทิศ
และบนกิ่งพวกนั้น ยามนี้มีดอกตูมสำริดแขวนอยู่ดอกแล้วดอกเล่า เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์งดงามหลากสีพรั่งพรูราวกับโคมไฟ ฝนเพลิงเริงระบำ
ทอดมองจากไกลๆ บนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นนั้นราวกับแขวนอาทิตย์ดวงเล็กๆ ไว้บนนั้น ทั้งเจิดจรัสมหัศจรรย์ ส่องแสงสว่างไพศาล สาดส่องฟ้าดินจนวิจิตรงดงาม
“สิบ ร้อย พัน… สวรรค์! ครั้งนี้ถึงกับมีโคมดอกสำริดพันเศษปรากฏขึ้นพร้อมกัน นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย!”
เวลานี้บุคคลสูงส่งระดับท่านย่ากระเรียนทองก็ยังตื่นตะลึง ยากจะสงบใจได้
โคมดอกไม้หนึ่งดอก เป็นตัวแทนวาสนาหนึ่งชิ้น
โคมดอกไม้พันกว่าดอก นั่นไม่ได้หมายถึงวาสนามากกว่าพันชิ้นหรอกหรือ
นึกถึงจุดนี้ทั่วร่างนางก็รู้สึกสั่นสะท้านน้อยๆ จะต้องเป็นศุภโชคที่ยุคบรรพกาลไม่เคยมีมาก่อน! บางทีต่อไปอาจไม่ปรากฏอีกแล้วก็เป็นได้!
ผู้ฝึกปราณมากมายในที่นั้นต่างตะลึงงันอยู่กับที่ ตกตะลึงจนไร้คำพูด
เทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ไม่ธรรมดาเกินไปแล้ว ปรากฏการณ์ทั้งหมดต่างบ่งชี้ว่าเขาพยับครามและต้นโคมสำริดมรรคโบราณที่อยู่บนนั้นได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยมีมาก่อน และวาสนาที่กำเนิดออกมาจะต้องแตกต่างจากในอดีตอย่างแน่นอน!
“น้องหลิน ต้องคว้าวาสนาครั้งนี้ให้จงได้!”
ไป่เฟิงหลิวตื่นเต้นจนปากสั่นระริก “ถึงแม้พี่ชายจะเข้าร่วมไม่ได้ แต่ก็กล้าฟันธงว่า เทศกาลโคมกถามรรคในครั้งนี้ต้องมีวาสนาไร้เทียมทานแน่ หากสามารถช่วงชิงมาได้ ผลประโยชน์คงไม่มีที่สิ้นสุด แม้แต่การกลายเป็นราชันเป็นอริยะล้วนไม่ใช่เรื่องลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป!”
กล่าวถึงตรงนี้เขาตบบ่าหลินสวินดังป้าบหนึ่งที กล่าวว่า “อย่างลืมล่ะ มู่ซางเสวี่ยเจ้าสำนักคนปัจจุบันแห่งเรือนกระบี่เร้นปุจฉา ตอนนั้นก็ได้รับศุภโชคชิ้นใหญ่จากที่นี่ นี่เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น เขาในยามนี้อยู่ห่างจากระดับอริยะเพียงแค่นิดเดียว!”
“และเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ต่างจากที่ผ่านอย่างสิ้นเชิง ศุภโชคที่เกิดขึ้นทั้งหมดมีแต่จะยิ่งใหญ่กว่าเดิม หากช่วงชิงมาไม่ได้จะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน!”
ไม่จำเป็นต้องเตือนสักนิด หลินสวินก็จะพุ่งเข้าใส่สุดแรงเกิดอยู่แล้ว
เวลานี้ไม่เพียงหลินสวิน บุคคลไร้เทียมทานบางส่วนต่างถูกคนใหญ่คนโตข้างกายกำชับกำชาว่าต้องแย่งชิงสุดแรง เพราะต่างมองออกกันถ้วนหน้าว่าเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ไม่ธรรมดาเกินไป
ตูม!
ทันใดนั้นในบริเวณด้านหน้า ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งพุ่งปราดออกไปหมายชิงตัดหน้าเข้าประชิดเขาพยับครามลูกนั้นก่อน แต่ไม่รอให้เข้าใกล้ ทั้งตัวก็ถูกซัดปลิวออกมาเต็มแรง นั่งฟุบกระอักเลือดอยู่บนพื้นไม่หยุด
ทุกคนต่างได้สติจากความตกตะลึง ฮือฮากันไม่สิ้น
“เฮอะๆ ความแข็งแกร่งไม่พอยังคิดเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรค ช่างน่าขันยิ่งชัดๆ!”
บางคนหัวเราะเยาะ
“นับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน มีเพียงเหล่าผู้กล้าเท่านั้นที่จะสามารถเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคได้ คำพูดนี้มีหรือจะเป็นแค่การพูดส่งๆ ง่ายๆ ไม่มีคุณสมบัติเช่นนี้ก็รีบถอดใจเสียแต่เนิ่นๆ ดีกว่า!”
บางคนเอ่ยเสียงเรียบ
แต่หลินสวินกลับสังเกตได้อย่างว่องไวว่า เมื่อครู่ก่อนที่ผู้ฝึกปราณคนนั้นจะกระเด็นลอยออกมา เขาชนเข้ากับผนึกต้องห้ามลึกลับไร้รูปชั้นหนึ่ง
“บางทีอาจเพราะการมีอยู่ของผนึกต้องห้ามนั่น ถึงทำให้ผู้ฝึกปราณทั่วไปได้แต่หยุดฝีเท้าอยู่ที่นี่ ไม่สามารถปีนป่ายขึ้นเขาได้”
หลินสวินเพิ่งตระหนักได้ในตอนนี้ ว่าเหตุใดผู้ที่เข้าร่วมเทศกาลโมกถามรรคจึงมีแต่เหล่าผู้กล้าพวกนั้น เหตุผลง่ายมาก เพราะผู้ฝึกปราณทั่วไปไม่มีความแข็งแกร่งพอจะเฉียดใกล้เขาพยับครามลูกนั้นแม้แต่น้อย!
“นี่ก็คือพลังแห่งกฎเกณฑ์ของเขาพยับคราม ไม่เพียงผู้ฝึกปราณทั่วไปไม่สามารถเข้าร่วมเท่านั้น สัตว์ประหลาดเฒ่าที่อยู่เหนือระดับกระบวนแปรจุติก็ไม่สามารถเข้าไปได้เช่นเดียวกัน”
ไป่เฟิงหลิวอธิบาย “ในกาลเวลาที่ผ่านมา เคยมีสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันคิดจะเข้าไป ท้ายที่สุดก็ถูกซัดกระแทกจนหัวร้างข้างแตก กลับไปด้วยสภาพยับเยิน อีกอย่างตามข่าวลือ ปีนั้นเคยมีอริยบุคคลมาเยือนที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง แต่ท้ายที่สุดก็แค่มองเขาลูกนี้ปราดเดียวแล้วหันหลังจากไป บางทีนี่อาจจะมีนัยว่าแม้แต่อริยะก็ไม่สามารถเข้าไปในภูเขาลูกนี้ได้!”
หลินสวินสะดุ้งอยู่ในใจ แม้แต่อริยะก็ยากจะก้าวล่วงหรือ
ทันใดนั้นสายตาที่เขามองเขาพยับครามก็เปลี่ยนไป การคงอยู่ของสำนักสูงสุดแห่งนั้นในปีนั้น ก็ดับสูญไปในสายน้ำแห่งกาลเวลาแล้ว มีเพียงภูเขาลูกนี้เท่านั้นที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงต่างๆ นานาแล้วยังอยู่รอดเรื่อยมาได้ สิ่งนี้ช่างพาให้ผู้คนรู้สึกตกตะลึงเกินไปแล้ว
บนเขาลูกนั้นจะซุกซ่อนความลึกลับระดับไหนเอาไว้กันแน่
บางทีเมื่อเหยียบย่างอยู่บนนั้นอย่างแท้จริง ก็จะสามารถสอดส่องเบาะแสส่วนหนึ่งได้!
เวลานี้ในใจหลินสวินก็เกิดความปรารถนาที่ไม่อาจควบคุมได้เช่นเดียวกัน