Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 877 รางวัลพิเศษ
ตอนที่ 877 รางวัลพิเศษ
เหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว…
นอกเขาพยับคราม บรรดาผู้ฝึกปราณต่างรอคอยด้วยความกระสับกระส่าย ในที่สุดก็ใกล้จะรู้แล้วว่า ใครจะสามารถช่วงชิงอันดับหนึ่งของบททดสอบถกมรรคด่านที่สองนี้ไปได้
แม้แต่เหล่าคนใหญ่คนโตต่างก็หยุดสนทนา รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ
ใกล้จะยุติแล้ว…
เขตขีดจำกัดที่แตกต่างกัน บุคคลระดับ อวี่หลิงคง ล้วนแต่รอคอยผลประกาศสุดท้ายอยู่อย่างเงียบๆ
บุคคลแห่งยุคที่ไปถึงยังจุดหมายนานแล้วเหมือนยกภูเขาออกจากอก อย่างน้อยก็ไม่ต้องถูกคัดออก พวกเขาจึงโล่งใจอยู่ไม่น้อย
ส่วนผู้กล้าบางคนที่ยังฝ่าทะลวงในเขตขีดจำกัด จวบจนยามนี้ก็ยังไปไม่ถึงจุดหมาย ต่างไม่อาจยั้งความรู้สึกสิ้นหวังลงได้
ต่อให้ไม่ถูกคัดออก ทว่าเวลาก็เหลือไม่มาก พวกเขารับรู้ได้ว่าครั้งนี้ถูกกำหนดแล้วว่าตนไม่มีโชคพอจะไปบททดสอบด่านถัดไปแล้ว…
…
“ฟัน!”
ในการต่อสู้อันดุเดือด ทันใดนั้นดาบหักที่สว่างพร่างพราวสุดขีดโฉบตวัดขึ้น เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์สะท้านโลกออกมา
ด้านบนตัดเก้าชั้นฟ้า
ด้านล่างกวาดทั่วทิศ
ในพริบตานั้นฟ้าดินขมุกขมัวคล้ายเงียบงันทันใด เวลาดูเหมือนหยุดนิ่ง เหลือไว้แค่เพียงแสงดาบที่ห้อทะยานบาดตาสายหนึ่ง
อัศจรรย์ล้ำเลิศเป็นหนึ่งไม่มีสอง!
พรูด! พรูด! พรูด! พรูด! พรูด!
เงาร่างของ ‘ผู้ฝึกปราณ’ คนแล้วคนเล่าดับสลายไปดั่งหิมะละลายกลายเป็นน้ำ ค่อยๆ เลือนลับจางหาย ไม่อาจขัดขวางและต้านทานได้
“ขอแสดงความยินดีกับศิษย์น้องที่สามารถฝ่าทะลุขีดจำกัดได้”
สตรีชุดกระโปรงรุ้งเจ็ดสีคนนั้นเผยรอยยิ้ม มีความรู้สึกปิติยินดี หลังจากนั้นเงาร่างนางก็อันตรธานหายไปราวกับฟอง
“เมื่อก้าวเข้าสำนักนี้ ไม่ว่าอายุมากน้อยเพียงใดก็ล้วนแต่เป็นพี่น้องกันทั้งสิ้น ศิษย์น้อง สักวันพวกเราจะได้พบกันบนวิถีแห่งมหามรรค รักษาตัวด้วย”
ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าเอ่ยปาก เสียงนุ่มไพเราะดังก้องสะท้อน
จากนั้นเขาหมุนตัว เงาร่างสูงใหญ่ก็หายไปเหมือนเงาฟองจากกลางฟ้าดินขมุกขมัวนี้
บนห้วงอากาศ เจตจำนงต่อสู้ทั่วร่างพวยพุ่งดุจไอหินหนืด เพียงแต่เมื่อได้เห็นภาพนี้ เขาก็ได้สติจากห้วงแห่งการต่อสู้
‘ขอบคุณบุญคุณที่ชี้แนะของทุกท่าน สักวันข้าหลินสวินจะต้องทดแทนให้จงได้’
หลินสวินมองไปยังบริเวณที่พวกชายหนุ่มหายไป พลางเอ่ยขึ้นในใจ
การต่อสู้นี้ทำให้วิชายุทธ์ของเขาถูกเคี่ยวกรำจนถึงขีดสุด บังเกิดการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ซ้ำยังได้หยั่งถึงการต่อสู้อันล้ำค่าหาใดเปรียบ
ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร ธารดาราหลอมเพลิง มรดกหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้า ล้วนแต่หลอมรวมเข้ากับเจตจำนงแห่งมรรคธาตุน้ำที่เขาควบคุมได้ทั้งหมด พลานุภาพเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี ไม่เหมือนที่เคยเป็นมาอีกแล้ว
โดยเฉพาะการฝ่าทะลุขีดจำกัดในครั้งนี้ ทำให้หลินสวินเพิ่งสังเกตว่ามกุฎมรรคาที่แท้จริง คือการผสานพลังทั้งหมดที่มีเข้าด้วยกัน เป็นการเปลี่ยนแปลงขีดจำกัดรอบด้านที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!
นอกจากนี้ พลังจิตวิญญาณก็เกิดการแปรเปลี่ยนด้วยเช่นกัน…
คุณประโยชน์ช่างมีมากล้นจริงๆ
เพียงแค่การหยั่งถึงที่ได้รับจากศึกครั้งนี้ ก็มากพอจะทำให้หลินสวินขัดเกลาและความเข้าใจการฝึกปราณในภายภาคหน้าได้เรื่อยๆ
ตุบ!
ทันใดนั้นร่างของเขาก็โอนเอนก่อนร่วงลงมาที่พื้น
ความเหนื่อยล้าและอ่อนแรงที่ยากบรรยายท่วมท้นไปทั้งร่าง การต่อสู้ครั้งนี้เขาทุ่มเทสุดกำลัง ปลุกเร้าพลังถึงขีดจำกัด ยามนี้เมื่อได้ผ่อนคลายลงจึบยืนหยัดไม่อยู่ทันใด
ฟู่! ฟู่!
หลินสวินหอบหายใจเฮือกใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาซีดขาวอย่างเห็นได้ชัด ร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อ เลือดเนื้อ ผิวหนัง จนถึงกระดูกล้วนปรากฏสภาพหมดแรงไปทั่วทุกอณูของร่างกาย นอนราบไปกับพื้น แม้แต่จะยกนิ้วมือยังกินแรง
นับตั้งแต่เข้ามายังดินแดนรกร้างโบราณจนถึงตอนนี้ เขาไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาติของ ‘ความไร้เรี่ยวแรง’ เช่นนี้มาก่อนเลย นี่คือความรู้สึกที่ว่างเปล่าหลังจากการได้ปลดปล่อยอย่างสุดกำลัง
ว่างเปล่าปราศจากสิ่งใด
เวิ้งว้างดั่งไร้รากยึด
ทว่าในใจของหลินสวินกลับรู้สึกพอใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นัยน์ตาดำของเขากระจ่างและเรียบสงบ จ้องมองไปยังท้องฟ้าขมุกขมัวนั้น คล้ายกับนอนดูดาวที่ทอแสงยามราตรีบนหลังคาเมื่อครั้งเยาว์วัย ไร้ซึ่งความวิตกกังวลอันใด กายและใจล้วนว่างเปล่า
ฮูม!
ในร่างกายที่ว่างเปล่าพลันมีกระแสร้อนรุ่มพรั่งพรูขึ้น ประหนึ่งน้ำพุพวยพุ่ง กระจายไปทั่วสรรพางค์กาย
พริบตานั้นร่างกายที่คล้ายกับเปลวไฟอันริบหรี่ เหมือนไม้แห้งได้ฝนชโลม ทั้งคล้ายแม่น้ำที่แห้งขอดได้ต้อนรับฝนห่าใหญ่ พลังทั้งหมดในร่างล้วนกำลังฟื้นฟูด้วยความเร็วอย่างน่าอัศจรรย์…
หลินสวินสัมผัสอย่างเงียบๆ
นี่คือพลังที่แปรเปลี่ยนหลังจากการฝ่าทะลุขีดจำกัดมาได้ ช่างล้ำค่าหาใดเปรียบ และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
ราวกับดักแด้กลายเป็นผีเสื้อ นิพพานแล้วเกิดใหม่
ตึง!
และในเวลานี้เวลาหนึ่งก้านธูปหมดลงแล้ว ท้องฟ้าขมุกขมัวพลันเกิดเสียงระฆังโบราณดังกึกก้องขึ้น ประหนึ่งว่าเสียงถูกส่งมาไกลเนิ่นนานนับตั้งแต่บรรพกาล
บททดสอบด่านที่สองสิ้นสุดแล้ว
…
ตึง!
บนเขาพยับครามเสียงระฆังดังกึกก้องลากยาว
เล่าผู้ฝึกปราณที่อยู่ภายนอกต่างพากันถอนหายใจเฮือกยาว สิ้นสุดแล้ว ผลการทดสอบด่านที่สองใกล้จะประกาศออกมาแล้ว!
จะเป็นผู้กล้าสามคนไหนที่ได้รับรางวัลพิเศษของบททดสอบในครั้งนี้
ทั้งเป็นใครกันที่แสดงฝีมือเต็มที่ออกมา ยึดครองที่หนึ่งของบททดสอบครั้งนี้
ทุกคนล้วนแต่กำลังเฝ้าคอย
“เร็วเข้า รีบนับจำนวนผู้กล้าที่ถูกคัดออกในครั้งนี้!”
ส่วนผู้ฝึกปราณจากเผ่าวาทวาโยต่างก็เริ่มเคลื่อนไหวทันใด ด้วยโลกภายนอกไม่อาจร่วงรู้รายละเอียดใดในบททดสอบได้
ทว่าจากการเก็บจำนวนผู้ที่ถูกคัดออก ก็จะสามารคาดเดาว่ามีผู้กล้าที่ผ่านบททดสอบด่านที่สองไปได้มากน้อยเท่าไร!
…
และในเขตขีดจำกัดที่แตกต่างกันนี้ ป้ายหินแต่ละแผ่นที่ตั้งตระหง่าน ณ ที่แห่งนั้น ในช่วงเวลาที่บททดสอบสิ้นสุดลง ต่างก็สั่นสะเทือนเสียงดังอื้ออึง
ท้ายที่สุดป้ายหินแต่ละแผ่นแปรเปลี่ยนเป็นยันต์มรรคที่โบราณเก่าแก่ ลอยไปสู่มือของผู้กล้าที่ผ่านการทดสอบทุกคน
ยันต์มรรคโบราณมีขนาดเพียงแค่ฝ่ามือ คล้ายหยกแต่ก็ไม่เชิง บนนั้นสลักอักษรมรรคบรรพกาล เป็นตัวแทนคะแนนของผู้กล้าที่ผ่านบททดสอบแต่ละคน
ขณะเดียวกัน สามารถอาศัยยันต์แผ่นนี้เข้าร่วมบททดสอบด่านที่สามได้
ฟึ่บ!
อวี่หลิงคงกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความพอใจ ยกแขนขึ้นคว้าทันใด กุมยันต์แผ่นนั้นไว้ในมือ
“ผู้อาวุโส ครั้งนี้ข้าจะต้องทำความปรารถนาของท่านให้สำเร็จให้จงได้ นำสิ่งที่ท่านไม่อาจตัดใจลืมได้ลงชิ้นนั้น… หืม?”
ขณะที่เหลือบมองไปยังอักขระบนยันต์มรรค จากเดิมที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม อวี่หลิงคงที่จิตใจฮึกเหิมพลันประหนึ่งโดนสายฟ้าฟาดผ่าในทันใด
ดวงตาของเขาหดรัด ปากสั่นเครือ ความรู้สึกอยากกระอักเลือดกลับมาอีกครั้ง…
อันดับสาม?
แววตาของอวี่หลิงคงสาดประกายน่าอกสั่นขวัญแขวน จ้องยันต์มรรคที่อยู่ในมืออย่างไม่ลดละ ราวกับไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”
สุดท้ายเขาก็ไม่อาจอดกลั้นไว้ได้ ตะโกนด้วยความแค้นเคืองและไม่พอใจ ผมยาวแผ่สยาย สีหน้าท่าทางน่ากลัวถึงขีดสุด
แม้แต่อันดับสองยังไม่ใช่ ได้แค่เพียงอันดับสาม?
อวี่หลิงคงที่ทะนงตนมาตลอดจะยอมรับได้อย่างไร
ในอดีตเขาถูกมองว่าเป็นหนึ่งในบุคคลแห่งยุคที่เจิดจรัสที่สุดแห่งแดนกาฬทักษิณ ทั้งฐานะ ภูมิหลัง รากฐาน และพลังปราณล้วนแต่ได้รับการยกย่องให้เป็นอัจฉริยะในหมู่คนหนุ่มสาว มีรัศมีเจิดจรัสมากล้นจนไร้ผู้ใดทัดเทียม
ยามเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคแห่งแดนฐิติประจิมในครั้งนี้ นอกจากจี้ซิงเหยาแล้ว คนอื่นย่อมไม่อยู่ในสายตาเขาแม้แต่น้อย
ทว่าตอนนี้ ในการทดสอบถกมรรคด่านที่สอง เขากลับได้เพียงอันดับสามเท่านั้น!
บางทีผลคะแนนนี้เมื่อเทียบกับผู้กล้าคนอื่นๆ อาจกล่าวได้ว่าน่าตกตะลึง สามารถทำให้ใครอื่นเกิดความภูมิใจแล้ว
แต่สำหรับอวี่หลิงคงแล้ว นี่เป็นการหยามเกียรติอย่างไม่น่าให้อภัยอย่างหนึ่ง!
“อันดับแรกเป็นใครกันแน่”
อวี่หลิงคงมีท่าทีควบคุมอารมณ์ไม่อยู่พอตัว สีหน้าเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นหาใดเทียบ ตัวเขาในอดีตองอาจผึ่งผาย สุภาพมีมาด ท่วงท่าสง่างาม
ทว่าเขาในเวลานี้เห็นได้ชัดว่าเสียการควบคุมอยู่บ้างแล้ว
“ไม่ว่าเป็นใคร การหยามเกียรตินี้ข้าจะเอาคืนให้สาสม!”
รอบกายอวี่หลิงคงแผ่กลิ่นอายน่าประหวั่นสายหนึ่ง แสงนัยน์ตาสาดประกายสายฟ้าอันเยียบเย็นคมกริบออกมาเป็นสายๆ
และในตอนนี้เอง วงแสงกลุ่มหนึ่งเจิดจ้าปรากฏออกมา สะท้อนอยู่เบื้องหน้าอวี่หลิงคง ภายในวงแสงมีกรรไกรสีทองอร่ามด้ามหนึ่งลอยอยู่รำไร ประดุจเจียวสีทองคู่หนึ่งกำลังรัดเกี่ยวพันกันอย่างไรอย่างนั้น
นี่เป็นรางวัลพิเศษ มีเพียงผู้ที่ได้อันดับสามในบททดสอบถกมรรคด่านที่สองเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ครอบครอง
“กรรไกรเจียวทอง…” อวี่หลิงคงดวงตาหดรัด ใจเต้นรัว หรือนี่จะเป็นสมบัติอริยะที่เลื่องชื่อลือชามาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล
แต่ไม่ช้าในใจเขาก็ต้องผิดหวัง นี่เป็นเพียงแค่ของเลียนแบบ แม้แต่ยอดศาสตรามรรคราชันยังไม่อาจเรียกได้ แต่พลานุภาพกลับน่าอัศจรรย์หาใดเปรียบ สามารถเทียบเคียงกับยอดศาสตรามรรคราชันได้
“ของวิเศษที่ผู้อาวุโสไม่อาจตัดใจได้ ก็คือของวิเศษที่มีที่มาลี้ลับ พิศวงยากหยั่งถึง ต้องไม่ใช่ของกรรไกรเจียวทองเลียนแบบเล่มนี้อย่างแน่นอน…”
“ไม่ว่าผู้ใดได้ครอบครองมันไป ข้าจะต้องชิงกลับมาให้จงได้”
แววตาอวี่หลิงคงสาดประกายเยียบเย็นในบัดดล
…
“อันดับสอง… หรือจะเป็นเจ้าอวี่หลิงคงก้าวนำข้าไปก้าวหนึ่ง”
เขตขีดจำกัดอีกแห่ง จี้ซิงเหยาขมวดคิ้วคร่ำเคร่ง ใบหน้างามงดเจือความหงุดหงิด “หากรู้เสียแต่แรก ข้าคง…”
ทว่าท้ายที่สุดนางถอนหายใจเบาๆ และไม่ถือสาหาความอีก
“ก็แค่ผลแพ้ชนะในชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เมื่อฝ่าทะลุบททดสอบทั้งห้าด่านไปได้ จึงจะเป็นเวลาตัดสินแพ้ชนะของจริง เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมายใดขึ้นอีก…”
จี้ซิงเหยาหายใจสูดหายใจลึก นัยน์ตาทอแสงมุ่งมั่น
ไม่มีใครรู้ว่าในบททดสอบด่านที่สองนี้ นางไม่เคยงัดไพ่ตายที่แท้จริงออกมาเลยสักครั้ง
หรืออาจกล่าวได้ว่า นางคิดว่าในการทดสอบครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นเพราะตนเก็บงำความสามารถเกินไป ถึงได้พลาดอันดับหนึ่งไป!
…
ในเขตขีดจำกัดที่แตกต่างกัน เหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้กำลังจะทยอยเกิดขึ้น
ขณะที่บุคคลแห่งยุครับรู้ถึงอันดับของตนเองทีละคนๆ บ้างก็พอใจ บ้างก็โกรธแค้นเดือดดาลและไม่ยอมรับ
เพียงแต่สามอันดับแรกเป็นผู้ใดกันแน่ กลับไม่มีใครสามารถบอกได้
…
และในเวลานี้ หลินสวินซึ่งได้อันดับหนึ่งด้วยมาอย่างงุนงง ก็มีอาการตกตะลึงอยู่บ้าง
กลุ่มแสงศักดิ์สิทธิ์ไหลวนกลุ่มหนึ่งปรากฏเบื้องหน้า ภายในนั้นยังมีของวิเศษชิ้นหนึ่ง เป็นรางวัลพิเศษที่จะได้รับหลังชิงอันดับหนึ่งมาได้ในครั้งนี้
เพียงแต่เจ้าของวิเศษสิ่งนี้กลับเล็กจิ๋วมาเกินไปอย่างเห็นได้ชัด
มันเป็นขวดหยกใบหนึ่ง ทว่ามีขนาดประมาณหัวแม่มือ ทั่วทั้งตัวขวดถูกขัดจนเงาวับดั่งหยกมันแพะ เผยให้เห็นชั้นสีเขียวอ่อนๆ แวววาวใสกระจ่าง
หลินสวินยังไม่เคยเห็นขวดหยกที่มีขนาดเล็กกระจิ๋วเช่นนี้มาก่อน ดูแล้วคล้ายกับของเล่นในมือเด็กอย่างไรอย่างนั้น
นี่ก็คือของรางวัล?
หลินสวินตะลึงงันอยู่นานกว่าจะหยิบของชิ้นนั้นไว้ในมือ กลิ่นที่นุ่มละมุนสดชื่นสายหนึ่งแผ่คลุมทั่วฝ่ามือ
ขวดหยกใบนี้เล็กกระจุ๋มกระจิ๋มเกินไปแล้ว เบาราวกับไร้สิ่งใดวางอยู่บนฝ่ามือ ปากขวดกลมเกลี้ยง ผิวขวดมีแสงสีเขียวอ่อนไหลเวียน ชวนให้ผู้คนระบุไม่ได้ว่าเจ้าของวิเศษนี้มีไว้ใช้ทำอะไร
หลินสวินแทรกจิตรับรู้ลงไปภายในนั้น ทันใดนั้นในสมองพลันปรากฏชื่อของขวดใบนี้ เพียงแต่พริบตาต่อมา สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปเป็นผิดปกติอยู่บ้าง
ขวดมหามรรค…สุดหยั่ง?