Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 893 มารกระบี่เยี่ยเฉิน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 893 มารกระบี่เยี่ยเฉิน
ตอนที่ 893 มารกระบี่เยี่ยเฉิน
เหล่าคนใหญ่คนโตล้วนมีอยู่ในขุมอำนาจที่แตกต่างกัน เป็นตัวแทนเจตจำนงของแต่ละสำนักใหญ่ในแดนฐิติประจิม
เรียกได้ว่าขอเพียงแค่ถูกพวกเขาเลือก แม้เป็นพวกโง่เขลาเบาปัญญา ก็เท่ากับกลายเป็นปลาที่ว่ายข้ามประตูมังกร ทั้งฐานะตำแหน่งล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกดิน
ยิ่งไปกว่านั้นเทพมารหลินไม่ใช่พวกโง่เขลาแต่อย่างไร ตรงกันข้าม เขาเรียกได้ว่าอยู่ในระดับเย้ยฟ้าในบรรดาผู้กล้า ชื่อเสียงสะเทือนแดนฐิติประจิม
บวกกับเขามาจากโลกชั้นล่าง ไม่มีสำนักไม่มีพรรค หัวเดียวกระเทียมลีบ ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นสำนักโบราณใดก็คงเต็มใจทอดสะพาน สร้างความสัมพันธ์และเชิญชวนผู้กล้าแห่งยุคอย่างหลินสวิน
“ข้าพูดไว้ตรงนี้เลยว่า ไม่ว่าต้องแลกกับอะไร ข้าก็จะพาหลินสวินเข้ามาอยู่ในสำนักให้ได้!”
“ฮ่าๆ ใครบ้างจะพูดจาเด็ดเดี่ยวไม่เป็น”
“ทุกท่านจำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้เลยหรือ เพื่อเทพมารหลินคนเดียว พวกเราแก่งแย่งกันเช่นนี้ต่อไปก็มีแต่จะทำลายความสัมพันธ์”
ผู้ยิ่งใหญ่ในแต่ละสำนักเหล่านั้นแย่งกันจนหน้าดำหน้าแดงไม่มีที่สิ้นสุด เหลือเพียงแค่ไม่ได้ถลกแขนเสื้อลงมือเท่านั้น
ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ในที่นั้นพากันอิจฉาตาร้อน เทพมารหลินสุดยอดเกินไปแล้ว ทำให้สำนักโบราณเหล่านั้นต่างแย่งชิงตัว
ต้องรู้ว่าในแดนฐิติประจิม ฐานะของสำนักโบราณราวกับภูเขาใหญ่ที่สูงตระหง่านเกินเอื้อม เงื่อนไขในการเลือกลูกศิษย์วิปริตและเข้มงวดอย่างมาก ในทุกๆ ปีจะมีผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์ไม่รู้เท่าไหร่ถูกสำนักโบราณเหล่านี้ปฏิเสธ
แต่ดูตอนนี้ผู้ยิ่งใหญ่ที่มาจากสำนักโบราณเหล่านี้ กลับเกิดความขัดแย้งดุเดือดเพื่อชิงตัวเทพมารหลินคนเดียว นี่เป็นเรื่องหายากที่ไม่เคยได้ยินและไม่เคยเห็นมาก่อน!
“จะว่าไป เทพมารหลินก็มีคุณสมบัติที่จะถูกให้ความสำคัญเช่นนี้ แค่ในเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ ผลงานของเขาก็เรียกได้ว่าโดดเด่นน่าชื่นชม”
มีผู้ฝึกปราณบางคนถอนหายใจ พาให้หลายคนต่างเห็นด้วย
ในการทดสอบถกมรรคด่านแรก หลินสวินขึ้นเขาน้ำแข็งปทุมเพลิงเพียงลำพัง ชิงดอกบัวเพลิงเก้ากลีบต้นหนึ่งมาได้อย่างง่ายดายท่ามกลางสายตาเป็นศัตรูของเหล่าผู้กล้า แล้วลอยตัวจากไป
ในเขตขีดจำกัดด่านที่สอง เหมือนว่าเขาจะได้อันดับหนึ่ง ได้รับรางวัลพิเศษ แม้จะเป็นเพียงข้อสันนิษฐานไม่สามารถยืนยันได้ แต่คาดการณ์จากข้อมูลต่างๆ เบาะแสของอันดับหนึ่งชี้ไปที่หลินสวินเกือบทั้งหมด!
ในด่านที่สาม เขาทะลวงปราณกลางทะเลปรวนแปร โจมตีซาหลิวฉานจนพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว ทำให้อีกฝ่ายตกใจจนต้องหลบหนี เร่งรีบถอยห่าง
และในด่านที่สี่ เขายิ่งสร้างปาฏิหาริย์ที่ไม่เคยมีมาก่อน คนเดียวจุดโคมวิญญาณสว่างถึงหกดวงและล้วนราวกับสุริยันกลางนภา เปล่งแสงสว่างไร้ขีดจำกัด กลบพวกจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคงมิด เรียกได้ว่าโดดเด่นเพียงผู้เดียว!
พลังต่อสู้ รากฐานพลัง ศักยภาพแฝงระดับนี้ ล้วนเรียกได้ว่าเป็นบุคคลแห่งยุคที่น่าทึ่งคนหนึ่ง สำนักไหนบ้างจะไม่หวั่นไหว
ไม่แปลกที่เหล่าผู้ยิ่งใหญ่จะแย่งชิงกันอย่างเสียอาการ เป็นใครก็คงไม่สามารถนิ่งดูดายได้
“หึ! ทุกท่าน หรือพวกท่านไม่รู้ว่าเขาคือศัตรูที่ถูกเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬหมายตาไว้ อีกทั้งตั้งแต่เขามีชื่อเสียงขึ้นมาจนถึงตอนนี้ ก็ล่วงเกินคนมาแล้วไม่รู้เท่าไหร่ พวกท่านแน่ใจหรือว่าจะรับเขาเป็นศิษย์”
มีคนแค่นเสียงอย่างเย็นชา เป็นผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของเผ่าฉลามสมุทร
“ไม่ผิด ทุกท่านโปรดใคร่ครวญให้รอบคอบ อย่างน้อยเผ่าหงส์เขียวของข้าก็ไม่มีทางปล่อยโอกาสแก้แค้นเด็กคนนี้!”
หญิงวัยกลางคนเผ่าหงส์เขียวคนหนึ่งส่งเสียงอย่างเหี้ยมโหด
“ที่สำคัญที่สุดคือ ทุกอย่างอย่าลืมว่าตอนที่อยู่บนฝั่งทะเลปรวนแปร บุคคลแห่งยุครุ่นเยาว์อย่างอวี่หลิงคง จงหลีอู๋จี้ จั๋วขวงหลัน ซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์ ได้ประกาศชัดว่าจะสังหารเด็กคนนี้เมื่อถึงต้นโคมสำริดมรรคโบราณ”
พูดถึงตรงนี้หญิงวัยกลางคนผู้นั้นพลันเผยความดูถูก “เรียกได้ว่าเด็กนี่จะรอดชีวิตกลับออกมาจากเขาพยับครามหรือไม่ยังยากจะพูด!”
ทันใดนั้นบรรยากาศ ณ ที่นั้นพลันเงียบไปไม่น้อย สายตาของผู้ยิ่งใหญ่แต่ละคนต่างวูบไหว สีหน้าแตกต่างกันออกไป เริ่มใคร่ครวญถึงข้อดีข้อเสียของการรับหลินสวินเป็นศิษย์
“นี่ก็คือความจริง”
ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ เห็นเช่นนี้ ในใจต่างลอบถอนหายใจ เทพมารหลินแข็งแกร่งก็ส่วนแข็งแกร่ง แต่คนที่เขาล่วงเกินมากเกินไปแล้ว
หากรับเขาเป็นศิษย์ ทำให้สำนักโบราณเหล่านั้นล้วนต้องพิจารณาและคำนึงถึงผลที่อาจตามมา!
ทันใดนั้นมีคนยิ้มเยาะ “หึ อยากจะรับเป็นศิษย์ แต่ไม่อยากเดือดร้อนแบกรับภาระ นี่ไม่เท่ากับอยากได้แต่ไม่ยอมเสีย ในโลกนี้ไม่มีเรื่องดีขนาดนี้หรอกนะ!”
ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ที่มาจากสำนักต่างๆ ต่างอึมครึม ใครกล้าถึงเพียงนี้ ถึงกับกล้าพูดจาแดกดันและเยาะเย้ยพวกเขา
ทันใดนั้นทุกคนพลันเงียบสงัด ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ เองก็แอบตกใจ คำพูดนี้รุนแรงอย่างที่สุด ใครกันที่กล้าพูดเช่นนี้
ไม่จำเป็นต้องตามหา ทุกคนพลันมองเห็นเจ้าของเสียงตั้งแต่แวบแรก
นั่นเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาอยู่ในชุดคลุมสีดำ เส้นผมสีดำขลับเงางามราวกับผ้าไหม เป็นประกายระยิบระยับ บุคลิกองอาจห้าวหาญสง่างามราวกับทวนยาวด้ามหนึ่ง ราวกับสามารถทะลวงท้องฟ้าได้
เขายืนตระหง่านอยู่บนยอดเนินเขาเตี้ยลูกหนึ่ง สองมือไพล่หลัง มองหยันลงมา ดวงตาทั้งคู่เผยลักษณ์ประหลาดอันน่าหวั่นหวาดที่ปลดปล่อยหมื่นกระบี่ออกมา น่ากลัวอย่างที่สุด
“พ่อหนุ่ม ระวังเคราะห์ภัยจะมาจากปาก!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งต่อว่า
“ทำไมรึ สะกิดปมเจ้าเข้าจึงไม่พอใจหรือ”
ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบ ในดวงตาวับวาวฉายแสงเฉียบคมเย็นเยียบราวกับกระบี่ “ตาแก่ ข้าเองก็ขอเตือนเจ้าว่า ขืนยังกล้าข่มขู่ต่อ ระวังจะรักษาชีวิตไม่อยู่!”
“เจ้ารนหาที่ตาย!”
ผู้อาวุโสเดือดดาล เขามาจากสำนักโบราณแห่งหนึ่ง และนับว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ตอนนี้กลับถูกเด็กคนหนึ่งต่อว่าและข่มขู่เช่นนี้ สีหน้าพลันข่มอารมณ์ไม่อยู่ทันที
“เจี้ยนสิบสาม!”
ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบคำหนึ่ง
พลันเห็นว่าห่างไปไกล ข้ารับใช้อาวุโสที่แบกกระบี่ยาวไว้กลางหลังปรากฏตัวขึ้น ร่างกายเขาผอมแห้ง สีหน้าดูเฉยชาผิดปกติ
ฟึ่บ!
ทุกคนรู้สึกเพียงว่าภาพตรงหน้าพร่าเบลอไปชั่วขณะ จู่ๆ ศีรษะของผู้อาวุโสคนนั้นพลันถูกตัดปลิวขึ้นกลางอากาศ
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครเห็นว่าข้ารับใช้อาวุโสคนนั้นลงมืออย่างไร
ทุกคนตกตะลึง บรรยากาศเงียบงันอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
แม้แต่คนใหญ่คนโตอย่างพวกท่านย่ากระเรียนทอง แต่ละคนต่างสั่นเทิ้มไปทั้งกาย ในใจสั่นไหวรุนแรง สีหน้าเคร่งขรึมอย่างที่สุด
ข้ารับใช้สีหน้าเฉยชา ราวกับมองข้ามทุกคนในนี้ หมุนตัวเดินไปอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มชุดคลุมดำเสียดื้อๆ มือทั้งคู่ตกลงข้างลำตัว ยืนเงียบอยู่อย่างนั้น
กลิ่นอายรอบตัวเขาแห้งเหือดจนราวกับไม่มีเหลือ ร่างกายซูบผอม ดูธรรมดามาก ไม่ดึงดูดสายตาเลยสักนิด แต่ทุกคนต่างรู้ว่า ผู้ยิ่งใหญ่ที่มาจากสำนักโบราณคนนั้นถูกข้ารับใช้อาวุโสผู้นี้ฆ่า
การเคลื่อนไหวของเขากระฉับกระเฉงว่องไว ภายใต้การโจมตีเดียวก็ทำให้ศีรษะร่วงลงพื้น แต่กลับไม่มีใครดูออกว่าเขาทำได้อย่างไร
ไวเกินไปแล้ว!
“ยังมีใครไม่พอใจอีก”
ชายหนุ่มชุดคลุมดำพูดเรียบๆ เสียงลอยล่องอยู่ท่ามกลางฟ้าดินที่เงียบงันนี้
ทุกคนมองหน้ากัน ไม่มีใครตอบ
แม้แต่ผู้สูงส่งระดับท่านย่ากระเรียนทอง ยามนี้ยังเลือกที่จะเงียบ
ชายหนุ่มชุดคลุมดำเห็นเช่นนี้เหมือนจะผิดหวังเล็กน้อย พลันพูดอย่างหมดความสนใจ “ข้าชื่อเยี่ยเฉิน มาจากแดนดาราอุดร ใครอยากแก้แค้นก็สามารถไปหาข้าที่แดนดาราอุดรได้เลย”
เขาหมุนตัวหมายจะจากไป แต่เหมือนคิดอะไรออกจึงหยุดฝีเท้ากล่าว “หากเทพมารหลินนั่นสามารถรอดชีวิตออกจากเขาพยับครามได้ ก็ฝากบอกเขาว่า ยินดีต้อนรับเขามาเป็นแขกที่ ‘เขาจื่อเวย’ แห่งแดนดาราอุดร!”
พูดจบเขาก็เดินจากไปด้วยท่าทางไม่เกรงกลัวสิ่งใด
ด้านหลังข้ารับใช้อาวุโสแบกกระบี่ตามหลังไปอย่างไม่เร่งไม่รีบ
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครกล้าขวางไว้
“เป็นเขา! เยี่ยเฉินอัจฉริยะกระบี่ที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของ ‘ตระกูลเก่าแก่เยี่ย’ แห่งเขาจื่อเวย!”
จู่ๆ บรรยากาศอันเงียบเชียบก็ถูกเสียงอุทานด้วยความตกใจหนึ่งทำลาย
ทันใดนั้นทั้งที่นั้นพลันสั่นสะเทือน
ตระกูลเก่าแก่เยี่ย นี่เป็นถึงตระกูลอริยะที่มีชื่อเสียงอย่างมากในแดนดาราอุดร ตระกูลนี้คงอยู่มาตั้งแต่สมัยบรรพกาลและจนถึงปัจจุบัน เคยให้กำเนิดอริยะหลายท่านในประวัติศาสตร์
จนถึงตอนนี้ ยังมีอริยะที่ยังมีชีวิตอยู่คนหนึ่งควบคุมดูแลเขาจื่อเวย!
“ข้านึกออกแล้ว เยี่ยเฉินคนนี้คงจะเป็นอัจฉริยะวิถีกระบี่รุ่นเยาว์แห่งแดนดาราอุดรที่ได้รับขนานนามว่า ‘มารกระบี่จื่อเวย’!”
ท่านย่ากระเรียนทองสีหน้าซับซ้อน
ชื่อเสียงของเยี่ยเฉินไม่ด้อยไปกว่าจี้ซิงเหยาและอวี่หลิงคงเลยสักนิด ถึงขั้นที่มากกว่าด้วยซ้ำ!
‘เพียงหมุนตัวสยบแดนดาราอุดร หนึ่งกระบี่สาดแสงเก้าพันแคว้น’
‘อัจฉริยะวิถีกระบี่ สามารถพลิกฟ้า!’
นี่คือคำวิจารณ์ของแดนดาราอุดรมีต่อเยี่ยเฉิน ทั้งยังได้รับการยอมรับจากสำนักโบราณมากมาย เป็นบุคคลระดับปีศาจคนหนึ่งอย่างแน่นอน
เพียงแต่ไม่มีใครคิดว่าปีศาจที่ชื่อเสียงโด่งดังทั่วแดนดาราอุดรมาช้านาน กลับปรากฏตัวนอกเขาพยับครามแห่งแดนฐิติประจิม
“หรือเขามาเพราะเทพมารหลิน ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงอุตส่าห์ฝากข้อความไว้ว่ายินดีต้อนรับเทพมารหลินไปเป็นแขกที่เขาจื่อเวย”
ผู้ฝึกปราณหลายคนหัวใจสะท้าน ประโยคที่เยี่ยเฉินพูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนไปทำให้พวกเขาคิดไปต่างๆ นานา
……
“นายน้อย ควรกลับบ้านแล้ว” ระหว่างทางข้ารับใช้อาวุโสเตือนเสียงต่ำ
“เจี้ยนสิบสาม เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าเหตุใดข้าจึงทำเช่นนี้” เยี่ยเฉินถาม
ผู้อาวุโสยิ้มอย่างอบอุ่น “นายน้อยทำเช่นนี้ย่อมต้องมีเหตุผล”
เยี่ยเฉินพยักหน้า “ไม่ผิด ตั้งแต่ข้าเข้าสู่แดนฐิติประจิมก็ได้ยินชื่อของเทพมารหลินทุกแห่งหน แต่สิ่งที่มาคู่กัน ก็มีทั้งคำพูดใส่ความและเย้ยหยันมากมาย แต่ที่น่าขันคือ เสียงเยาะเย้ยเหล่านั้นล้วนเกี่ยวข้องกับฐานะของเทพมารหลิน”
“นี่ปกติมาก เด็กคนนั้นมาจากโลกชั้นล่าง ไร้ที่พึ่งพิง หัวเดียวกระเทียมลีบ ทั้งยังโด่งดังไวเกินไป ไม่อยากถูกวิจารณ์คงยาก” ผู้อาวุโสอมยิ้มพูด
“แต่ขัดตาข้า”
เยี่ยเฉินขมวดคิ้ว “ข้าอุตส่าห์ดูอยู่นอกเขาพยับคราม ก็เพื่อจะดูว่าเทพมารหลินนั่นเป็นคนอย่างไรกันแน่ ตอนนี้มีคำตอบในใจแล้ว มั่นใจมากว่านี่เป็นบุคคลเก่งกาจที่โดดเด่นสะดุดตาอย่างที่สุดคนหนึ่ง แต่ผู้แข็งแกร่งที่เป็นเช่นนี้กลับถูกวิจารณ์และนินทาอย่างเหลวไหลมากมาย น่าโมโหจริงๆ”
พูดถึงตรงนี้เยี่ยเฉินเหยียดมุมปากอย่างดูถูก “เจี้ยนสิบสาม เมื่อครู่นี้เจ้าก็เห็นสีหน้าของพวกที่ได้ชื่อว่าผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นแล้ว ทั้งอยากรับเทพมารหลินเป็นศิษย์ แต่ก็ไม่อยากเดือดร้อน ท่าทีเช่นนี้น่าเกลียดเกินไปแล้ว!”
“เพราะฉะนั้นนายน้อยจึงคิดจะแก้แค้นให้เทพมารหลินหรือ”
“ไม่ได้ช่วยเขาแก้แค้น แต่มันขัดตาข้า”
ทั้งร่างเยี่ยเฉินแผ่อานุภาพอันน่าหวั่นหวาดราวกับกระบี่ที่แหลมคม “สิ่งที่ข้าฝึกคือจิตพึงใจ สิ่งใดที่ขัดตาข้าก็เป็นการขัดต่อจิตใจข้า หากขัดใจแล้ว ข้ายังจะฝึกปราณหยั่งรู้วิชาอะไรได้”
“แต่ใต้หล้านี้มีเรื่องราวมากมายที่ไม่สามารถได้ดั่งใจ” ข้ารับใช้ชรากล่าว
“งั้นก็จัดการในกระบี่เดียว!”
เยี่ยเฉินไม่ลังเลเลยสักนิด คำพูดแข็งแกร่งเช่นเดียวกับตัวคน เช่นเดียวกับกระบี่
……
ในเวลาเดียวกัน ในเขาพยับคราม เงาร่างของหลินสวินและคนอื่นๆ ปรากฏในป่าศิลาเก่าแก่ผืนหนึ่ง
การทดสอบด่านสุดท้ายกำลังจะเริ่มขึ้นในป่าศิลาผืนนี้
——