Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 921 ทวนม่วง ร่มดำ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 921 ทวนม่วง ร่มดำ
อันธพาลเฒ่าเหม่อลอยอยู่เช่นนั้น
ซย่าจื้อปลดหมวกคลุมลง เผยให้เห็นใบหน้าที่ถูกบดบัง เครื่องหน้าทั้งห้าของนางงดงามถึงที่สุดประดุจผลงานชั้นเลิศจากสรวงสวรรค์
คิ้วงามราวน้ำหมึก เนตรดาราสุกสกาว ผิวพรรณขาวเปล่งปลั่งราวมันแพะ ร่างแบบบางสูงโปร่ง ทั้งตัวนางเหมือนดอกบัวเขียวกลางฝนหมอกพร่ามัวดอกหนึ่ง มีความงดงามที่พาให้สรรพสิ่งบนฟ้าดินล้วนหม่นหมอง
งดงามผุดผ่องราวภาพเขียน!
ในใจอันธพาลเฒ่าตื่นตะลึงอย่างรุนแรง เท่าที่เขาดู ความงามของเด็กสาวผู้นี้เรียกได้ว่าเย้ยฟ้า สามารถล่มบ้านล่มเมืองได้อย่างแน่นอน
“ให้ตายสิ นี่เป็นเซียนสาวที่จากแดนเซียนหรือ…” อันธพาลเฒ่าพึมพำเสียงหลง
ซย่าจื้อชำเลืองมองเขาครั้งหนึ่ง ดวงตาทรงจันทร์เสี้ยวใสกระจ่างเต็มไปด้วยความเย็นชาถึงที่สุด อันธพาลเฒ่าแข็งทื่อไปทั้งตัว ถึงกับรู้สึกหวาดผวาสะทกสะท้าน
ยามเขาได้สติกลับมาอีกครั้ง เงาร่างของซย่าจื้อก็หายไปนานแล้ว
“แม่หนูนี่… ทะ…ทำไมไม่เหมือนคนบนโลกนี้” อันธพาลเฒ่าหน้านิ่วคิ้วขมวด เหมือนพบเจอเรื่องยากยิ่ง
……
บนแท่นมรรค การต่อสู้กำลังปะทุอย่างดุเดือดและโหดเหี้ยม
ไป๋หลิงซีกระอักเลือดออกมาหลายครั้งแล้ว อาภรณ์สีขาวย้อมโลหิต แต่นางก็ยังคงแข็งขืน
ทว่าในที่สุดก็พลังไม่เพียงพอ ไม่อาจตั้งรับทุกคนไว้ได้
“หลินสวิน ข้าเพียงขอใช้หัวเจ้าครั้งเดียว เจ้าต้องสงเคราะห์ข้าให้ได้!” รอบกายซางเจี่ยมีสีทองเจิดจ้า ทวนศึกกวาดออกไปในอากาศ สังหารอย่างดุดัน
ตูม!
ไป๋หลิงซีเคลื่อนกายมารับการโจมตีนี้ไว้ เพียงแต่ที่ตามมาติดๆ คือการจู่โจมจากศัตรูหลายคน ทำให้นางกระอักเลือดออกจากปากอีกครั้ง สีหน้าซีดขาวจนแทบโปร่งแสง
“เจ้ารีบหนีไป! ไม่อยากอยู่แล้วหรือ!”
หลินสวินเพิ่งดึงจิตรับรู้กลับมาจากเจดีย์สมบัติไร้อักษรก็เห็นภาพนี้เข้า พลันโมโหจนเลือดแทบเต็มดวงตา
เขาใช้พลังทั้งหมดที่มีกระตุ้นเจดีย์สมบัติไร้อักษร กลับยากจะสัมฤทธิ์ผล อาการบาดเจ็บรุนแรงเกินไปทำให้เขาไม่อาจทำต่อไปได้
“เจ้ากับข้าได้รู้จักกันครั้งหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ไม่อาจดูเจ้าตายไปต่อหน้าต่อตาได้แล้ว” ไป๋หลิงซีเอ่ยปาก เสียงเจือไปด้วยความอ่อนระโหย แต่กลับแน่วแน่อย่างผิดธรรมดา
“หึ! จนป่านนี้แล้วยังโง่มาช่วยเจ้าเด็กนี่ บอกเจ้าให้ เขาต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”
มู่เจี้ยนถิงถือกระบี่จู่โจมเข้ามา สีหน้าเหี้ยมเกรียมเย็นชา เขาแค้นหลินสวินถึงที่สุด เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะตาย ในใจเขาก็มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
ในชั่วขณะเป็นตาย หลินสวินก็เร่งเร้าเสียงคำรามผูเหลา วงคลื่นสีทองแผ่กระจายออกฝืนรับการสังหารของมู่เจี้ยนถิงไว้ แต่ตัวเขากลับถูกสะเทือนจนกระอักเลือด ร่างกายโคลงเคลงแทบล้มลง
“แข็งใจต่อไปไม่ไหวแล้วหรือ”
หลี่ชิงฮวนฝ่าเข้ามาจากอีกด้านหนึ่ง เขารอบคอบและระมัดระวังมาก เมื่อโจมตีไม่โดนครั้งหนึ่งก็หายตัวถอยไป แต่ขอเพียงเขาออกโจมตี ต้องโหดเหี้ยมร้ายกาจถึงที่สุด
“มันเป็นของข้า!”
ซาเจี่ยตะคอก แสงทองพรั่งพรูทั่วกาย ทวนใหญ่ปกคลุมฟ้า โจมตีสังหารออกไปอย่างอุกอาจยิ่งนัก
“ตายซะ!”
และอีกด้านหนึ่ง มู่เจี้ยนถิงก็จู่โจมเข้ามาก่อนแล้ว!
ชั่วพริบตา รอบตัวหลินสวินทุกทิศก็ถูกโอบล้อมโดยสมบูรณ์ จะหลบก็ไม่ได้ จะหนีก็ไม่สามารถ
ส่วนไป๋หลิงซีก็ถูกล้อมไว้ ไม่ว่านางจะพุ่งโจมตีเช่นไรก็ไม่อาจฝ่าวงล้อมออกไปได้ นี่ทำให้นางกระวนกระวายถึงที่สุด รู้สึกไร้พลังขนาดนี้เป็นครั้งแรก
หลินสวินเคลื่อนที่ได้ยาก อย่างมากก็ฝืนทำได้เพียงใช้ดาบหักตั้งรับการจู่โจมส่วนหนึ่ง แต่กลับถูกพุ่งโจมตี ทำให้อาการบาดเจ็บของเขายิ่งรุนแรง เลือดสดๆ ในกายพรั่งพรูหลั่งไหล น่าตื่นตระหนกยิ่ง
“ไสหัวไป!” ไป๋หลิงซีต่อสู้ถวายชีวิต พุ่งออกไปทั้งซ้ายขวา แต่ก็ยังสลัดวงล้อมไม่ได้อยู่ดี กลับกัน เพราะนางร้อนใจจะฝ่าวงล้อม กลับได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง
สวบ!
กระบี่มรรคลายสนของมู่เจี้ยนถิงฟันลงมา แทงเข้าที่กลางหลังหลินสวิน
“ไปตายซะ!” มุมปากหลี่ชิงฮวนปรากฏรอยยิ้มโหดเหี้ยม เขามั่นใจว่าหลินสวินจะต้องตายคาที่ในการโจมตีนี้
อีกด้านหนึ่งพวกซางเจี่ยก็ลงมือ ทำให้หลินสวินตกอยู่ในสถานการณ์คับขันในทันใด
เพียงแต่หลินสวินสีหน้าเยือกเย็นจนน่ากลัว ฝ่ามือของเขากำขวดหยกมันแพะขวดเล็กๆ ไว้ขวดหนึ่ง นี่คือขวดมหามรรคสุดหยั่ง เก็บพลังของกระบวนผนึกมรรคราชันอยู่เต็มเปี่ยมไว้ก่อนแล้ว
เขาหวั่นใจว่าบุคคลแห่งยุคเหล่านี้จะมีไพ่ตายน่ากลัวมาโดยตลอด ดังนั้นจึงยังไม่ได้ใช้สมบัตินี้สักที แต่ตอนนี้เป็นเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เขาไม่สนใจสิ่งอื่นแล้ว
“เหตุใดต้องฝืนทำเป็นแข็งแกร่งด้วย กังวลว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาหรือ ข้าไม่ใช่ตัวข้าสมัยก่อนแล้วนะ เจ้าไปพักผ่อนที่ด้านข้างเถอะ”
ในตอนนี้เอง จู่ๆ ร่มดำคันหนึ่งก็กางออกกำบังหลินสวินไว้ภายในนั้นราวกับจะตัดขาดออกจากทั้งโลก พร้อมกับเสียงกังวานรื่นหูนั้น
จากนั้นซย่าจื้อก็ปรากฏตัวในที่นั้น มือถือทวนม่วงเล่มหนึ่งกวาดโจมตีทั่วทิศอย่างสบายๆ
ปังๆๆ!
เสียงกระแทกดังลั่นจนหูแทบหนวกดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง การโจมตีที่พุ่งเข้ามาจากรอบทิศล้วนถูกขจัดสิ้น แตกกระสานซ่านเซ็นเป็นละอองแสงกระจัดกระจาย
ส่วนพวกมู่เจี้ยนถิง หลี่ชิงฮวนที่พุ่งโจมตีมายิ่งคล้ายต้องอสนีบาต ร่างกายพากันสั่นสะท้าน รับการจู่โจมน่าหวาดหวั่นจนถอยหลังโซซัดโซเซ
เหตุไม่คาดฝันที่เข้ามาโดยกะทันหันนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่ง แทบจะปิดฉากลงในชั่วพริบตา
ส่วนในที่นั้น เงาร่างของหลินสวินถูกร่มดำบดบังไว้ ร่มเหมือนฝาปิด บังฟ้าห่มดิน ราวราตรีนิรันดร์ปกคลุมจักรวาล
เบื้องหน้าเขา เด็กสาวสวมเสื้อคลุมสีดำทั้งชุด หมวกปิดบังใบหน้า เผยให้เห็นเพียงคางขาวกระจ่างละเอียดลออ ผิวพรรณเปล่งปลั่งดุจมันแพะ ขับเน้นอยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีดำ ให้ความรู้สึกงามตะลึงน่าตื่นตา
เงาร่างนางแบบบาง เท้าเปลือยเปล่าเรียวงาม ถือทวนยาวสีม่วงเล่มหนึ่งอยู่ ทั้งที่ตัวคนเดียวชัดๆ แต่เมื่อยืนอยู่ที่นั่น กลับมีมาดสง่างามโดดเด่นที่สามารถต้านทานลมฝนจากรอบทิศแปดด้านได้
นางเป็นใครกัน
พวกมู่เจี้ยนถิงล้วนสีหน้าเปลี่ยนเป็นอึมครึม ก่อนหน้านี้พวกเขาเกือบจะสังหารหลินสวินได้แล้ว แต่กลับถูกทำให้เสียเรื่อง ในใจต่างเดือดดาลจนไม่อาจยั้งไว้ได้
ตอนนี้ขนาดผู้แข็งแกร่งที่ล้อมโจมตีไป๋หลิงซีอยู่ไม่ไกลยังออกจะประหลาดใจ ไม่อาจคาดคิดได้ว่าเหตุใดเด็กสาวผู้มีเอกลักษณ์และลึกลับเช่นนี้ผู้หนึ่งถึงปรากฏตัวในตอนนี้ได้
“หลบไป!”
มู่เจี้ยนถิงไม่พอใจอย่างที่สุด โกรธเคืองหาใดเทียบ โอกาสดีที่สุดในการสังหารเทพมารหลินถูกทำลายลงเช่นนี้ ทำให้เขาโกรธจนแทบเสียสติ
โครม!
เขาออกโจมตีโดยไม่ลังเล กระบี่มรรคลายแผ่เจตกระบี่ไพศาลเหลือคณา ลี้ลับยากหยั่งถึง มีอานุภาพสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีเช่นนี้ ซย่าจื้อพลันเงยหน้าขึ้น ดวงตาจันทร์เสี้ยวงดงามกระจ่างใสคู่หนึ่งโผล่ออกมาจากใต้หมวกคลุม เพียงแต่สายตานั้นกลับเต็มไปด้วยความเรียบเฉย ไม่มีความหวั่นไหวในอารมณ์เลยสักนิด
หืม?
มู่เจี้ยนถิงถูกสายตานั้นกวาดมองปราดหนึ่งก็รู้สึกเพียงแข็งทื่อไปทั้งตัว เหมือนถูกคมดาบแหลมคมจี้เข้าที่คอหอย ความเดือดดาลกับความไม่ยินยอมในใจถูกความหวาดหวั่นเข้าแทนที่โดยสมบูรณ์
นี่เป็นดวงตาเช่นไรกัน?
การช้อนตามองอย่างลี้ลับและลุ่มลึกราวราตรีนิรันดร์ แต่กลับเหมือนมาจากหุบเหวลึกในนรกในคราวเดียว คล้ายสามารถกักขังจิตวิญญาณของผู้คนและยึดครองไว้ในนั้นโดยสมบูรณ์
ชั่วพริบตา มู่เจี้ยนถิงสังเกตเห็นอันตรายถึงที่สุด หน้าเปลี่ยนสีอย่างยิ่ง จะพุ่งตัวถอยไปอย่างไม่ลังเล
แต่เห็นได้ชัดว่าช้าไปแล้วก้าวหนึ่ง
ปึก!
ทุกคนเพียงรู้สึกว่าดวงตาพร่ามัว เงาร่างของเด็กสาวก็หายลับไปในอากาศ เมื่อปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง นางก็มาอยู่ตรงหน้ามู่เจี้ยนถิงแล้ว
แต่ทว่าทวนม่วงลี้ลับในมือนางกลับแทงทะลุตำแหน่งทรวงอกของมู่เจี้ยนถิงแล้วช้อนร่างเขาขึ้น เลือดสดๆ เทลงมาราวน้ำตกไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหน
ชั่วพริบตา ทั้งที่นั้นก็เงียบสนิท พวกหลี่ชิงฮวนเหงื่อกาฬอาบไปทั้งร่าง
เมื่อกี้นี้เอง พวกเขายังไม่ทันเห็นได้ชัดเจน มู่เจี้ยนถิงก็ถูกทวนม่วงในมือเด็กสาวผู้นั้นแทงทะลุอย่างง่ายดาย!
ความเร็วนั้นว่องไวยิ่งนัก ประเดี๋ยวเดียวก็เป็นเช่นนี้แล้ว ทำให้ผู้คนต่างตอบโต้ไม่ทัน ภาพการณ์น่ากลัวจนน่าตื่นตระหนกเมื่อได้เห็น
นี่ทำให้ทุกคนทำใจเชื่อได้ยาก ดังนั้นจึงรู้สึกสั่นสะท้านและตระหนกอย่างยากบรรยาย
ไกลออกไป หลินสวินผ่อนคลายลงโดยสิ้นเชิง ทันทีที่หย่อนก้นลงนั่งกับพื้น ก็ยัดรากโสมขาวกับใบไม้เข้าปาก หลอมเต็มกำลัง
เพียงแต่เมื่อได้เห็นการต่อสู้ของซย่าจื้อก็ยังทำให้หลินสวินสั่นสะท้านในใจ ไม่อาจสงบนิ่งได้ดังเดิม
เขารู้ดีว่าวิชาที่ซย่าจื้อสืบทอดคือมรดกตกทอดของราชินีรัตติกาล สิ่งที่ฝึกก็คือคัมภีร์จุตินพชาติ วิชาลี้ลับที่หายากตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันวิชาหนึ่ง
ทุกครั้งที่แปรสภาพ ล้วนดุจดั่งกำเนิดใหม่หลังจุติ พลังทั้งหมดที่ฝึกปราณมาแต่ก่อนจะกลายเป็นพลังแฝงอย่างหนึ่ง ทำให้ร่างกาย แก่นกระดูกรวมถึงพรสวรรค์เกิดการแปรสภาพใหม่เอี่ยม
นี่เพิ่งเป็นการ ‘จุติ’ ครั้งที่สามของซย่าจื้อ แต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึงว่าพลังต่อสู้ของนางก็แกร่งกล้าถึงขั้นนี้แล้ว ช่วงชิงศุภโชคจนหมดสิ้น ประหนึ่งเย้ยฟ้าอย่างแท้จริง!
‘ดูท่า ก่อนหน้านี้ข้าจะประเมินนางต่ำไปจริงๆ นางหนูนี่ยังเหมือนแต่ก่อน วิธีการต่อสู้เรียบง่ายตรงไปตรงมา แต่มีอานุภาพถึงชีวิต…’ หลินสวินพึมพำในใจ
เขาไม่ได้คิดอะไรอีก สื่อจิตกับซย่าจื้อ ให้นางช่วยไป๋หลิงซีคลี่คลายสถานการณ์อันตราย
ปฏิกิริยาของซย่าจื้อในตอนนี้ออกจะประหลาดไปบ้าง ดวงตาใสกระจ่างมองไป๋หลิงซีปราดหนึ่ง คิ้วสีดำสนิทราวหมึกขมวดเข้าหากันอย่างยากสังเกต
ซ่า!
ศพของมู่เจี้ยนถิงถูกช้อนขึ้น เลือดยังคงหลั่งรินลงมา พอกระแทกกับพื้นก็ส่งเสียงสาดกระเซ็นชวนใจสั่น
ซย่าจื้อเขย่าทวนม่วงแล้วโยนศพของฝ่ายหลังออกไปเหมือนทิ้งขยะ ไม่ชายตามองแม้แต่ครั้งเดียว แล้วพูดกับหลินสวินว่า “รอข้าฆ่าเจ้าพวกนี้จนเกลี้ยงแล้วค่อยไปช่วยนาง”
หลินสวินอึ้งไป ยังไม่ทันที่เขาได้สติกลับมา ซย่าจื้อก็ออกโจมตีแล้ว
ชิ้ง!
ทวนศึกสีม่วงยาวหนึ่งจั้ง ปลายแหลมคมปลาบ เรียบง่ายไม่ซับซ้อน มีความรู้สึกหนักแน่นเหมือนกาลเวลาที่ตั้งมั่น
ชั่วพริบตาท่าทางของซย่าจื้อก็เปลี่ยนไปแล้ว รอบกายราวอาบชโลมในราตรีนิรันดร์ แสงสว่างไม่ดำรงอยู่ ล้วนแปรสภาพเป็นความมืดมิด
พลังปราณของนางเยียบเย็นและเฉยชา เสื้อคลุมสีดำทั้งตัวโบกพลิ้ว ประหนึ่งเทพเทวาที่เดินออกมาจากความมืดมิด เต็มไปด้วยพลังน่าหวาดผวา
“ร่วมกันลงมือ!”
แทบจะในเวลาเดียวกัน พวกหลี่ชิงฮวนต่างสังเกตได้ถึงอันตราย หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เลือกร่วมมือกันโดยไม่ลังเล
พลังปราณของเด็กสาวผู้นี้ลี้ลับและน่ากลัวเกินไปแล้ว แม้เก็บกักไว้ภายในถึงขีดสุด แต่กลับยิ่งทำให้พวกเขาหวาดกลัว มีกลิ่นอายที่ทำให้พวกเขาสะท้านขวัญสงบใจได้ยากยิ่งกว่าตอนเผชิญหน้ากับหลินสวิน
เพียงแต่ร่วมกันลงมือเช่นนี้ย่อมไร้ประโยชน์
ต่อมา ซย่าจื้อก็ใช้การเคลื่อนไหวบอกหลินสวินว่า ที่เขาประเมินพลังที่แท้จริงของซย่าจื้อไว้ก่อนหน้านี้ ดูอ่อนแอและหม่นหมองปานไหน
ฟุ่บ!
เงาร่างของซย่าจื้อรวดเร็วและตรงไปตรงมาราวเงาแสงมืดมิด พริบตาที่เงาร่างหายไปก็มาอยู่ตรงหน้าหลี่ชิงฮวนแล้ว เมื่อทวนม่วงเคลื่อนออกมา พุ่งแทงไปที่คอหอยของฝ่ายหลังอย่างเรียบง่ายไม่อ้อมค้อม
ในระหว่างนี้หลี่ชิงฮวนคว้าสมบัติลับออกมาสำแดงวิชามรรคชั้นเลิศ โคจรพลังต่อสู้ของตัวเองถึงขีดสุดเพื่อต่อต้าน
แต่ทั้งหมดนี้ถูกทวนม่วงแทงทะลุอย่างง่ายดายเหมือนเศษกระดาษ ไม่อาจต้านทานได้!
หลี่ชิงฮวนตื่นตระหนกจนชาหนึบไปทั้งศีรษะ แทบระเบิดออกมา เด็กสาวผู้นี้เป็นใครกันแน่ ทำไมถึงมีพลังน่าหวาดหวั่นปานนี้ได้
เขาไม่กล้าลังเลอีก หันกายจะหนี
ปึก!
เพียงแต่สุดท้ายเขาก็ไม่อาจหนีพ้น ถูกทวนม่วงแทงพรวดเข้าที่แผ่นหลัง เลือดหัวใจสีแดงฉานระอุไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง
“เจ้า…” หลี่ชิงฮวนตาเบิกกว้าง กระทั่งตายก็ไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่าตนจะแพ้หมดรูปเช่นนี้!
——