Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 912 ไตรวิถีมกุฎ
ขณะทำการหยั่งรู้กลางลานธรรม มีผู้แข็งแกร่งไม่น้อยที่ในใจมีความคิดเป็นอื่น เห็นว่านี่คือจังหวะเหมาะที่สุดในการลอบโจมตีคู่แข่ง
แต่เมื่อเห็นสิ่งที่จั๋วขวงหลันประสบกับตา ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ต่างตระหนกจนเหงื่อแตกไปทั้งตัว ลอบดีใจที่ตนยังไม่ได้ลงมือ
‘อารมณ์ชั่ววูบ ตัดหนทางสู่วาสนายิ่งใหญ่แท้ๆ’ มีคนเกิดเวทนา แอบทอดถอนใจ
พวกเขาต่างรู้ดี จั๋วขวงหลันคือบุคคลแห่งยุคจากสำนักกระบี่โผผินผู้หนึ่ง วิชากระบี่ลึกซึ้งยากหยั่งถึง
ศุภโชคอันดับหนึ่งอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่เพราะอารมณ์ชั่ววูบทำให้เขาถูกคัดออก กลายเป็นเรื่องน่าเศร้าครั้งหนึ่งไปโดยปริยาย
จะว่าไปแล้ว เขาและหลินสวินหาได้มีความแค้นต่อกัน สาเหตุที่ลงมือเป็นเพราะเซี่ยอวี้ถัง
เซี่ยอวี้ถังมาจากสำนักกระบี่โผผินเช่นกัน แต่เคยถูกหลินสวินกำราบและเหยียบย่ำริมฝั่งทะเลปรวนแปร สิ่งนี้ถูกจั๋วขวงหลันเห็นเป็นความอัปยศ ในตอนนั้นแสดงท่าทีหมายช่วยเซี่ยอวี้ถังทวงคืนความเป็นธรรม
ที่น่าเสียดายคือ เขายังไม่ทันโรมรันกับหลินสวินก็ถูกคัดออก ผลลัพธ์นี้ช่างเหนือความคาดหมายของผู้คน
‘กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นตามสนอง’
สำหรับเรื่องนี้ ในใจหลินสวินไม่ตระหนกวิตก
แม้จั๋วขวงหลันไม่ถูกคัดออก การลอบโจมตีก็ไม่มีทางสำเร็จ กลับจะถูกตนที่เตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้วจู่โจมสังหาร!
…
ลานธรรมเก่าแก่กระดำกระด่าง ไหลเวียนกลิ่นอายแห่งยุคสมัย ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดต่างนั่งขัดสมาธิบนเบาะรองนั่ง กลางฟ้าดินก้องสัทครรลองมหามรรคลึกลับซ่อนเร้นนานัปการ
ประดุจเหล่าอริยะกำลังท่องคัมภีร์
นี่ไม่ได้เป็นแค่ประสบการณ์ล้ำค่าของหลินสวิน สำหรับผู้แข็งแกร่งคนอื่นต่างก็เป็นศุภโชคการหยั่งรู้ที่ยากพบเห็นหาใดเปรียบเช่นกัน
ใจความการหยั่งรู้และประสบการณ์ของเหล่าอริยะ ไม่ว่าบทใดที่เผยแพร่ออกมาล้วนเป็นสมบัติที่ไม่อาจประเมินค่า หายากเป็นประวัติการณ์ ทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันต่างอิจฉาตาร้อนและน้ำลายหก
ตามเวลาที่ล่วงเลย เมื่อใดที่ผู้แข็งแกร่งซึ่งนั่งสมาธิหยั่งรู้กลางลานธรรมเผยความปิติ ก็เท่ากับพวกเขาเก็บเกี่ยวได้มาก
ชั่วขณะหนึ่งลานธรรมที่ปรากฏออกมาจากดอกตูมสำริดเงียบสงบยิ่งกว่าเดิม มีกลิ่นอายความสงบเคร่งขรึมประการหนึ่ง
ทุกคนต่างกำลังนั่งสมาธิและหยั่งรู้ไขว่คว้าทุกช่วงเวลา ซึมซาบเนื้อหาแจ้งมรรคแห่งเหล่าอริยะที่ถ่ายทอดมาแต่บรรพกาล
ทั่วร่างหลินสวินแวววาวส่องประกาย หยั่งรู้หนทางสู่มรรคที่แตกต่าง
แต่ละมรรคาล้วนมหัศจรรย์หาใดเปรียบ เปี่ยมปริศนาล้ำลึกยากจินตนา ทำให้ทั้งกายและจิตหลินสวินดื่มด่ำอยู่ในนั้น ทำการพิสูจน์มรรคาแห่งตน
จนตอนนี้เขาถึงได้กระจ่างแจ้ง ว่าสิ่งที่เรียกว่ามกุฎมรรคาอันแข็งแกร่งที่สุดไม่ได้มีแค่อย่างเดียว!
บางคนเคลื่อนย้ายเลือดลมในร่างตน เดินในเส้นทางการหลอมกาย หล่อหลอมเลือดลม ขัดเกลากายมรรค แปรสภาพร่างกายตนไปจนถึงขีดจำกัด บรรลุถึงระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ครั้นแล้วจึงก้าวสู่มกุฎ
มรรคนี้ ถือเป็นหนทางแห่ง ‘กายหยาบบรรลุอริยะ’
บางคนศึกษาวิชาหลอมปราณ สืบอดีตแปรปัจจุบัน ฝึกวิชาอัศจรรย์นับพันวิชามรรคนับหมื่น สุดท้ายเข้าใจรอบด้านทะลุปรุโปร่ง เดินในเส้นทางแห่งการยกระดับถึงขีดสุด ก้าวสู่ยอดมกุฎ
มรรคนี้ ถือเป็นมรรคาแห่งการ ‘หลอมปราณแปรอริยะ’
และมีบางคนทิ้งกายเนื้อร่างหยาบ มุ่งเน้นที่วิชาจิตวิญญาณ หล่อจิต ควบคุมจิต เร้นจิต แปรจิต… ก้าวสู่มกุฎทีละขั้น
มรรคนี้ ถือเป็นมรรคาแห่งการ ‘หลอมจิตเปลี่ยนอริยะ’
รูปแบบการบำเพ็ญเพียรที่แตกต่างกันทั้งสามแบบถูกเรียกว่า ‘ไตรวิถีมกุฎ’ แต่ละประเภทต่างประกอบด้วยสรรพสิ่ง ลึกลับซ่อนเร้น
หนทางแห่งมกุฎนับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน แทบจะอยู่ในไตรวิถีมกุฎทั้งสิ้น!
แต่มกุฎมรรคาที่ผู้ฝึกปราณแต่ละคนแสวงหาในแบบรูปธรรมนั้นต่างกันไป ไม่อาจใช้มาตรฐานเดียวกัน
เฉกเช่นมกุฎมรรคาที่หลินสวินเหยียบย่างในปัจจุบัน ก็เป็นส่วนหนึ่งของ ‘มรรคาหลอมปราณ’
…
หลินสวินคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง ว่าจะได้รับรู้ปริศนาส่วนหนึ่งของมกุฎมรรคาในลานธรรมวิเศษอัศจรรย์นี้
แต่ก่อนเขาควานหาด้วยตัวคนเดียวทั้งสิ้น กลั่นกรองและพิสูจน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจึงมีความสำเร็จเช่นวันนี้
ทว่าในใจยังคงมีปริศนาไม่น้อยที่ไม่อาจคลี่คลาย สาเหตุเกิดจากบันทึกเกี่ยวกับมกุฎมรรคาบนโลกนี้น้อยเหลือเกิน ต้องมีวาสนาจึงพบพาน แน่นอนว่าไม่อาจให้หลินสวินไปอ้างอิงและหยั่งถึง
แต่ตอนนี้กลับแตกต่าง ขณะเขาหยั่งรู้ มกุฎมรรคาหลายหลากซึ่งปรากฏ กลายเป็นประสบการณ์และใจความนานัปการอุบัติขึ้นในจิตใจ ทำให้เขาเหมือนได้ค้นคว้าบทความคัมภีร์มรรคอันอัศจรรย์ แม้ไม่ใช่วิธีเข้าถึงและสืบทอดโดยจำเพาะ แต่กลับได้ประโยชน์มากยิ่งกว่า!
ทว่าไม่ทันไรหลินสวินก็มุ่นคิ้ว การหยั่งรู้จากระดับกำลังภายมาจนถึงระดับกระบวนแปรจุติล้วนราบรื่นยิ่ง ทำให้เขาเคลิบเคลิ้ม ชำระและเผยปริศนาทีละเรื่องในใจ แต่เมื่อหยั่งรู้ถึงระดับกระบวนแปรจุติก็พลันหยุดชะงัก ไม่มีแล้ว
‘ไม่ถูก ผู้แข็งแกร่งคนอื่นต่างกำลังหยั่งรู้… ถ้าเช่นนั้นคงเป็นเพราะปราณแห่งตนถึงขั้นไหน ก็สามารถหยั่งรู้ประสบการณ์และใจความได้ถึงขั้นนั้น’
‘เหมือนอย่างข้าที่ก้าวสู่มกุฎมรรคา เมื่อหยั่งรู้จึงสามารถเข้าถึงใจความและประสบการณ์นานัปการที่เกี่ยวกับมกุฎมรรคาได้’
‘ลานธรรมนี้ช่างวิเศษอัศจรรย์เกินไปแล้ว ต้องเป็นแดนมรดกที่อริยะบรรพกาลหลงเหลือไว้แน่!’
หลินสวินพิจารณาใคร่ครวญ รำพึงอยู่ในใจ
มรดกเช่นนี้ทั้งไร้วิธีเข้าถึงโดยรูปธรรม ทั้งไร้วิชามรรคโดยจำเพาะ แต่เป็นใจความและประสบการณ์ของการบำเพ็ญเพียรรูปแบบหนึ่ง เห็นชัดว่าเหล่าอริยะเมื่อครั้งบรรพกาลทำเช่นนี้ เพราะไม่อยากให้คนเลียนแบบมรรคา เดินซ้ำหนทางเก่าของพวกเขา
แต่พวกเขาได้มอบประสบการณ์ที่สามารถนำไว้อ้างอิงหยั่งถึง ชี้นำผู้ฝึกปราณไปพิสูจน์มรรคาแห่งตน หากไม่บรรลุถึงระดับนั้นก็ไม่อาจเข้าใจประสบการณ์ของระดับนั้นได้
เนื้อหาการหยั่งรู้นอกเหนือขอบเขตระดับกระบวนแปรจุติ หลินสวินไม่ดึงดันไขว่คว้า สภาวะจิตของเขาว่างเปล่า เริ่มสะสางระดับการฝึกปราณของตนโดยละเอียด
วู้ม…
ตามเวลาที่ล่วงเลย คลื่นอากาศอุบัติต่อเนื่อง นำผู้แข็งแกร่งทีละคนหายลับไปจากลานธรรม
บ้างหลงทางท่ามกลางการหยั่งรู้ สภาวะจิตเสียการควบคุมถูกคัดออก
บ้างหยั่งรู้ถึงขีดจำกัดที่ตนรองรับได้ แต่ยังหมายดื้อดึงทำเลยเถิด ตกอยู่ใน ‘อัตตาอาวรณ์’ จนถูกคัดออก
กระทั่งบางคนเกิดภาพหลอนขณะหยั่งรู้ คิดเอาเองว่าได้พิสูจน์มกุฎมรรคาขั้นสมบูรณ์สูงสุด จมสู่ด่านมารจนถูกคัดออก
นี่ก็คือหนทางแห่งการหยั่งรู้มหามรรค แม้เป็นวาสนา แต่ไม่ใช่ว่าใครๆ ต่างสามารถครอบครองได้
กระทั่งต่อมา ลานธรรมซึ่งใหญ่โตเช่นนั้นก็เหลือคนบางตาเพียงสิบกว่าคน
หลินสวินคือคนแรกที่ตื่นขึ้น เขาหยั่งรู้ครบถ้วน หลอมรวมการหยั่งรู้และความเข้าใจทั้งมวลกับมรรคาแห่งตน กระจ่างแจ้งแก่นอัศจรรย์แห่งมกุฎโดยสมบูรณ์ หยั่งรู้ต่อไปก็ไม่มีความหมายแล้ว
เขาหยัดร่างขึ้นในบัดดล หาได้อาลัยอาวรณ์อีก
คนอื่นเห็นท่าทีเขาต่างเผยสีหน้าตระหนก
เพราะหลินสวินคือผู้แข็งแกร่งคนแรกที่ไม่ถูกคัดออกหลังหยั่งรู้ นี่หมายความว่าอะไร
เทพมารหลิน ตลอดทางการบำเพ็ญเพียรมาจนถึงตอนนี้ ความเข้าใจต่อมรรคาระดับกระบวนแปรจุติของเขา สามารถเทียบเคียงมรรควิถีในระดับนี้ของเหล่าอริยะเมื่อครั้งบรรพกาลได้งั้นหรือ
อันที่จริงยามหลินสวินอยู่ใน ‘แดนลับอสูรมารอริยะ’ ของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ก็เคยทบทวนระดับปราณแต่ละระดับของตนจนสมบูรณ์แบบถึงขีดสุดแล้ว แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงไปกับการเสริมสร้างมรรคาใหม่อีก
การหยั่งรู้ที่เขามีมาก่อนล้วนใช้เพื่อพิสูจน์และอนุมานเทียบเคียง ดังนั้นไม่ทันไรจึงรู้แจ้งแถลงไขโดยสมบูรณ์
แต่ผู้แข็งแกร่งคนอื่นมีไม่น้อยที่ยังไม่เคยก้าวสู่มกุฎมรรคา มรรควิถีแห่งตนซ่อนช่องโหว่อยู่มาก ด้วยเหตุนี้ขณะหยั่งรู้จึงต้องใช้ความคิดไปศึกษาและอนุมานมากขึ้น
…
นอกเขาพยับคราม
ผู้แข็งแกร่งที่ถูกคัดออกจากลานธรรมทยอยปรากฏตัวออกมา ก่อเกิดคลื่นถาโถมและความครึกโครมไม่ใช่ย่อย เสียงวิพากษ์วิจารณ์อึกทึกไม่ขาดหู
ขณะเดียวกัน ข่าวที่หลินสวินสังหารพวกซาหลิวฉาน จงหลีอู๋จี้ เหลยเชียนจวิน ก็ถูกผู้แข็งแกร่งส่วนหนึ่งบอกเล่าออกมา จุดชนวนความโกลาหลครั้งใหญ่ทันที
สิงห์อสนีหยกขาวใบหน้าไร้ความรู้สึก ยึดครองพื้นที่มั่นอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาเยียบเย็นหาใดเปรียบ
ทว่าทุกคนต่างสัมผัสถึงความหนาวสะท้านเสียดผิว ประดุจดาบคมกริบจ่อแผ่นหลังจนขนลุกขนชัน
สิงห์อสนีหยกขาวคือพาหนะของเหลยเชียนจวิน แต่ขณะเดียวกันก็เป็นผู้พิทักษ์ของเขาด้วย มีปราณอันร้ายกาจ และบัดนี้ได้ยินข่าวการตายของเหลยเชียนจวิน ทำให้ในใจมันบันดาลโทสะ
คนใหญ่คนโตส่วนหนึ่งต่างเผยสีหน้าประหลาด นัยน์ตาดั่งมีอสนีโคจร พลังทำลายล้างตลบอบอวล ชวนให้คนรู้สึกใจสั่นระรัว
“เทพมารหลิน สมควรตาย!” อสูรกิเลนเพลิงเขียวส่งเสียงเย็นชา ทั่วร่างแผ่เพลิงศักดิ์สิทธิ์สีเขียวราวกำลังลุกโชน มันคือผู้พิทักษ์ของมู่เจี้ยนถิง
แม้ตอนนี้มู่เจี้ยนถิงยังไม่ถูกคัดออก แต่พ่ายยับในมือหลินสวินติดกันสองครั้ง ทำให้อสูรกิเลนเพลิงเขียวไม่อาจยอมรับ
ต่อให้เป็นเหล่าคนสำคัญอย่างท่านย่ากระเรียนทอง ในใจต่างเกิดคลื่นถาโถม เทพมารหลินคนเดียว กลับเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่บนต้นโคมสำริดมรรคโบราณ จนบุคคลแห่งยุคส่วนหนึ่งตายจาก นี่ทำให้พวกเขาไม่อาจสงบใจ
“ต่อให้เขารอดชีวิต สุดท้ายต้องออกมาอยู่ดี”
คชสารมังกรหยกดำตัวหนึ่งแผดคำราม สั่นสะเทือนเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนตระหนกจนสั่นไปทั้งตัว นี่คือผู้พิทักษ์ของจงหลีอู๋จี้
ไอสังหารเยียบเย็นอบอวลทั่วบริเวณ ผู้ฝึกปราณทุกคนต่างตระหนักได้ว่า ครั้งนี้เทพมารหลินจ้วงทลายฟ้า ชักนำมาซึ่งปัญหาใหญ่แล้ว!
“สู้กันบนต้นโคมสำริดมรรคโบราณ เดิมก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเป็นตายอยู่แล้ว หรือเพราะเทพมารหลินสังหารบุคคลแห่งยุคส่วนหนึ่ง เลยถูกมองเป็นศัตรูและถูกกดขี่”
มีคนขุ่นเคืองแทนหลินสวิน เห็นว่าเหล่าขุมอำนาจเผด็จการเกินไป ชัดแจ้งว่ากำลังรังแกหลินสวินที่ไม่มีคนหนุนหลัง
“หากเยี่ยเฉินมารกระบี่จื่อเวยซึ่งมาจากแดนดาราอุดรยังอยู่ คนใหญ่คนโตพวกนี้คงได้แต่อดกลั้น ไม่กล้าพูดมากความ”
“ว่ากันตามจริง พวกเขาแค่เห็นหลินสวินรังแกง่ายก็เท่านั้น!”
ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้คงแพร่สะพัดทั่วแดนฐิติประจิม เด็กหนุ่มเทพมารหลินสวินจะต้องชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้า
…
กลางลานธรรม บรรยากาศเคร่งขรึม เหลือผู้แข็งแกร่งเพียงสิบกว่าคนต่างกำลังนั่งสมาธิสงบใจ หยั่งรู้แก่นอัศจรรย์นานัปการ
หลินสวินกลับกำลังเดินเล่น สังเกตกอหญ้าต้นไม้กลางลานธรรม
ลานธรรมกว้างใหญ่โอ่โถง ไหลเวียนด้วยกลิ่นอายแห่งกาลเวลา เก่าแก่เหลือประมาณ
หลินสวินไม่อาจจินตนาการโดยสิ้นเชิง ว่ายามดอกตูมสำริดดอกเดียวนั่นเบ่งบาน จะวิวัฒน์เป็นลานธรรมเก่าแก่อุดมสิ่งเร้นลับเช่นนี้
‘คำบอกเล่าน่าจะจริง ปีนั้นบนเขาพยับคราม ต้องมีสำนักโบราณแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่รวบรวมหมู่อริยะ ไม่ว่าจะเป็นด่านถกมรรคทั้งห้าหรือต้นโคมสำริดมรรคโบราณนี่ ต่างเป็นบททดสอบที่มีขึ้นเพื่อผู้สืบทอดโดยเฉพาะอย่างหนึ่ง’
‘บางทีคงมีเพียงผู้สืบทอดที่ผ่านการทดสอบ จึงจะถือว่าเป็นศิษย์แท้จริงของสำนักโบราณแห่งนั้น สามารถสืบทอดมรดกตกทอด…’
‘เพียงแต่ ในเมื่อสำนักนี้มีเหล่าอริยะรวมตัว ทำไมถึงดับสลายไปท่ามกลางสายน้ำแห่งประวัติศาสตร์ ไม่ถูกผู้คนรับรู้? แม้แต่คำเล่าลือล้วนไม่เหลือสักเสี้ยว ไม่ใช่ว่าหายลับไปอย่างกะทันหันเกินไปหน่อยหรือ’
‘อีกอย่าง หากสำนักนี้เคยดำรงอยู่ในสมัยบรรพกาลจริง ชื่อสำนักล่ะคืออะไร’
หลินสวินนึกถึงแต่ละเหตุการณ์ที่ประสบหลังเข้าสู่เขาพยับคราม ยิ่งรู้สึกว่าที่แห่งนี้ไม่ธรรมดายิ่งกว่าเดิม เปี่ยมสีสันอันเร้นลับ
ตึง!
ขณะหลินสวินคิดใคร่ครวญ กลางฟ้าดินเสียงระฆังเก่าแก่เลือนรางดังขึ้นครั้งหนึ่ง
………………