Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 906 ระเบิดในหมัดเดียว
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 906 ระเบิดในหมัดเดียว
ตอนที่ 906 ระเบิดในหมัดเดียว
ในกระบวนผนึกมรรคราชัน เงาร่างหลินสวินตลบอบอวลไปด้วยไอซวนหนี แม้แต่กลิ่นอายยังถูกบดบัง ดุจแปรสภาพเป็นโปร่งแสง
วู้ม!
ในมือของเขา ขวดเล็กขนาดเท่านิ้วโป้ง ขาวเปล่งปลั่งราวหยกมันแพะขวดหนึ่งระเบิดแสงยุ่งเหยิง แผ่คลื่นแปลกประหลาดออกมา
พลังต้องห้ามที่พรั่งพรูออกมาจากทั่วสารทิศยังไม่ได้เข้าใกล้ ก็ถูกขวดเล็กกลืนกินจนหมดอย่างเงียบเชียบ อัศจรรย์หาใดเทียบ
ขวดมหามรรคสุดหยั่ง!
หลินสวินสีหน้าพิกลไปบ้าง เดิมเขาเพียงคิดลองดูเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าขวดเล็กอัศจรรย์นี้ยังบรรจุพลังต้องห้ามของกระบวนรอยสลักวิญญาณได้ด้วย!
เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าความเร้นลับและอานุภาพที่พลังโจมตีของค่ายกลนี้กับตัวกระบวนรอยสลักวิญญาณมี ล้วนถูกขวดเล็กบรรจุเข้าไปอย่างเงียบๆ
“เป็นของดีดังคาด ไม่เพียงสามารถกลืนกินการโจมตี สะสมอานุภาพ ยังสามารถบรรจุพลังของกระบวนรอยสลักวิญญาณได้ นี่น่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว…”
หลินสวินทอดถอนใจในใจ ขวดมหามรรคสุดหยั่งเป็นรางวัลพิเศษที่ได้มาในการทดสอบถกมรรคด่านที่สอง เป็นของล้ำค่าอัศจรรย์ที่ไม่เหมือนสิ่งใดในโลกชิ้นหนึ่ง
เพียงแต่กระทั่งตอนนี้ หลินสวินยังไม่ได้สืบดูคุณประโยชน์ทั้งหมดของขวดนี้ได้
หืม?
หลินสวินพลันสังเกตเห็นว่า ระหว่างที่กลืนกินพลังลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวขวดที่โปร่งแสงแวววาวนั้นบังเกิดลวดลายมรรคแปลกประหลาดคลุมเครือไม่ชัดเจน
ในขณะเดียวกันขวดเล็กก็เริ่มร้อนขึ้น สั่นระรัวเสียงดังหึ่ง ดั่งมีทีท่าจะอิ่มตัว เหมือนน้ำเต็มขวดกำลังจะไหลทะลักออกมา
ทว่าเมื่อหลินสวินลองใช้พลังจิตรับรู้ของตนไปควบคุม จู่ๆ ขวดเล็กก็ไม่สั่นอีก ท่าทางเหมือนจะสงบนิ่ง ตัวขวดปรากฏสีเขียวเจิดจ้า
พลังกลืนกินของมันยิ่งเปลี่ยนเป็นแข็งกล้า ภายในขวดราวสุดหยั่ง การโจมตีต้องห้ามที่ปะทุจากทุกสารทิศล้วนถูกกลืนกินเข้าไปประหนึ่งเมฆเว้าแหว่งที่ถูกลมพัดตลบ
ในใจหลินสวินตระหนักได้อย่างหนึ่ง
ขวดมหามรรคสุดหยั่งไม่ได้ไม่ต้องควบคุม กลับกัน หากคิดจะสำแดงอานุภาพของมัน การควบคุมพลังจิตวิญญาณเป็นกุญแจสำคัญ!
…….
“ตายหรือยัง”
นอกกระบวนผนึกมรรคราชัน ซาหลิวฉานกระวนกระวายอยู่บ้าง พลานุภาพของกระบวนผนึกมรรคราชันแม้น่าหวาดหวั่นหาใดเทียบ แต่เช่นเดียวกัน เมื่อควบคุมกลับเปลืองพลังถึงที่สุด
หากเปลี่ยนเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณ หรือผู้แข็งแกร่งระดับราชันควบคุม นั่นย่อมทำได้ดั่งใจโดยไม่ต้องคิดมาก
แต่ไม่ว่าจะเป็นซาหลิวฉาน หรือพวกชิงเหลียนเอ๋อร์ ต่อให้เป็นบุคคลแห่งยุครุ่นเยาว์ แต่อย่างไรเสียก็มีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติเท่านั้น แม้จะร่วมมือกันควบคุมค่ายกลใหญ่ แต่เวลาผ่านมานานแล้วย่อมกินแรงไปไม่น้อย
“ยัง”
ใบหน้างามล้นของชิงเหลียนเอ๋อร์ก็ไม่สู้ดีเช่นกัน นางหอบหายใจเล็กน้อย สีหน้าซีดเซียวไปบ้าง เริ่มทานทนไม่ไหวแล้ว
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้”
จงหลีอู๋จี้สีหน้าอึมครึม สังหรณ์ใจไม่ดี
นี่เป็นถึงกระบวนผนึกมรรคราชันเชียวนะ!
แต่เหตุใดกระทั่งตอนนี้กลับยังฆ่าเด็กหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่งไม่ได้
“ชิงเหลียนเอ๋อร์ เจ้ากำลังหลอกพวกเราใช่หรือไม่ ทำไมข้ารู้สึกว่าพลังของข้ายิ่งหมดไปอย่างรวดเร็วเสียล่ะ” ซาหลิวฉานคำราม
“หุบปาก! นี่มันเวลาไหนกันแล้ว เจ้าคิดว่าข้าเจ้าเล่ห์เหมือนเทพมารหลินนั่นหรือ” ชิงเหลียนเอ๋อร์นิ่วหน้า หงุดหงิดใจนัก
“แม่นางเหลียนเอ๋อร์ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ต้องถึงหนึ่งเค่อ ในหมู่พวกเราไม่ว่าใครก็ยืนหยัดไม่ไหว ต้องหมดแรงแน่!” จงหลีอู๋จี้สูดลมหายใจลึก พยายามทำให้ตัวเองเยือกเย็น
“ยัง… ทนต่อไปอีกหน่อยเถอะ…” เวลานี้ชิงเหลียนเอ๋อร์ก็ไม่กล้ารับประกันแล้ว แต่ในที่สุดก็ยังกัดฟัน
“งั้นก็สู้ต่ออีกหน่อยแล้วกัน” จงหลีอู๋จี้เอ่ยเสียงขรึม
ก่อนหน้านี้เมื่อพวกเขาเห็นว่าหลินสวินถูกกักขังก็เรียกได้ว่ายินดีปรีดาราวเสียสติ แต่ตอนนี้แต่ละคนกลับสีหน้าไม่สู้ดี ฉงนใจไม่แน่นนอน กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ดูท่าเหมือนจะไม่เข้าที” ดวงตาเย็นเยียบของเหลยเชียนจวินเปล่งประกายราวสายฟ้า
“ง่ายมาก นี่เป็นกระบวนผนึกมรรคราชัน มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับราชันกับปฐมาจารย์สลักวิญญาณจึงจะสามารถใช้มันได้อย่างเต็มกำลัง พวกจงหลีอู๋จี้สลักรอยวิญญาณไม่เป็น พลังที่แท้จริงก็ห่างชั้นกับผู้แข็งแกร่งระดับราชันไปไกลนัก จะเกิดช่องโหว่หรือข้อผิดพลาดก็เป็นเรื่องธรรมดา”
มู่เจี้ยนถิงแจกแจงด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ยิ่งไปกว่านั้น อย่าลืมว่าในมือของเทพมารหลินนี่มีสมบัติอริยะอยู่ จะถูกสังหารได้อย่างง่ายดายปานนั้นได้หรือ”
……
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
กลุ่มผู้กล้าที่สังเกตการณ์อยู่ไกลออกไปรับรู้ได้ว่าไม่ชอบมาพากล ว่ากันตามธรรมดาแล้ว ทันทีที่กระบวนผนึกมรรคราชันออกมา ก็สามารถชี้ชัดเป็นตายได้ในชั่วพริบตา
แต่ตอนนี้เวลาผ่านไปจะหนึ่งถ้วยชาแล้ว ผลลัพธ์กลับยังไม่ออกมาเสียที นี่ก็ดูผิดปกตินัก
“กระบวนผนึกมรรคราชันนั่นคงไม่ใช่ของเก๊ใช่ไหม”
ผู้แข็งแกร่งบางคนแคลงใจ วาจาที่พูดออกมากลับทำให้ชิงเหลียนเอ๋อร์แทบกระอักเลือด ของเก๊หรือ นี่เป็นถึงสมบัติโบราณที่บรรพชนเผ่าหงส์เขียวหลอมขึ้นเองกับมือ ดำรงมาถึงปัจจุบันไม่รู้นานเท่าไร!
“ก่อเรื่องเคลื่อนไหวใหญ่โตปานนี้ กลับเหมือนจุดประทัดอันหนึ่ง นี่… น่าอักอ่วนไปหน่อยหรือไม่” มีคนหยอกล้อ
อักอ่วนหรือ!
น่าอักอ่วนกับปู่เจ้าสิ!
ซาหลิวฉานโมโหจนอยากฆ่าคน ก่อเรื่องอะไรเล่า พวกเขากำลังฆ่าเทพมารหลินเชียวนะ ไม่ได้แสดงอยู่!
“เหอะๆ บุคคลแห่งยุคมากมายปานนี้ แถมวางกระบวนผนึกมรรคราชันด้วย กลับต่อกรกับเทพมารหลินคนเดียวไม่ได้ เหอะๆ… เหอะๆๆ…”
เสียงนี้แปลกพิกล โดยเฉพาะเสียงหัวเราะนั้นเจือไปด้วยน้ำเสียงการเยาะเย้ย หยอกล้อ ประชดประชัน และเสียดสี
ครู่ต่อมาจงหลีอู๋จี้ก็ทนไม่ไหวแล้ว ดวงตาแผ่ไอสังหาร อยากจะบีบคอคนผู้นี้ให้ตาย
ขนาดมู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวินยังเริ่มนิ่วหน้า สถานการณ์เริ่มจะคุมไม่อยู่แล้ว คาดการณ์ได้ว่าคราวนี้หากปล่อยให้เทพมารหลินรอดชีวิตไปได้ เช่นนั้นคงขายหน้าใหญ่โตแน่
“ทุกท่านต้องการความช่วยเหลือหรือไม่” มู่เจี้ยนถิงเอ่ยถาม
เขาไม่อยากเสียโอกาสดีเลิศเช่นนี้ไปต่อหน้าต่อตา เช่นนั้นไม่เพียงแค่ปัญหาเรื่องเสียหน้า เป็นไปได้สูงมากที่จะทำให้เทพมารหลินโจมตีกลับได้ หายนะในภายหลังจะไม่มีที่สิ้นสุด
เพียงแต่เมื่อเขาพูดเช่นนี้ออกไป ทำให้ในใจพวกจงหลีอู๋จี้ยิ่งทั้งอับอายทั้งหงุดหงิด นี่คิดว่าพวกเขาไม่ได้ความหรือ
“ไม่จำเป็น พวกข้าจัดการเองได้!” พวกจงหลีอู๋จี้ลอบขุ่นเคือง โคจรพลังในร่างของพวกตนถึงขีดสุด
……
แทบจะรับไม่ไหวแล้ว
หลินสวินสังเกตได้อย่างเฉียบแหลม แม้ตนโคจรพลังจิตวิญญาณทั้งหมด ก็ไม่อาจควบคุมขวดมหามรรคสุดหยั่งอยู่รำไร มันเริ่มสั่นระรัวอีกแล้ว
สวบ!
หลินสวินไม่ลังเลสักนิด เก็บขวดมหามรรคสุดหยั่ง จากนั้นก็ยืดกายขึ้น ตัดสินใจเริ่มทลายค่ายกลนี้!
……
“เจ้าหมอนี่ปรากฏตัวแล้ว!”
ซาหลิวฉานเหนื่อยจนเหงื่อท่วมหัวอยู่ก่อนแล้ว ลมหายใจหอบถี่ เพียงแต่ไม่นานเขาก็ยินดีปรีดาเมื่อพบร่องรอยของหลินสวิน
“เร็วเข้า ปิดล้อมเขาเต็มกำลัง”
พวกจงหลีอู้จี๋ก็ปลาบปลื้ม การปรากฏตัวของหลินสวินทำให้ในจิตใต้สำนึกของพวกเขาคิดว่าหลินสวินจะยืนหยัดไม่ไหวแล้ว
โครม!
พลังของกระบวนผนึกมรรคราชันยิ่งน่าหวาดหวั่นมากขึ้น รัศมีเทพส่งเสียงโครมครามสะเทือนฟ้าดิน
พวกมู่เจี้ยนถิงรวมถึงผู้แข็งแกร่งที่สังเกตการณ์อยู่ไกลๆ ก็พบทันใดว่าสถานการณ์เปลี่ยนไป เหมือนเข้าสู่ช่วงเวลาที่จะชี้ผลแพ้ชนะแล้ว
ชั่วขณะหนึ่งทุกคนก็กังวลใจขึ้นมา
……
“ดูสิ จะชี้ผลแพ้ชนะแล้ว” ที่ไกลลิบ มุมปากของอวี่หลิงคงปรากฏรอยยิ้มบางๆ สนทนาเสียงค่อยกับจี้ซิงเหยาที่อยู่ข้างกัน
“เหล่าบุคคลแห่งยุคร่วมมือกัน ทั้งยังวางกระบวนผนึกมรรคราชัน แม้ชนะก็ไม่โสภา จะถูกโลกภายนอกหัวเราะดูถูกเอาได้” จี้ซิงเหยาสีหน้าสงบนิ่ง น้ำเสียงเย็นเยียบราวหิมะ
“การช่วงชิงมหามรรค ไม่อาจไม่ยอมรับว่าเส้นสายและภูมิหลังก็เป็นพลังแข่งขันที่แข็งแกร่งอย่างหนึ่ง” อวี่หลิงคงพูดพลางยิ้ม
“แต่การผงาดขึ้นอย่างแท้จริง เหยียบย่างบนมกุฎระดับราชัน ทำได้เพียงพึ่งตัวเองผู้เดียวเท่านั้น” เห็นได้ชัดว่าจี้ซิงเหยาไม่อาจเห็นด้วยกับความคิดของอวี่หลิงคง
“แม่นางจี้ ดูเหมือนเจ้าจะทนดูเด็กนี่ถูกฆ่าไม่ได้อยู่บ้างใช่ไหม” อวี่หลิงคงนิ่วหน้าอย่างยากสังเกตเห็น
จี้ซิงเหยาเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “ถ้าเปลี่ยนเป็นข้า จะไม่ใช้วิธีรังแกผู้อื่นเช่นนี้สังหารศัตรู สรุปแล้วก็คือชนะแต่ต่ำช้า”
อวี่หลิงคงปรบมือชื่นชม “แม่นางจี้กล้าหาญนัก”
เพียงแต่ตอนนี้จี้ซิงเหยากลับสีหน้าอึ้งงัน ในดวงตาที่มองออกไปไกลคู่นั้นบังเกิดแววตระหนก
ถูกจี้ซิงเหยาเพิกเฉย ทำให้อวี่หลิงคงเกิดความไม่พอใจขึ้นภายในใจ แต่เมื่อเขามองตามสายตาของจี้ซิงเหยาไป สีหน้าก็ตื่นตระหนก ดวงตาเผยความตื่นตะลึงออกมา
……
โครม!
คลื่นของกระบวนผนึกมรรคราชันยิ่งน่ากลัวขึ้นแล้ว ประหนึ่งเตาเพลิงกลียุคที่จะหลอมสรรพสิ่งในฟ้าดินเตาหนึ่ง
พวกจงหลีอู๋จี้สีหน้าเหี้ยมเกรียม ในใจฮึกเหิมหาใดเทียบ เทพมารหลินปรากฏตัวแล้ว ถึงเวลาที่ควรจะจบเสียที
มู่เจี้ยนถิงกับเหลยเชียนจวินเตรียมตัวพร้อม เก็บพลังไว้รอท่า เพียงรอหลังสังหารหลินสวิน ก็จะพุ่งไปช่วงชิงศุภโชคและสมบัติอริยะทันที
“เทพมารหลินทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงหรือ” ผู้แข็งแกร่งบางคนที่อยู่ไกลออกไปสีหน้าแปรปรวน ความรู้สึกซับซ้อน
“สามารถทนอยู่ในกระบวนผนึกมรรคราชันมาถึงตอนนี้ได้ก็เรียกว่าน่าตะลึง หายากยิ่งในโลกแล้ว แม้จะถูกฆ่า กิตติศัพท์ของเขาก็จะต้องกึกก้องแดนฐิติประจิม”
“หืม? นั่นคือ?”
ไม่นานนักผู้แข็งแกร่งหลายคนก็พบอย่างน่าตระหนกว่า กระบวนผนึกมรรคราชันนั้นยังคงโคจรพลุ่งพล่าน ทว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร เงาร่างของหลินสวินกลับปรากฏอยู่นอกค่ายกลใหญ่…
……
“เทพมารหลิน คราวนี้เจ้าตายแน่แล้ว!” ซาหลิวฉานหัวเราะร่า แม้หายใจหอบกระชั้น พลังทั่วกายถูกใช้ไปเกินครึ่ง แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกปิติและฮึกเหิมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อหลินสวินตาย ก็เท่ากับชะล้างความอับอายต่างๆ ที่เขาประสบก่อนหน้านี้ไปอย่างไม่ต้องสงสัย!
“งั้นหรือ”
“แน่นอน ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่ได้ ข้าจะตัดหัวให้มัน!”
พูดถึงตรงนี้ซาหลิวฉานก็ผงะไป จู่ๆ ก็รับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากล จากนั้นเขาตกใจสะดุ้งโหยง ร้องตระหนกตกตะลึงอ้าปากค้างว่า “จะจะเจ้า… เจ้าออกมาตั้งแต่เมื่อไร”
“ขะขะข้า… ข้าเพิ่งออกมาไง” ข้างกัน หลินสวินยิ้มแฉ่ง มือทั้งสองของเขาไพล่หลัง ทั้งกายโอบล้อมไปด้วยรัศมีกระจ่างเจิดจ้าราวภาพนิมิต
ทันใดนั้นซาหลิวฉานสีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกหลากหลายหาใดเทียบ ทั้งอึ้ง ทั้งขุ่นเคือง ทั้งอับอาย ทั้งตระหนกอย่างบอกไม่ถูก
เขาคิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ออกว่า เหตุใดหลินสวินถึงเดินออกมาจากกระบวนผนึกมรรคราชันได้อย่างง่ายดาย
“เจ้า!” พวกจงหลีอู๋จี้กับชิงเหลียนเอ๋อร์ก็งงงวยโดยสมบูรณ์ รู้สึกเหมือนเกิดภาพหลอน
นี่ดูพิสดารนัก นั่นเป็นถึงกระบวนผนึกมรรคราชัน เหตุใดถึงเกิดเรื่องพรรค์นี้ได้
ไม่เพียงแต่พวกเขา ผู้แข็งแกร่งที่ดูอยู่ตลอดล้วนสับสนงงงวยอยู่เช่นนั้น ตกใจจนพูดไม่ออก นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
ตูม!
ไม่ทันรอให้พวกเขาโต้ตอบ หลินสวินก็ออกโจมตีอย่างอุกอาจ เงาร่างพุ่งขึ้นมาโดยพลัน ชั่วพริบตาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าซาหลิวฉานที่อยู่ใกล้ที่สุด นิ้วมือกำรวบเป็นหมัด แล้วกำราบลงมาอย่างรุนแรงราวคีรีเทพตกลงมาจากสวรรค์
ปึง!
โดยไม่ทันตั้งตัว ร่างของซาหลิวฉานพลันยุบลงไป กระดูกทั้งกายแหลกละเอียดดังกร๊อบๆ เลือดเนื้อกระเซ็นกระสาย จากนั้นก็แหลกสลายสะเทือนเลือนลั่น