Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 910 ศุภโชคอันดับหนึ่ง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 910 ศุภโชคอันดับหนึ่ง
ตอนที่ 910 ศุภโชคอันดับหนึ่ง
ม้วนหนังสัตว์ถูกลายมรรคสีทองสายหนึ่งผูกไว้เหมือนเส้นด้าย เปิดออกมาไม่ได้
แต่มันกลับอบอวลไปด้วยรัศมีเทพสีเขียว ทั้งยังมีเสียงธรรมเสียงแล้วเสียงเล่าแว่วมาจากในนั้นอย่างรางเลือน ดุจเสียงอริยบุคคลท่องแก่นแท้มหามรรค
มหัศจรรย์จริงๆ!
พลังจิตวิญญาณของหลินสวินแข็งแกรงปานใด บรรลุระดับดอกเทพรวมยอดอยู่ก่อนแล้ว แต่กลับไม่อาจสืบเสาะเข้าไปมองปริศนาภายในนั้น
‘หรือว่าปริศนาที่บันทึกไว้ในม้วนหนังสัตว์นี้จะลึกซึ้งและสูงส่งเกินไป ยังไม่ใช่สิ่งที่ข้าซึ่งมีปราณระดับนี้สามารถหยั่งรู้ได้’
หลินสวินใคร่ครวญ
เขารับรู้ได้ว่ากุญแจสำคัญที่จะเปิดม้วนหนังสัตว์นี้ ก็อยู่ที่รอยมรรคสีทองเหมือนเส้นด้ายที่พันผูกอยู่ด้านบนเส้นนั้น
หลังจากเขาศึกษาโดยละเอียดกลับตื่นตะลึงนัก เพราะกลิ่นอายของลายมรรคสีทองนี้มีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ที่สั่นสะท้านจิตใจผู้คนอยู่
‘รัศมีเขียวแผ่พลิ้ว เสียงธรรมก้องสะท้อน ใช้ลายมรรคสีทองพันผูก… ปริศนาที่ซุกซ่อนอยู่ในม้วนหนังสัตว์นี้ต้องไม่ธรรมดาแน่!’
ครู่ใหญ่หลินสวินถึงเก็บสิ่งนี้ไว้ในเจดีย์สมบัติไร้อักษร ผนึกไว้อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ทอดสายตามองไปยังกระบวนผนึกมรรคราชันชุดนั้น
กระบวนค่ายกลนี้ประกอบขึ้นจากธงกระบวนหยกขาวหนึ่งร้อยแปดผืนกับแผ่นจานกระบวนสามแผ่น มีนามว่า ‘จตุลักษณ์ราชัน’ เป็นกระบวนราชันที่บรรพชนเผ่าหงส์เขียวหลอมขึ้นกับมือกระบวนหนึ่ง
ทันทีที่เรียกออกมา สามารถเชื่อมโยงพลังฟ้าดิน ใช้วิชาจตุลักษณ์ คลื่นต้องห้ามที่สร้างขึ้นสามารถกักขังสังหารผู้แข็งแกร่งระดับราชันได้!
พูดได้ว่า นี่ย่อมเป็นมหาอาวุธสังหารชุดหนึ่ง อานุภาพเกินจินตนาการ
ทว่าก็มีเพียงปฐมาจารย์สลักวิญญาณที่แท้จริงกับผู้แข็งแกร่งระดับราชันเท่านั้น ถึงสามารถปลดปล่อยความเร้นลับและอานุภาพของค่ายกลนี้ออกมาได้ทั้งหมด
อย่างก่อนหน้านี้ยามพวกชิงเหลียนเอ๋อร์วางค่ายกลนี้ แม้ร่วมมือกันควบคุมค่ายกล แต่พลังสังหารที่สำแดงออกมากลับไม่ถึงสามส่วนของอานุภาพทั้งหมด!
และหลังจากศึกษาปริศนาทั้งหมดของกระบวนผนึกมรรคราชันชุดนี้โดยละเอียด ในใจหลินสวินก็เกิดกลัวขึ้นมา เขาแน่ใจได้ว่า หากเมื่อกี้เปลี่ยนเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณผู้หนึ่งลงมือ เกรงว่าตนจะถูกปลิดชีพในชั่วพริบตา!
‘น่าเสียดาย การใช้ค่ายกลนี้ไม่เพียงสิ้นเปลืองพลังกาย ยังต้องใช้แกนวิญญาณขั้นสูงอย่างน้อยนับหมื่นชิ้นเป็นแหล่งพลังงาน ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายมากเกินไปแล้ว…’
หลินสวินถอนใจในใจ
เขารู้ดีว่ากระบวนผนึกมรรคราชันเช่นนี้ มีเพียงวางไว้บนชีพจรปราณวิญญาณที่ล้ำเลิศหาใดเทียบเท่านั้นถึงสามารถโคจรได้อย่างไม่ขาดสาย ไม่สามารถใช้ได้ตามใจชอบ
อย่างไรเสียค่าตอบแทนที่เป็นแกนวิญญาณขั้นสูงนับหมื่นชิ้น อย่าว่าแต่ผู้ฝึกปราณทั่วไปเลย แม้แต่ผู้สืบทอดสำนักเก่าแก่เหล่านั้นก็เกรงว่าจะรับได้ยาก!
แกนวิญญาณจำนวนมหาศาลเช่นนี้ สามารถนำไปซื้อยอดศาสตรามรรคราชันได้ชิ้นหนึ่งเลย!
‘แต่ว่า ถ้าสามารถปิดล้อมสังหารสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันได้ สิ่งที่ต้องจ่ายเช่นนี้ก็คุ้มค่านัก…’ หลินสวินลอบตั้งใจแน่วแน่ว่าจะใช้กระบวนค่ายกลนี้เป็นอาวุธไม้ตาย จะไม่เอามาใช้โดยง่าย
ที่ทำให้เขายินดีก็คือ เขาชิงแกนวิญญาณขั้นสูงมาได้เกือบสามหมื่นชิ้นจากกำไลหยกเก็บของที่ชิงเหลียนเอ๋อร์ทิ้งไว้
เห็นได้ชัดว่านางก็รู้ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายเพื่อโคจรค่ายกลนี้ ดังนั้นจึงเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ นางไม่ได้เป็นทั้งผู้แข็งแกร่งระดับราชัน และไม่ได้เป็นปฐมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์สลักรอยวิญญาณ ต่อให้เตรียมตัวพร้อมสรรพกว่านี้ก็ไม่อาจสำแดงพลานุภาพที่แท้จริงของกระบวนค่ายกลนี้ได้
วู้ม!
ทันใดนั้นต้นโคมสำริดมรรคโบราณที่เงียบสงบมานาน ตอนนี้กลับแผ่คลื่นคลุมเครือน่าตื่นตระหนกราวฟื้นขึ้นมาใหม่
ชั่วพริบตา รัศมีเทพสีม่วงเปล่งประกายก็ตลบอบอวลออกมาจากลำต้นที่เหมือนหล่อขึ้นจากสำริด พลังชีวิตน่าตื่นตระหนกสาดส่อง
ไม่เพียงแต่หลินสวิน ผู้แข็งแกร่งที่กระจายอยู่ใกล้กับยอดต้นไม้เทพตอนนี้ล้วนตกใจทันที ศุภโชคจะมาถึงแล้วหรือ
……
นอกเขาพยับคราม ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนก็รออยู่ จิตใจร้อนรุ่ม สงสัยนักว่าต้นโคมสำริดมรรคโบราณเงียบเชียบนานไปแล้ว นี่ผ่านไปจะหกชั่วยาม ยังไม่มีความเคลื่อนไหวสักนิด
“ไม่น่าจะมีเรื่องเหนือความคาดหมายกระมัง” คนใหญ่คนโตบางคนนิ่วหน้า
ในตอนนี้เองเสียงโครมหนึ่งดังขึ้น ก็เห็นว่าไหล่เขาครึ่งหนึ่งของเขาพยับครามที่อยู่ไกลออกไป จู่ๆ ก็มีรัศมีเทพสีม่วงเปล่งประกายหาใดเทียบพุ่งตรงขึ้นไปบนเวิ้งฟ้า ทำลายชั้นเมฆให้แหลกสลายกระจัดกระจาย
ในชั่วครู่เดียว ฟ้าดิน ภูผาธารา และสรรพสัตว์ล้วนถูกสีม่วงพร่างพรายและศักดิ์สิทธิ์ย้อมขึ้นชั้นหนึ่ง งดงามไร้ขอบเขต ไพศาลสุกสกาว
“นี่…”
ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนหวาดผวา ดวงตาเบิกกว้าง จากนั้นก็ตื่นเต้นเต็มทีแล้ว
“ต้องเป็นมหาศุภโชคมาเยือนแน่แล้ว!”
ชั่วขณะเดียว แม้แต่คนใหญ่คนโตพวกท่านย่ากระเรียนทองยังตื่นเต้นอยู่ในใจ พวกเขารอคอยมาเนิ่นนานแล้ว และภาพศักดิ์สิทธิ์ที่ฉายขึ้นตรงหน้านี้ ทำให้พวกเขาล้วนรับรู้ได้ว่าศุภโชคที่กำลังจะมาถึงคราวนี้ต้องเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน ต่างจากก่อนหน้านี้!
……
“ศุภโชคใหญ่ที่แท้จริงจะถือกำเนิดแล้ว…” ใต้ต้นโคมสำริดมรรคโบราณ มีผู้แข็งแกร่งมากมายรายล้อมอยู่เช่นกัน เพื่อรักษาชีวิต พวกเขาถอยออกจากบนต้นไม้โบราณมาก่อนนานแล้ว ไม่ต้องการเข้าร่วมอีก
แต่เมื่อได้เห็นภาพนี้เข้า ในใจก็อดกระวนกระวายไม่ได้ อยากจะเข้าไปลองดู
ผู้แข็งแกร่งบางส่วนกัดฟัน เคลื่อนกายพุ่งไปบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณอีกครั้ง พวกเขาไม่ยินยอมมองดูเช่นนี้ ไม่ต้องการพลาดวาสนาใหญ่ที่นานทีปีหนจะมีสักครั้งเช่นนี้
ต่อให้มีความเสี่ยงที่จะสิ้นชีพ แต่หากชิงศุภโชคไปได้ ความทุ่มเททั้งหมดนี้ก็คุ้มค่า!
เพียงแต่แค่ครึ่งทางพวกเขาก็งงงวยเหม่อลอยอยู่เช่นนั้น เพราะในครรลองสายตาของพวกเขา ดอกตูมสำริดที่เหลืออยู่พวกนั้นยังไม่ทันเบ่งบาน ตอนนี้ก็โรยราไปทีละดอก!
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
ทุกคนล้วนงงงัน ยังคงไม่อาจเชื่อสายตาตัวเอง
กลีบดอกไม้ร่วงโรยไปทีละกลีบ หลุดออกจากกิ่งก้าน เหมือนสูญเสียพลังชีวิต ปลิวไปในอากาศไม่นานก็สลายไปเหมือนฝุ่นควัน หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ดอกตูมสำริดแต่ละดอกล้วนเป็นตัวแทนของศุภโชคแต่ละชิ้น!
แต่ตอนนี้กลับโรยราแห้งเหี่ยว นั่นช่างเหมือนมองดูศุภโชคชิ้นแล้วชิ้นเล่าสูญสลายไปต่อหน้าต่อตา ทำให้เหล่าผู้กล้าล้วนใจสั่นระรัว ยอมรับได้ยาก
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้
“ดูนั่น! พลังชีวิตที่ดอกตูมสำริดเหล่านั้นพรั่งพรูออกมาล้วนไหลพุ่งไปยังบริเวณยอดต้นไม้!” มีผู้แข็งแกร่งร้องดังลั่น
คำพูดเดียวปลุกทุกคนให้ตื่นจากภวังค์ ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ พบเห็นความแปลกประหลาดในยามนี้ สาเหตุที่ดอกตูมสำริดเหล่านั้นโรยรา ก็เพราะกำลังสูญเสียพลังชีวิตที่บรรจุอยู่ภายใน
ถูกดึงไปรวมที่ยอดต้นไม้ ราวกับถูกพลังไร้รูปร่างดูดกลืน!
ส่วนบริเวณยอดต้น ตอนนี้เหมือนมีดวงอาทิตย์สีม่วงดวงหนึ่งกำลังส่องแสง รังสีเปล่งประกาย สาดส่องชั้นเมฆสูง ตระการตาถึงที่สุด
แม้เป็นด้านล่างของต้นไม้โบราณ หรือนอกภูเขาพยับครามก็เห็นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
“สวรรค์ นั่นคือ…”
เสียงฮือฮาดังขึ้นในบริเวณต่างๆ ผู้แข็งแกร่งทุกคนล้วนแสดงสีหน้าตื่นตระหนก เพราะนั่นไม่ใช่ดวงอาทิตย์ดวงหนึ่ง แต่เป็นดอกตูมสำริดที่กำลังจะเบ่งบานดอกหนึ่ง
เพียงแต่เพราะแสงที่สาดส่องออกมานั้นเจิดจ้าและแสบตาเกินไป ส่องสว่างทั้งฟ้าดิน ทำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นดวงอาทิตย์ส่องแสงกลางนภา
“ศุภโชคอันดับหนึ่ง นั่นต้องเป็นศุภโชคอันดับหนึ่งแน่ ไม่เคยมีมาก่อน หายากทั้งในอดีตและปัจจุบัน ต้องไม่เหมือนสิ่งใดในโลกา!”
สัตว์ประหลาดเฒ่าผู้หนึ่งพึมพำเสียงหลง ตื่นเต้นจนตัวสั่น
คนใหญ่คนโตผู้อื่นก็เป็นเช่นนี้ พวกเขาต่างดูออกว่าศุภโชคอันดับหนึ่งคราวนี้ดูต่างออกไปยิ่งนัก ไม่เหมือนกับในเทศกาลโคมธรรมกถามรรคคราวก่อนๆ โดยสิ้นเชิง
เพราะในอดีตไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน ศุภโชคที่ดอกตูมสำริดดอกอื่นให้กำเนิดกลับไหลพุ่งขึ้นไปที่ดอกตูมสำริดดอกเดียวเท่านั้น ประหนึ่งหมื่นสายธารหวนคืนต้นกำเนิด นี่ช่างอัศจรรย์ยิ่งนัก
ดุจดั่งเหล่าขุนนางกำลังสักการะราชันองค์หนึ่ง!
……
‘มาแล้ว!’
อวี่หลิงคงผุดลุกขึ้น สายตาราวรุ้งเทพแผ่พุ่ง น่าหวาดหวั่นหาใดเทียบ เงาร่างของเขาไหววูบ หายตัวไปจากที่เดิมแล้ว
‘ก็ไม่รู้ว่าศุภโชคอันดับหนึ่งคราวนี้จะเป็นสิ่งใดกันแน่ เป็นมรดก หรือจะเป็นสมบัติอริยะชิ้นหนึ่ง หรือไม่แน่อาจจะเป็นสมบัติเทพบางอย่าง’
จี้ซิงเหยาใคร่ครวญไปพลางก้าวเดิน เงาร่างคลุมเครือเคลื่อนไปยังที่ไกลออกไป
‘มหาสงครามกำลังจะมาถึง มหาศุภโชคที่ไม่เคยมีมาก่อนกำลังจะถือกำเนิดขึ้น คราวนี้ก็ต้องดูว่าใครจะมีความสามารถแย่งมันมาไว้ในมือได้แล้ว…’
ลั่วเจียครุ่นคิด ร่างสูงโปร่งอรชรของนางส่องแสงสกาว ผุดผ่องและตระการตาราวหงส์เซียน
“อันธพาลเฒ่า เจ้าว่าอะไรนะ”
ยามเมื่อหลินสวินเตรียมการเคลื่อนไหว กลับสังเกตเห็นในทันใด ว่าโสมขาวที่กำราบอยู่ในเจดีย์วิญญาณไร้อักษรต้นนั้นกลับพึมพำออกมาประโยคหนึ่ง “ศุภโชคเช่นนี้ อย่างพวกเจ้าก็คิดจะยื่นมือเข้าไปหรือ อย่าแม้แต่จะคิดเชียว!”
“อยากรู้ไหมล่ะ หึๆ ปล่อยข้าไปก็จะบอกเจ้าให้!” เจ้าเฒ่านี่พูดอย่างไร้กังวล เป็นโอสถราชันไร้เทียมทานต้นหนึ่งชัดๆ แต่ท่าทางกลับเหมือนอันธพาลเฒ่า
ตู้ม!
หลินสวินไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ใช้แสงมรรคทองนิลกาฬกำราบ ทรมานอันธพาลเฒ่าผู้นี้จนร้องโหยหวน ปากก็ด่าทอด้วยวาจาสกปรกหยาบคายฟังไม่เข้าหู
แต่สุดท้ายมันก็กลัวแล้ว ท่าทางหมองเศร้าขุ่นเคืองจนอยากตาย “นั่นเป็นที่อยู่ของรากฐานแห่งเขาพยับคราม เป็นก้อนผลึกเลือดหัวใจทั้งชีวิตของเหล่าอริยะ ข้ากล้ารับรองเลยว่าผู้กล้าที่เรียกกันอย่างพวกเจ้านี้ ไม่มีทางโชคดีได้มันไปครอง กลับกันจะชักนำภัยพิบัติถึงตายมาให้พวกเจ้า!”
หลินสวินใจสั่นระรัว เจ้าอันธพาลเฒ่าผู้นี้ดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างจริงๆ
“พูดให้มันชัดเจนหน่อย!” หลินสวินเค้นถามเสียงเหี้ยมเกรียม ใช้แสงมรรคทองนิลกาฬกดอยู่เช่นนั้น สะสมพลังรอปลดปล่อย
ต่อกรกับอันธพาลเฒ่าพรรค์นี้ ก็ต้องตาต่อตา ฟันต่อฟัน จะใจดีด้วยไม่ได้เด็ดขาด
“ตกลงเป็นอะไรกันแน่ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร” อันธพาลเฒ่าร้องเสียงดังเดือดดาล
หลินสวินไม่เกรงใจสักนิด ปู้ยี่ปู้ยำอีกรอบหนึ่ง แต่สุดท้ายอันธพาลเฒ่าผู้นี้กลับพูดที่มาที่ไปออกมาไม่ได้
สุดท้ายบีบเค้นมันหนักจนยิ่งข่มขู่ว่า “ไอ้เด็กระยำ เจ้าแม่งฆ่าข้าเสียตอนนี้เลยสิวะ หาไม่แล้วรอวันที่ข้าหลุดออกไปได้ จะฆ่าเจ้าให้ตายคามือเลย”
คำว่า ‘ฆ่า’ ถูกเขากัดฟันกรอดเน้นเสียง แสดงสันดานอันธพาลออกมาอย่างหมดจด
ช่างทำให้ผู้อื่นไม่อาจคาดคิดได้ว่า โอสถราชันไร้เทียมทานที่มีสติปัญญาเช่นนี้ต้นหนึ่ง มีนิสัยอันธพาลชั่วช้าเช่นนี้ได้อย่างไร
ในที่สุดหลินสวินก็เลิกเค้นถาม ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วหันกายเคลื่อนไปยังบริเวณยอดต้นไม้นั้น
แม้กล่าวว่าอันธพาลเฒ่าไม่ได้พูดอะไรชัดเจนออกมา แต่กลับทำให้หลินสวินเข้าใจว่าสิ่งที่บรรจุอยู่ในดอกตูมสำริดดอกนั้น จะต้องเป็นมหาศุภโชคที่เหล่าอริยะใช้เลือดหัวใจทั้งชีวิตเหลือทิ้งไว้ ทั้งถูกขนานนามว่าเป็นรากฐานของเขาพยับครามแห่งนี้!
เรื่องนี้น่าตะลึงอย่างไม่ต้องสงสัย เกี่ยวข้องกับเหล่าอริยะ แค่คิดก็รู้ว่าศุภโชคนี้ไม่ธรรมดาปานไหน!
ยอดต้นโคมสำริดมรรคโบราณ แสงสีม่วงตลบอบอวลเจิดจ้า ที่ยอดลำต้นต้นไม้โบราณมีดอกตูมสำริดดอกหนึ่งกำลังจะเบ่งบาน แสงมรรคแสบตาหาใดเทียบพรั่งพรูออกมา
ครืนโครม!
เสียงธรรมยิ่งใหญ่เกรียงไกรระลอกแล้วระลอกเล่าดังออกมาจากดอกตูมสำริดดอกนั้น เหมือนระฆังทองสั่นสะท้านกังวาน พาให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน
เมื่อหลินสวินมาถึงบริเวณนี้ ผู้กล้าแห่งยุคอย่างอวี่หลิงคง จี้ซิงเหยา ลั่วเจีย รวมถึงคนอื่นๆ บางส่วนก็มาถึงแล้ว
สายตาทุกคู่ล้วนพากันจับจ้องที่ดอกตูมสำริดดอกนั้น สีหน้าแตกต่างกันไป